ประโยคนี้ถึงได้ทำให้นักพรตน้อยสนใจขึ้นมาได้บ้าง “เดิมพันอะไร?”
ชายฉกรรจ์กอดดาบถามหยั่งเชิง “แบ่งให้ข้านั่งบนเบาะสักครึ่งหนึ่งได้ไหม?”
นักพรตน้อยไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเย็นตอบ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ไม่ตื๊ออีก พูดต่อไปว่า “เหล่าเหยาที่อยู่ข้างๆ เดิมพันกับนักพรตหญิงพกดาบคนนั้นว่า ก่อนฟ้าจะสาง ตอนที่แม่นางน้อยกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะกลับไปคนเดียวหรือว่าสองคน”
นักพรตเด็กถาม “แล้วทำไมไม่เดิมพันว่าจะไม่ได้กลับไปเลยสักคนล่ะ?”
ชายฉกรรจ์อุ้มดาบส่ายหน้า มองไปยังทิศไกล “นางต้องกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แน่”
นักพรตน้อยถาม “เพราะเกียรติของสองแซ่อย่างหนิงและเหยา?”
ชายฉกรรจ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
นักพรตน้อยดวงตาเป็นประกาย โบกชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ หลังจากท่องสองชื่อซึ่งเป็นภาษาบุรพแจกันสมบัติทวีปอยู่ในใจ ยันต์สีเขียวสองแผ่นก็วาดเสร็จในเวลาเดียวกันแล้วพุ่งวับหายไป
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำลายยันต์สองแผ่นที่บางเบายิ่งกว่าควันเขียวให้แตกสลาย กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรที่ไม่สมควรมองอย่ามอง อะไรที่ไม่สมควรฟังอย่าฟัง”
ยันต์สองแผ่นนั้น แผ่นหนึ่งคือยันต์ฟ้าดินตอบรับ อีกแผ่นคือยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้า ฝ่ายแรกสามารถพุ่งไปได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่สถานที่ใดมีการพูดคุยเกี่ยวกับถ้อยคำที่คนวาดยันต์ท่องลงไป ยันต์แผ่นนี้ก็จะเริ่มแสดงความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันทึกบทสนทนาเอาไว้ได้ ส่วนฝ่ายหลังยันต์ไล้ใบหน้าสามารถตามหาบุคคลที่ถูกวาดภาพไว้บนยันต์และส่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาได้
ยันต์ทั้งสองชนิดมีระดับขั้นสูงมาก แล้วก็วาดสำเร็จได้ยากมากด้วย แต่หากเป็นบนภูเขาจะถือเป็นซี่โครงไก่สำหรับสายยันต์ลัทธิเต๋า เพราะยันต์ตอบรับก็ดี ยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้าก็ช่าง เมื่อเจอกับสถานที่ที่มีตราผนึกเวทอาคมและสถานที่ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็จะถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นไปชนเข้ากับจวนใหญ่ที่มีเทพทวารบาลเฝ้าพิทักษ์ ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง สุสานไร้ญาติ เป็นต้น
ต่อให้วัสดุในการเขียนยันต์จะดีแค่ไหน แต่แรงสะท้อนกลับจะรุนแรงมาก ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป พอผู้ฝึกลมปราณสังเกตเห็น ย่อมถูกมองเป็นการท้าทาย เมื่อไล่ตามเบาะแสมาก็ง่ายที่จะเจอกับคนวาดยันต์ สุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง
ดังนั้นยันต์สองแผ่นนี้จึงเหมาะสมให้เอาไปใช้ตรวจสอบความจริงจากสถานที่ที่ ‘ไร้อาคม’ เท่านั้น
แต่ว่านักพรตน้อยคิดจะควบคุมยันต์สองแผ่นในถิ่นของตัวเองย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น
น่าเสียดายก็แต่ถูกเซียนกระบี่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นดีดนิ้วทำลายทิ้งไปแล้ว
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ถาม “จะเดิมพันหรือไม่?”
นักพรตน้อยหมดความสนใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ล่ะ ผีพนันอย่างเจ้านิสัยการเล่นพนันย่ำแย่จนติดสามอันดับแรกของภูเขาห้อยหัวได้เลย ข้าเดิมพันกับเจ้า หากแพ้ ข้าต้องมอบของให้กับเจ้า แต่หากชนะ ก็ไม่มีทางได้ของมาแน่ เดิมพันอะไรกัน ไม่เด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์สีหน้าหดหู่ “ชีวิตนี้ข้าไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว ขนาดเป็นผีพนันก็ยังอยู่อันดับหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
นักพรตน้อยนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหัวเราะฮ่าๆ “อย่างเจ้าน่ะถือว่าดีแล้ว ลองมองกระบี่ผุๆ สองเล่มที่อยู่ในหอจิ้งเจี้ยนแล้วหันกลับมามองตัวเองดูสิ ผู้คนจากที่ต่างๆ ที่เดินทางผ่านที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าไพศาล ใครบ้างที่ไม่เคารพนอบน้อมต่อเจ้า? ในสายตาของพวกเขา เซียนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ้า ต่อให้ผายลมก็ยังหอม”
ชายฉกรรจ์กอดดาบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าการที่ข้าได้มาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่ ไม่ควรมีอะไรให้ไม่พอใจสินะ”
นักพรตเด็กวางตำราลง สอดสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้า
ชายฉกรรจ์พึมพำว่า “สำหรับชาวบ้านร้านตลาดแล้ว จากบ้านไปหนึ่งร้อยปี บ้านเกิดก็คงเปลี่ยนเป็นมาตุภูมิแล้ว สำหรับผู้ฝึกลมปราณ หนึ่งพันปีก็ถือว่าใช่ แล้วนักโทษลี้ภัยพลัดถิ่นที่จากบ้านมานานเกินหมื่นปีอย่างพวกเราล่ะ?”
นักพรตน้อยไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้
เพราะตอบยากเกินไป
……
ฝั่งของภูเขาห้อยหัวคือยามดึกฟ้ามืดมิด อีกฝั่งหนึ่งของประตูใหญ่กลับเป็นช่วงกลางวันที่แสงแดดส่องเจิดจ้า
มีคนสองคนนั่งเฝ้าประตูอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัว
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเสื้อเทาคนหนึ่งกำลังหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างโจ่งแจ้ง ข้างกายมีนักพรตหญิงวัยกลางคนพกดาบอาคมคนหนึ่งยืนอยู่
นักพรตหญิงขมวดคิ้วถาม “แม่หนูหนิงไปที่ภูเขาห้อยหัวโดยพลการ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ถึงเวลานั้นหากเทียนจวินใหญ่ซักถามขึ้นมา ข้าคงต้องตอบไปตามตรง”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “พูดไปตามความจริงได้เลย ข้ารับผิดชอบเอง”
ห่างไปไกลมีเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินมา พวกเขาต่างก็เป็นลูกรักซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
แม้ว่าพวกเขาจะมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่กันแทบทุกคน เรียกได้ว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ ทว่าในศึกใหญ่ช่วงที่ผ่านมา ระยะเวลาไม่ถึงสามปี เด็กกลุ่มนี้ก็ออกรบกันไปแล้วถึงสามครั้ง และเพื่อนก็น้อยลงไปสองคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่มีฉายาว่าตั๊กแตนน้อย เขาตายในสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมือง อีกคนหนึ่งฝึกประสบการณ์สำเร็จจึงกลับไปยังสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพกกระบี่ยาวสองเล่มตรงเอว เล่มหนึ่งมีฝักชื่อว่าคัมภีร์ อีกเล่มหนึ่งไร้ฝัก ชื่อว่าลายเมฆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!