วันที่สองฟ้าขมุกขมัวเริ่มสาง จินซู่มาเคาะประตูก่อนเวลาหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันหยุดการเดินนิ่งที่เงียบเชียบลง เปิดประตูอ้า เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับจินซู่ มุ่งหน้าไปยังโถงฝ่าอิ้น (ตราประทับอาคม) โถงแห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าโถงเชวียอี (ขาดไปหนึ่ง) ว่ากันว่าเก็บรวบรวมตราประทับของร้อยสำนักทุกรูปแบบในโลกเอาไว้ ขาดเพียงตราประทับภูเขาเท่านั้น เพราะเคารพกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ว่า ‘ภูเขาไม่พบภูเขา’ ถึงอย่างไรเดิมทีภูเขาห้อยหัวก็เป็นตราประทับภูเขาชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินตามจินซู่ที่อารมณ์ดีเข้าไปในโถงฝ่าอิ้น หอสูงสามชั้น ทุกชั้นต่างก็กว้างขวางมากเป็นพิเศษ แบ่งแยกเป็นห้องเล็กใหญ่ ทุกชั้นล้วนเก็บตราประทับอาคมที่มีจำนวนมากหลายพันชิ้นเอาไว้เหมือนกันหมด ตราประทับแต่ละชิ้นต่างก็ลอยอยู่ในชั้นกระจกที่แบ่งซอยออกเป็นชั้นๆ และยังมีตราประทับบางส่วนที่สามารถบ่มเพาะสติปัญญาขึ้นมาได้จึงว่ายวนบินชนชั้นกระจกไม่หยุดจนเกิดเสียงดังปึงปัง ตราประทับบางชิ้นยังถึงขั้นรวบรวมปราณวิญญาณขึ้นมาเป็นแก่นวิญญาณ คอยจ้องตากับคนอย่างใจกล้าอยู่ด้านหลังชั้นกระจก
เฉินผิงอันหยุดอยู่ในห้องตราประทับแม่น้ำที่ชั้นสองเป็นเวลานานไม่ยอมออกมาเสียที จินซู่จึงไปเดินเล่นที่อื่นเพียงลำพัง นัดหมายกันว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามมาเจอกันที่หน้าประตูโถงอิ้นฝ่า
ตราประทับน้ำอันหนึ่งที่เฉินผิงอันจ้องมองอยู่มีปราณวิญญาณเป็นเหมือนไอน้ำน้ำหนักเบาจำแลงกลายมาเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบตราประทับ ตรงด้านล่างของตราประทับสลักสี่คำว่า ‘แม่น้ำสีเงินห้อยย้อย’ เพราะมี ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งเขียนคำบรรยายประกอบเอาไว้อยู่เล่มหนึ่ง เฉินผิงอันจึงรู้จักตัวอักษรโบราณไม่น้อย
จินซู่เล่าให้ฟังว่า ตราประทับของโถงฝ่าอิ้นมีแต่รับไม่มีออก จะไม่ขายให้แก่ผู้ใด
ในอดีตมีแค่ครั้งหนึ่งที่เกือบจะแหกกฎ นั่นคือเจ้าประมุขตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีปคนปัจจุบันได้ป่าวประกาศว่าจะซื้อตราประทับของชั้นหนึ่งไปทั้งหมดรวดเดียว สุดท้ายนักพรตเจ้าของโถงจำเป็นต้องรายงานแก่เทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาเดียวดาย คำตอบของฝ่ายหลังเรียบง่ายมาก นั่นคือขว้างปราณกระบี่ยาวดุจสายรุ้งลงมาจากหอสูงบนภูเขาเดียวดาย ทำลายสวนดอกไม้ด้านหลังจวนหยวนโหรวเสียป่นปี้ ผลคือตอนนั้นคนหนุ่มที่ยังเป็นแค่ลูกหลานสายตรงตระกูลหลิว ยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขเท้าเอวแหงนหน้าด่าเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาเดียวดาย ความหมายคร่าวๆ คือประมาณว่าข้าผู้อาวุโสมีเงิน เจ้าแน่จริงก็ลองทำดูอีกสักครั้งสิ
จากนั้นเทียนจวินใหญ่ก็เทฝนปราณกระบี่กระหน่ำลงมาระลอกใหญ่ จวนหยวนโหรวตระกูลเซียนขนาดใหญ่ยักษ์ที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัยเสียหายอย่างหนัก
ทำให้ชื่อเสียงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นค่ายกลใหญ่ที่สามารถต้านทานร้อยกระบี่จากเซียนกระบี่ของจวนหยวนโหรวย่อยยับไม่เหลือดี
ยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ภายหลังจึงเกิดการถามตอบที่กลายมาเป็นวลีซึ่งได้รับความนิยมกันไปทั่ว
คนหนุ่มคนนั้นหน้าไม่เปลี่ยนสี แค่หันไปถามพ่อบ้านวัยชราว่า ‘เทียนจวินผู้นั้นลงมืออย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ถูกกฎหรือไม่?’
