เฉินผิงอันจึงพาคู่สามีภรรยาเดินเข้าไปในหอจิ้งเจี้ยน บอกเล่าในสิ่งที่จินซู่เล่าให้เขาฟังแก่คนทั้งสองไปรอบหนึ่ง อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นคนความจำดีมาตั้งแต่เด็ก ของเลียนแบบกระบี่เซียนและภาพวาดเซียนกระบี่ที่อยู่ในแต่ละห้อง ขอแค่ตั้งใจจดจำ เฉินผิงอันก็จะสามารถบอกชื่อแซ่ ชื่อกระบี่และประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ให้คู่สามีภรรยาฟังได้ทันที
พาคู่สามีภรรยาเดินชมหอจิ้งเจี้ยนแล้วเฉินผิงอันก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา คิดว่าในเมื่อส่งมอบกระบี่ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวให้นานอีกสักหน่อย ไล่จดบันทึกเซียนกระบี่และกระบี่เซียนบางส่วนในหอจิ้งเจี้ยนที่ต้องตาเอาไว้ วันหน้าพอกลับไปถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ว่างงานหรือรู้สึกเบื่อเมื่อไหร่ก็สามารถเอามาพลิกเปิดดู ก็เหมือนยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องมายังไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกคำกลอนงดงามและหลักการในโลกมนุษย์ ต่อให้เฉินผิงอันเห็นไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ ความอบอุ่นนั้นราวกับว่าแสงแดดไม่ได้ส่องลงบนไม้ไผ่แผ่นเล็กและตัวอักษร แต่ส่องลงบนหัวใจของเขาเอง
ตอนที่คัดลอกสำเนาสามารถฝึกตัวอักษรได้พอดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกพู่กัน หมึกและกระดาษที่ภูเขาห้อยหัวจะแพงมากหรือไม่
สตรีแต่งงานแล้วที่ยังสาวคนนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าความจำดีมาก”
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง หันไปส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ บนภูเขาไม่นับเป็นอะไรได้ คิดดูแล้วฮูหยินท่านนี้คงแค่ชวนคุยอย่างมีมารยาทเท่านั้น
คราวนี้เฉินผิงอันดูถูกตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ เพราะสามีภรรยาที่สายตาดีเยี่ยมคู่นี้แน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันมองไปยังของเลียนแบบกระบี่เซียนเล่มใดเล่มหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจ นี่เรียกว่าตายังมองไม่เห็น แต่จิตกลับไปถึงก่อนแล้ว นี่คือคอขวดที่เลื่องลือจุดหนึ่งของเซียนกระบี่ เป็นตัวตัดสินระดับความสูงในท้ายที่สุดของเซียนกระบี่ ว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่น้อยที่ถูกกระบี่บินกักขังเจตจำนงเดิม หรือจะเป็นเซียนกระบี่บนมหามรรคาที่สามารถควบคุมปณิธานกระบี่ได้นับพันนับหมื่น
เดินผ่านห้องต่างๆ มาเกินครึ่งแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังคงติดตามคู่สามีภรรยาชมแต่ละห้องอย่างละเอียดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อันที่จริงพอเล่าประวัติคร่าวๆ ของหอจิ้งเจี้ยนไปแล้ว หลังจากนั้นก็แค่อาศัยความสนใจไปเลือกชมเซียนกระบี่หรือกระบี่มีชื่อเสียงที่ตัวเองชื่นชมเท่านั้น ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังคอยหันมาชวนเฉินผิงอันคุยอยู่เป็นระยะ เฉินผิงอันจึงติดตามพวกเขาไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ บุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปรอพวกเจ้าข้างหน้า”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดอะไรมาก หันมาพูดคุยกับเฉินผิงอันต่ออีกครั้ง แม้ว่าเฉินผิงอันจะมาที่หอจิ้งเจี้ยนแล้วรอบหนึ่ง แต่นอกจากเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงนานนับพันปีซึ่งมีรูปวาดแปะอยู่บนผนังเหล่านี้แล้ว อันที่จริงเขาก็แทบจะไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย กลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วผู้ซึ่งมาเยือนที่นี่ด้วยความเลื่อมใสที่พูดจ้อไม่หยุด เล่าเรื่องราวอันเป็นตำนานของเซียนกระบี่หลายท่าน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกแซ่ต่งอะไรนั่น