บทที่ 270.2 ข้ามีเรื่องเล็กที่ใหญ่เท่าเครื่องตวงข้าว – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 270.2 ข้ามีเรื่องเล็กที่ใหญ่เท่าเครื่องตวงข้าว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เฉินผิงอันยืนอยู่บนถนนที่ผู้คนแออัดสัญจรขวักไขว่ มองไปรอบด้านด้วยความมึนงง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ได้แต่ยืนดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่เดิม
หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องย้อนกลับทางเดิมไปที่ท่าเรือจัวฟ่าง ไปขอตัวจินซู่มาจากกุ้ยฮูหยิน ขอให้แม่นางกุ้ยฮวาช่วยนำทาง ส่วนข้อที่ว่าจะถูกจินซู่ที่ ‘มีแค้นใหญ่ต้องชำระ’ พูดจาเสียดสีเยาะเย้ยหรือไม่นั้น เฉินผิงอันยังไงก็ได้ จะยังมีศักดิ์ศรีหน้าตาเหลืออีกหรือไม่ หากเป็นคนสนิทกันก็ยังพอว่า แต่คนที่พบกันอย่างผิวเผินเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างจินซู่นี้ ชีวิตนี้จะได้พบกันสักกี่ครั้ง? ดังนั้นหากจะให้เขาทำหน้าหนาสักหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา
หลิ่วมืดบุปผาสว่างเดี๋ยวก็ผ่านไปอีกหมู่บ้าน
เฉินผิงอันเจอคนผ่านทางที่รู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอีกคน แม้ว่าฝ่ายหลังจะไม่รู้สถานที่ตั้งของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย แต่กลับรู้จักหอจิ้งเจี้ยนและจวนหยวนโหรว อีกทั้งตอนที่พูดถึงสถานที่สองแห่งนี้ เฉินผิงอันถามว่า ‘ท่านรู้หรือไม่ว่าหอจิ้งเจี้ยนอยู่ที่ใด’ คำตอบของคนผู้นั้นกลับเป็นว่า ‘อ้อ เจ้าหมายถึงหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ข้างจวนหยวนโหรวน่ะหรือ ไปง่าย ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่’
เด็กหนุ่มหลิวโยวโจวจากธวัลทวีป ไม่ธรรมดา
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงหันตัวกลับตรงไปที่ท่าเรือจัวฟ่างทันที คนผ่านทางผู้นั้นมองแผ่นหลังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง หากสามารถอาศัยโอกาสนี้มาสร้างความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กับจวนหยวนโหรว ต่อให้ได้แค่เสนอหน้าไปให้เห็นก็ยังดี
ถึงท้ายที่สุดจินซู่ก็เดินลงจากเรือด้วยความเบิกบาน พาเฉินผิงอันที่ ‘หน้าตาหม่นหมอง’ ไปยังโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ก่อนที่นางจะลงจากภูเขา กุ้ยฮูหยินให้เงินร้อนน้อยนางสามเหรียญ บอกให้นางใช้เงินประหยัดหน่อย หลังเดินลงจากท่าเรือแล้ว จินซู่ถามเฉินผิงอันว่าจะไปที่ศาลาจัวฟ่างหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าเขาไปมาแล้ว จินซู่พยักหน้ารับ บอกว่าศาลาจัวฟ่างไม่มีความสดใหม่มากที่สุด อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับความน่าสนใจของทัศนียภาพแห่งอื่นๆ ได้ติด ยกตัวอย่างเช่นเรือนหลิงจือ หน้าผาหมีลู่ โดยเฉพาะหอจิ้งเจี้ยนที่จำเป็นต้องไป ถึงจะไม่ถือว่ามาที่นี่เสียเที่ยว
คนทั้งสองเดินกันไปได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม ตลอดทางจินซู่ช่วยอธิบายถึงสถานการณ์คร่าวๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในภูเขาห้อยหัวซึ่งได้รวมถึงเรือนหลิงจือให้เฉินผิงอันฟัง ยกตัวอย่างเช่นหอจิ้งเจี้ยน (เคารพกระบี่) กระบี่ที่เซียนกระบี่ใช้สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกชิ้น ภูเขาห้อยหัวจะต้องสร้างเลียนแบบขึ้นหนึ่งชิ้น แล้วนำมาวางไว้ในหอเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม
เมื่อมาถึงภูเขาห้อยหัว เห็นได้ชัดว่าจินซู่ไม่ได้เย็นชาเหมือนตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวา นิสัยของนางเปลี่ยนไปมาก แม้จะไม่ถึงขั้นพูดจ้อเป็นต่อยหอย แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากสตรีทั่วไปแล้ว นางบอกว่าที่เรือนหลิงจือมีหลิงจือสมปรารถนาดอกหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ แผ่อบอวลจนทำให้ทั้งเรือนหลิงจือคล้ายกลายเป็นถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง เมื่อฝึกตนอยู่ที่นี่จะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยที่ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นเรือนหลิงจือจึงเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ค่าใช้จ่ายแพงที่สุดในภูเขาห้อยหัว แต่ลูกศิษย์ตระกูลเซียนที่มาประสบการณ์ที่นี่ รวมไปถึงลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ตระกูลอยู่มานานนับพันปีซึ่งมาเที่ยวชมทัศนียภาพของที่แห่งนี้ ต่อให้มีเงินก็ยังยากที่จะเข้าพักในเรือนหลิงจือได้อยู่ดี เพราะจำเป็นต้องเริ่มจองห้องพักล่วงหน้าตั้งแต่หลายเดือนก่อน