พ่อบ้านวัยชราตอบยิ้มๆ ว่า ‘เทียนจวินก็คือกฎของภูเขาห้อยหัว’
เมื่อผ่านศึกครั้งนี้ไป เรื่องที่เทียนจวินแห่งภูเขาห้อยหัวใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้คน และเรื่องที่ตระกูลหลิวมีเงินก็แพร่สะพัดไปทั่วใต้หล้าในเวลาเดียวกัน
ตอนหลังเฉินผิงอันไม่ได้เดินขึ้นชั้นสาม เขาลงจากหอไปรอจินซู่ที่นอกโถงฝ่าอิ้นโดยตรง
จินซู่มาช้าไปหนึ่งเค่อ มองเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่นั่งเหม่ออยู่บนบันไดก็เอ่ยขออภัยว่า “มาสายแล้ว เพราะบนชั้นสามมีตราประทับชิ้นหนึ่งที่เพิ่งบ่มเพาะจิตวิญญาณที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุดตนหนึ่งได้ สามารถจำแลงร่างกลายเป็นคนที่จ้องตากับมัน สนุกมากเป็นพิเศษ มีหลายคนเข้าแถวรอที่นั่น เฉินผิงอันเจ้าไม่สนใจเลยหรือ”
เฉินผิงอันลุกยืนปัดก้น คลี่ยิ้มพูดว่า “พวกเราไม่ได้รีบไปไหนสักหน่อย”
แทบจะเวลาเดียวกับที่จินซู่เรียกชื่อของเฉินผิงอันตรงๆ เป็นครั้งแรกในภูเขาห้อยหัว คนเฝ้าประตูสองคนที่อยู่ตรงตีนภูเขาเดียวดาย นักพรตเต๋าเด็กที่อ่านหนังสือและชายวัยกลางคนอุ้มกระบี่ก็พร้อมใจกันลืมตาขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
จากนั้นคนหนึ่งก็ลุกจากเบาะที่นั่ง เดินออกจากลานกว้าง มุ่งหน้าไปยังหอซ่างเซียง
บุรุษถือกระบี่หันตัวกลับมา งอนิ้วดีดไปที่หน้ากระจกหนึ่งครั้ง แต่แล้วชายฉกรรจ์ก็พลันคลี่ยิ้ม บิดข้อมือกลับมาเหมือนดึงของบางอย่างกลับคืน เก็บการส่งสัญญาณด้วยการดีดนิ้วก่อนหน้านี้
แล้วเขาก็งีบหลับต่ออีกครั้ง
ภูเขาห้อยหัวไม่มีตราผนึกอาคม นักพรตเด็กคนนั้นก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ห่างไกลหลายลี้ สุดท้ายเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าหอที่มีควันสีม่วงลอยกรุ่นพลิ้วกำจาย ก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน นักพรตสวมกวานหางปลาหลายคนเห็นนักพรตน้อยที่หน้าตาเหมือนหยกสลักล้ำค่าแล้วก็พากันค้อมเอวคารวะ เรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ปู่น้อย หรือบางคนก็เรียกว่าอาจารย์ปู่น้อยไท่ซ่าง
นักพรตน้อยสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจใครทั้งนั้น ก้าวข้ามประตูใหญ่มาแล้วก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พัดให้เหล่านักพรตหลายคนที่สวมกวานและชุดเต๋าแตกต่างกันซึ่งกำลังจุดธูปกราบไหว้กระเด็นออกไปอยู่ใต้กำแพงทั้งสองฝั่งในเสี้ยววินาที ทำให้นักพรตห้าขอบเขตกลางเหล่านี้ตกใจจนเกือบขวัญหาย นักพรตเด็กก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ยึดครองตำแหน่งที่มีควันธูปล้อมวนเพียงลำพัง หยิบธูปดอกหนึ่งมาจากกระบอกใส่ธูปที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง เหนือโต๊ะธูปมีภาพวาดสี่ภาพ มรรคาจารย์เต๋าอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ตำแหน่งนี้สูงจนถึงขั้นที่ว่าหากคนมาจุดธูปกราบไหว้ไม่ทันสังเกตก็อาจจะนึกว่าไม่มีอยู่