บอกว่าการที่กระบี่พกของเขามีชื่อว่า ‘สามอสุภ’ นั้น ไม่ใช่เพราะเขาศรัทธาในลัทธิเต๋า (สามอสุภในลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่าในร่างกายมนุษย์มีสามผีที่ทำให้มนุษย์เกิดความปรารถนาในการกระทำชั่ว) แต่เป็นเพราะเขาเคยบุกเดี่ยวเข้าไปยังใจกลางของโลกเผ่าปีศาจ สังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนไปสามตน (อสุภแปลได้ว่าซากศพ สามอสุภจึงหมายความว่าสามศพ) ด้วยเหตุนี้ตระกูลต่งจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังเจ้าประมุขตระกูลต่งแทบทุกรุ่นต่างก็ต้องเคยสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ขอบเขตเซียนด้วยมือตัวเองมาก่อน…
ในเมื่อพูดถึงตระกูลต่ง สตรีแต่งงานแล้วจึงพาเฉินผิงอันไปดูของเลียนแบบกระบี่ที่ชื่อว่า ‘จู๋เชี่ย’ (หีบไม้ไผ่ใบเล็ก) ด้วยความกระตือรือร้น เจ้าของกระบี่คือบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลต่งที่ฟื้นฟูตระกูลที่กำลังตกต่ำให้กลับมาเจริญรุ่งเรือง ตอนนั้นเดิมทีควันธูปของตระกูลต่งเบาบางเต็มที เจ้าประมุขถูกปีศาจใหญ่ตนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ความตาย ปราณกระบี่ในตระกูลเกิดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่งของตระกูลต่งก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นำกระบี่ ‘สูงหนึ่งจั้ง’ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดินไปบนเส้นทางแห่งการสังหารปีศาจใหญ่ที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเดินผ่านมาก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนไม่เห็นดีเห็นงามด้วย สองร้อยปีให้หลัง ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ก็พาหนึ่งคนหนึ่งกระบี่กลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาใบหนึ่ง ด้านในบรรจุศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสามตนหนึ่ง และก่อนที่เขาจะขึ้นไปบนหัวกำแพง ก็ได้ใช้กระบี่สูงหนึ่งจั้งที่ใกล้จะหักพังเต็มทีเล่มนั้นสลักตัวอักษรต่งลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่
นับแต่นั้นมา กระบี่ที่คนผู้นี้หลอมขึ้นใหม่ก็มีชื่อว่าจู๋เชี่ย
และตระกูลต่งก็กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีน้ำหนักมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อได้พูดคุยกัน สตรีแต่งงานรู้ว่าเด็กหนุ่มแซ่เฉินก็ถามเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่าได้สังเกตกระบี่เล่มที่ชื่อว่า ‘เฟยไหลซาน’ (ภูเขาบินมา) บ้างหรือไม่
เฉินผิงอันยิ้มเขิน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าเจ้าของกระบี่เซียนที่มีชื่อประหลาดเล่มนี้ แซ่เฉิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษและจดจำได้อย่างชัดเจน อันที่จริงขอแค่มีเซียนกระบี่แซ่เฉิน เฉินผิงอันก็จะตั้งใจจดจำทั้งเซียนและกระบี่ที่พวกเขาพกติดตัว หากไม่เป็นเพราะไม่เคยเรียนวาดภาพมาก่อน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีจิตรกรฝีมือเลิศล้ำอย่างบนเกาะกุ้ยฮวาให้ขอความรู้ เฉินผิงอันก็หวังว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะสามารถพกพาเอาลักษณะท่าทางของ ‘เซียนกระบี่’ เหล่านี้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกันได้
หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มและเลือกเอาเรื่องราววีรกรรมอันห้าวเหิมของเซียนกระบี่แซ่เฉินสองสามคนที่เป็นคนรู้จักมาเล่าให้เฉินผิงอันฟัง
เมื่อมีคนตั้งใจใช้คำพูดมาบรรยาย ไม่ใช่แค่ยกคำไม่กี่ประโยคในบันทึกที่กระชับรัดกุม ถ้อยคำเย็นชามาเล่า เรื่องราวก็มักจะเต็มไปด้วยสีสันน่าสนใจเสมอ ราวกับมีป้ายอนุสรณ์ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำแห่งกาลเวลา มีต้นหลิ่วมากมายยืนต้นเรียงราย แค่คนรุ่นหลังมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ก็สัมผัสได้ถึงร่มเงาของพวกมัน นอกร่มเงาคือลมมรสุมที่โถมกระหน่ำ แม่น้ำแห่งกาลเวลาพัดกรากไหลเชี่ยว