ขยับเข้าไปใกล้โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย จินซู่พูดเบาๆ ว่า “เคยมีข่าวลือมาเหมือนกันว่า น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ระดับสูงที่สุดซึ่งเอามาจากเถาน้ำเต้าที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเองกับมือนั้น ในห้องลับหลิงจือมีเก็บไว้หนึ่งลูก อีกทั้งเมล็ดน้ำเต้าจากลูกแรกที่สุกงอม ทุกวันนี้ด้านในของมันก็ยังคงบำรุงหล่อเลี้ยงกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่สิบกว่าท่านในใต้หล้าไพศาลเอาไว้”
ข่าวเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ พวกคนที่ได้ยินได้ฟังมามักจะเล่าด้วยสีหน้าเบิกบาน เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ราวกับเคยเห็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กับตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น จินซู่ที่ได้ยินคนอื่นเล่ามาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทว่าในความเป็นจริงแล้วนักพรตสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่มี ‘กฎเหล็ก’ คอยควบคุมภูเขาห้อยหัวไม่เคยแพร่งพรายความลับเกี่ยวกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และการบำรุงกระบี่ของเซียนกระบี่ใต้หล้าเลย เพียงแค่กล่าวว่าเรือนหลิงจือไม่มีเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก และอย่าเอาไปเล่าลือกันปากต่อปาก
เฉินผิงอันนึกถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินที่อาเหลียงมอบให้กับเป่าผิงน้อย แน่นอนว่ายังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองที่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยงเคยพกไว้ รวมไปถึง ‘บรรพบุรุษน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่’ ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าหมอนั่นเอ่ยถึง
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นว่า “แม่นางจินซู่ จวนหยวนโหรวมีชื่อเสียงในภูเขาห้อยหัวมากเลยหรือ?”
จินซู่พยักหน้ารับ “แน่นอน จวนหยวนโหรวที่อยู่ในนามของตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีปคือหนึ่งในจวนส่วนตัวขนาดใหญ่สี่แห่งในภูเขาห้อยหัว อาณาเขตกว้างขวางมาก แต่ชื่อเสียงกลับกว้างขวางยิ่งกว่า สกุลหลิวคือแซ่สกุลใหญ่อันดับหนึ่งในธวัลทวีป อีกทั้งชื่อเสียงยังดีเยี่ยม กษัตริย์ ผู้ฝึกตน เซียนพสุธา แทบทุกคนในธวัลทวีปล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลิว อีกอย่างเงินเกล็ดหิมะที่ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราใช้กันมากที่สุดก็สร้างเลียนแบบจากเงินที่สกุลหลิวสร้างขึ้น เทือกเขาแร่หยกของที่นั่น สกุลหลิวก็ครอบครองไปแล้วหนึ่งส่วน อย่าได้รู้สึกว่าฟังไปแล้วเหมือนไม่มาก เพราะความจริงมันมากจนมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!”
เฉินผิงอันตกตะลึงเล็กน้อย
มิน่าเล่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญก็ยังพูดว่า ‘ต่อให้เงินจะน้อยแค่ไหน’ หลิวโยวโจวไม่ได้คุยโวเกินจริงเลยสักนิด
สายตาจินซู่เลื่อนลอยเล็กน้อย “ลูกหลานตระกูลหลิวนี่แหละที่เรียกว่าคนโชคดีที่เกิดมาก็ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทองตัวจริง ต้องการอะไรก็แค่ทุ่มเงินไปเป็นพอ ใต้หล้าไม่มีสมบัติชิ้นใดที่สกุลหลิวซื้อไม่ได้”
คำพูดเหล่านี้ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่าเป็นคนบอกนางด้วยตัวเอง ตอนนั้นจินซู่มองเห็นสายตาคาดหวังจากดวงตาของเทพเจ้าน้อยแห่งเงินทองอย่างซุนเจียซู่ ดังนั้นนางจึงจำเรื่องนี้ได้แม่นยำเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันยิ่งตัดสินใจได้แน่วแน่ว่าไม่ควรจงใจไปตีสนิทกับหลิวโยวโจว
เด็กหนุ่มคนนั้นก็เหมือนกับเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำหนึ่งที่ไม่ว่าจะเผชิญคลื่นลมมรสุมใดก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาในเวลานี้จะต้านทานไว้ได้
เฉินผิงอันคิดมาถึงตรงนี้ในใจก็ให้หม่นหมองเล็กน้อย ตรงประตูหัวใจคล้ายถูกลมหิมะพัดกระแทก
แล้วตนล่ะจะมีตราประทับภูเขาและแม่น้ำให้ผลาญสักกี่มากน้อย?