ส่วนภาพวาดเทวรูปของนักพรตเต๋าสามคนด้านล่างนั้นแขวนเรียงกัน
นักพรตที่อยู่ตรงกลางห้อยยันต์ไม้ท้อ นักพรตที่อยู่ฝั่งซ้ายมือถือกระบี่อาคม สวมชุดขนนก นักพรตฝั่งขวาสวมกวานดอกบัว
บนโต๊ะธูปขนาดใหญ่ยักษ์วางแค่กระถางธูปขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ให้ผู้คนที่มากราบไหว้ปักธูปลงไปเพียงใบเดียว
หอซ่างเซียง (จุดธูป) แห่งนี้มีเรื่องเล่าลือว่าหากนักพรตเต๋าและชายหญิงที่มีจิตศรัทธามาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่ก็อาจจะมีโอกาสให้มรรคาจารย์เต๋าและเจ้าลัทธิไตรวิสุทธิ์ที่อยู่ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งรับรู้ หลังจากเข้ามาในภูเขาห้อยหัว เรื่องแรกที่นักพรตแทบทุกคนต้องทำคือมาจุดธูปสามดอกที่หอซ่างเซียงแห่งนี้ แน่นอนว่านักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ไม่มีทางเหยียบเข้ามาในหอซ่างเซียงแม้แต่ครึ่งก้าว
นักพรตน้อยที่บนศีรษะสวมกวานหางปลากราบเจ้าลัทธิที่สวมกวานดอกบัวผู้นั้นสามครั้ง พอปักธูปในมือลงในกระถางธูปแล้วก็หลับตาลง ปากท่องคาถาพึมพำ
สุดท้ายนักพรตน้อยอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ พอลืมตาขึ้นก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย หันหน้าไปมอง เห็นคนหนุ่มที่หน้าตาคล้ายสาวงามคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วถามว่า “ในฐานะลูกศิษย์สกุลลู่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เหตุใดเจ้าถึงไปที่หอจิ้งเจี้ยนก่อน ไม่ใช่มาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่?!”
‘หญิงสาว’ เงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้อยไม่กลัวเกรง ตอบยิ้มๆ ว่า “พวกเรารับเจ้าลัทธิผู้สูงส่งท่านนี้เป็นบรรพบุรุษตระกูลเราอย่างสุดจิตสุดใจ ทว่าท่านบรรพบุรุษไม่เคยรับพวกเราเป็นลูกหลานนี่นา หลายพันปีที่ผ่านมาตระกูลลู่จุดธูปไปมากน้อยแค่ไหนก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับแม้แต่ครึ่งคำไม่ใช่หรือ? ข้าจุดธูปเพิ่มอีกดอกจะมีประโยชน์รึ?”
บนใบหน้าเยาว์วัยของนักพรตน้อยเผยความเดือดดาล “กล้าทำตัวโอหังที่นี่ด้วย?!”
คนผู้นั้นที่มาจุดธูปกราบไหว้ยิ้มตาหยี “เทียนจวินท่านไม่ใช่นักพรตสายของบรรพบุรุษตระกูลลู่ข้าสักหน่อย เหตุใดต้องยึดติดกับมารยาทของคนนอกพวกนี้ด้วย?”
นักพรตน้อยแค่นเสียงหยัน “ไอ้พวกไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น ไสหัวออกไป!”
สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง คนหนุ่มที่หน้าตาเหนือชั้นกว่าสาวงามก็ปลิวออกไปตกบนถนนนอกหอซ่างเซียง กระอักเลือดไม่หยุด พอกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาได้แล้วก็แหงนหน้าขึ้น มองคนในภาพเหมือนทางฝั่งขวามือที่ไม่เคยขยับเขยื้อนมาร้อยปีพันปีแล้วหัวเราะเสียงดังไม่หยุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!