เฉินผิงอันที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว เวลานี้กลับอดไม่ไหวยกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง
แม่นางที่ตัวเองชอบไม่ชอบตน เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก แต่ฟ้าไม่ได้ถล่มลงมา ควรจะมีชีวิตอย่างไรก็มีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่คือเรื่องที่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ใคร่ครวญจนเข้าใจตอนที่กลับเข้ามาในหอจิ้งเจี้ยนอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ว่าพอรู้จักเซียนกระบี่ที่สง่างามหลายคนแล้ว เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองเสียใจนี้เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีน้ำหนักอะไร
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตอนที่ถูกทุบตีให้รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเสียอีก
ความรู้สึกเป็นทุกข์สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ฝ่ายแรกเมื่ออดทนให้ผ่านไปได้ มันก็ผ่านไป
แต่ความเสียใจอย่างหลัง ดูเหมือนว่าหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี สิบปี ร้อยปี หรืออาจจะชั่วชีวิตก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่านมันไปได้
ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ พอเฉินผิงอันคิดว่าหากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ตนชอบผู้หญิงคนอื่น ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้เขาเศร้าเข้าไปอีก
ในตำราบอกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาถึงได้ตกใจกลัวจนไม่กล้าดื่มเหล้าอีก
ไม่ทันรู้ตัว จากตอนแรกที่เฉินผิงอันเป็นผู้นำทาง ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังแทนอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่คนทั้งสองไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นว่าบุรุษคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องสุดท้าย หันมาส่งยิ้มให้ตนกับสตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษไม่ชอบพูด ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินชมหอจิ้งเจี้ยนด้วยกัน เขาทำเพียงแค่หันมามองประเมินเฉินผิงอันเป็นระยะเท่านั้น
เดินเข้าไปในห้องสุดท้าย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นวางกระบี่จูอวี๋และโยวหวง สตรีแต่งงานแล้วร้องอุทานอย่างตกตะลึง “ทำไมสองท่านนี้ถึงไม่มีภาพวาดล่ะ? ได้ยินมาว่าเจ้าของกระบี่จูอวี๋คือบุรุษที่หล่อเหลามากของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชียวนะ”
เฉินผิงอันเหงื่อตกเล็กน้อย แอบชำเลืองตามองบุรุษที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ขอให้เขาอย่าแสดงความหึงหวงออกมาเลย
คิดไม่ถึงว่าบุรุษจะยิ้มหน้าบานทันที “สตรีเจ้าของโยวหวงก็คือสาวงามที่หาได้ยากในใต้หล้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันรู้สึกไม่พอใจแทนสตรีแต่งงานแล้วขึ้นมาทันที ผู้หญิงก็ได้แค่พูดล้อเล่นไม่กี่ประโยค ยังจะทำอะไรได้? เจ้าเป็นผู้ชายควรจะใจกว้างสักหน่อย เหตุใดถึงได้ประชดประชันกันอย่างนี้?
สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนบุรุษของตัวเอง หันไปพูดยิ้มๆ กับเฉินผิงอัน “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่พาข้าเดินเที่ยวชมหอจิ้งเจี้ยน”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ ตัวข้าเองชอบเดินเล่นที่นี่ อีกสองสามวันหลังจากนี้ก็ยังจะมาอีก”
บุรุษหรี่ตาลง “ได้ยินว่าในหอจิ้งเจี้ยนมีเด็กโง่คนหนึ่งชอบเช็ดคราบน้ำลายให้กับกระบี่สองเล่มและชั้นวางกระบี่ในห้องนี้ คงไม่ใช่เจ้าหรอกกระมัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!