ตอนนี้เหลือแค่ตราประทับแม่น้ำอันเดียวแล้ว
ไม่ว่ามีกี่พันหมื่นเหตุผลให้ต้องทำอย่างนั้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องแบบเดียวกันหรือไม่ เฉินผิงอันก็จะยังก้าวออกไปอย่างห้าวหาญอยู่ดี
สูญเสียตราประทับภูเขาไปอันหนึ่ง จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่สามารถบรรเทาความเศร้าใจไปได้แม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันเรียนรู้ที่จะ ‘เก็บ’ อารมณ์ที่ไม่ดีเหล่านี้เอาไว้ ไม่เหมือนกับตอนแยกย้ายกันที่วัดร้าง รวมไปถึงระยะทางบนภูเขาอีกหลายร้อยลี้หลังจากนั้นที่เอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จาจนชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มสัมผัสได้ถึงอาการผิดปกติของเขา ทำให้พวกเขาต้องเป็นห่วงไปตลอดทาง
ตรงกลางคือเสาหยกขาวขนาดใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้งสองต้นตั้งตระหง่าน ตรงกลางของเสาเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสงบจนคล้ายกระจก บางครั้งมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ตอนนี้คนที่อยู่บนลานมีไม่มาก ประมาณยี่สิบสามสิบคน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็กหรือหนุ่มสาว ตรงเอวล้วนห้อยป้ายตัวอักษรหยาเอาไว้ เด็กหลายคนที่ซุกซ่อนวิ่งผ่านตรงกลางไปโดยตรง แล้วไล่กวดกันอย่างสนุกสนานไปรอบด้าน
ลานกว้างไม่มีนักพรตมาคอยเฝ้า เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะข้ามรั้วไปอย่างระมัดระวัง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาจึงพอจะวางใจลงได้ แล้วจึงเดินช้าๆ ไปยังเสาใหญ่สองต้นนั้น
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าทุกก้าวที่ก้าวออกไปจะต้องมีริ้วแสงกระเพื่อมขึ้นมาใต้ฝ่าเท้า อีกทั้งเมื่อเงยหน้ามองไปยังเห็นนักพรตเด็กที่สวมชุดเต๋าตัวใหญ่นั่งอยู่บนเบาะข้างเสาตนหนึ่ง กำลังพลิกเปิดตำราอ่าน หากมีเด็กที่มองดูแล้วอายุไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ขยับมาใกล้ นักพรตเต๋าเด็กที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ พวกเด็กๆ ก็จะลอยออกไปไกลเหมือนได้ขี่เมฆหมอก ทำเอาพวกเด็กๆ เล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นักพรตเด็กก็คอยโบกชายแขนเสื้อไม่หยุดอย่างไม่รำคาญใจ
เฉินผิงอันไม่กล้าบุกเข้าไปยัง ‘กระจก’ โดยพลการเลียนแบบพวกเด็กๆ เขาเดินอ้อมไปด้านหลังเสาต้นใหญ่ พบว่าข้างเสาใหญ่ยังมีเสาเล็กอีกหนึ่งต้น บนเสาหินที่คล้ายเสาผูกม้ามีมือกระบี่วัยกลางคนเสื้อผ้าขาดวิ่นคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ กอดกระบี่ไว้ในอ้อมอก หลับตานอนหลับ
แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็น…ยอดฝีมือล้ำโลก!
เฉินผิงอันไม่กล้ารบกวนการนอนหลับของคนผู้นี้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินก็แผ่วเบาไปตามจิตใต้สำนึก เตรียมจะหมุนตัวเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง
ศีรษะของมือกระบี่ที่กอดกระบี่หลับผู้นั้นสัปหงกลง เขาพลันสะดุ้งตื่น สายตาค่อนข้างทึ่มทื่อ มองซ้ายมองขวาแล้วก็มองไปยังจุดสูง สุดท้ายมองไปที่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ คล้ายจะพึมพำกับตัวเองด้วยคำสามคำ จากนั้นก็นอนหลับต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันยืนอยู่ใกล้กับหน้ากระจกอีกฝั่งหนึ่ง เหม่อมองอยู่เป็นนาน
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า ด้านหลังกระจกนี้ก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างนั้นหรือ? คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง?
บนยอดเขาเดียวดายที่สูงเสียดทะลุชั้นเมฆ มีหอสูงที่สูงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว ในระยะเวลาหนึ่งปี มีเวลาเกินครึ่งปีที่ทะเลเมฆปกคลุม ด้านใต้ชายคาห้อยกระดิ่งสามใบ ว่ากันว่ามีเพียงเจ้าลัทธิสามท่านของลัทธิเต๋ามาเยือนเท่านั้น พวกมันถึงจะดังขึ้นอย่างเนิบช้า
เทียนจวินใหญ่ท่านหนึ่งของลัทธิเต๋าอยู่บนชั้นบนสุดของหอเรือน เส้นสายตามองทะลุทะเลเมฆไปยังลานกว้างที่อยู่เบื้องล่าง
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ตัวเล็กดุจเมล็ดงา
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!