หลังจากที่เขียนอักษรบนกำแพงเสร็จแล้ว คนผู้นี้ก็ยกไหเหล้ามานั่งโต๊ะข้างๆ เขาขอถ้วยขาวใบใหญ่สองใบ เรียกให้สวี่เจี่ยมาดื่มด้วยกัน สวี่เจี่ยที่รู้ราคาเหล้าหวงเหลียงชัดเจนดีที่สุดกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมเลย เขาเปิดผนึกฝาดิน ช่วยรินเหล้าให้ จากนั้นก็ยกชามชนกัน ท่าทางดูมีความสุขมาก ส่วนเถ้าแก่ร้านก็มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน น่าสงสารก็แต่นกในกรงตัวนั้นที่หันหลังให้เด็กหนุ่มผู้สดใสด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายชูถ้วยเหล้าให้เฉินผิงอัน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าชื่อเฉาสือ เป็นคนจากต้าตวนแผ่นดินกลาง”
เฉินผิงอันจึงต้องยกถ้วยเหล้าขึ้นมาบ้าง “ข้าชื่อเฉินผิงอัน คนจากต้าหลีแจกันสมบัติทวีป”
เฉาสือพยักหน้ารับ สายตาเต็มไปด้วยแววชื่นชม “รากฐานวรยุทธ์ขอบเขตสามของเจ้าปูมาได้ไม่เลวเลย”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ได้แต่ดื่มเหล้าหนึ่งอึก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ
ใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะได้คำตอบ ที่แท้เด็กหนุ่มจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าหรือน้ำเสียงการพูดจาก็ล้วนไม่เหมือนคนวัยเดียวกัน กลับเหมือนผู้เฒ่าเปลือยเท้าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วมากกว่า เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มไม่มีมาดโอหังของคนที่มองเหยียดผู้อื่นจากเบื้องสูงอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุย ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มจากต้าตวนที่ชื่อว่าเฉาสือผู้นี้พูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นมิตร ทว่าต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันด้วยเรื่องหยุมหยิมทั่วไป เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นอยู่ดี
เฉาสือเป็นอย่างไร หนิงเหยากลับไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก นางแค่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย อยู่ดีๆ ก็มีคนผู้หนึ่งโผล่มาให้ขวางหูขวางตา อารมณ์อยากดื่มเหล้าจึงหายไปเยอะ
ดื่มเหล้าหวงเหลียงที่เหลืออีกครึ่งไหกับเฉินผิงอันไปอย่างแกนๆ จนหมดก็รีบลากเฉินผิงอันเดินไปยังประตูของร้านเหล้าทันที
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเดินออกไป เฉาสือตะโกนเรียกชื่อเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหนิงที่เจ้าชอบ ดีมาก อย่างเดียวที่ไม่ดีคือพบหน้ากันหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังจำชื่อของข้าไม่ได้”
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าแบบนั้นยิ่งดี”
เฉาสือหัวเราะเสียงดังกังวาน มือหนึ่งชูถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งโบกมือลาเฉินผิงอัน คลี่ยิ้มจริงใจ “เฉินผิงอัน อีกสามวันให้หลังจงเริ่มช่วงชิงขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้แล้ว”
เขาพูดประโยคที่แค่ขบคิดเล็กน้อยก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัดอีกแล้ว
เฉินผิงอันกุมมือคารวะ ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันหน้ากลับแล้วเดินไปจากพื้นที่มงคลหวงเหลียงที่เล็กแคบแห่งนี้พร้อมกับหนิงเหยา
ในร้านเหล้า สวี่เจี่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าชอบแม่นางหนิง?”
เฉาสือโบกมือปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้าชอบอาจารย์ที่คือผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในใจข้า ชอบฮองเฮาที่เวลายิ้มมีลักยิ้มบุ๋มลงไปสองข้างแก้ม ชอบแม่นางหนิงที่ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้เป็นความชอบระหว่างชายหญิงอย่างที่เจ้าคิด เพราะมันจะเป็นภาระในการฝึกตน”
เฉาสือดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถอนหายใจ “ข้านึกภาพของตัวเองในวันหน้าที่ชอบแม่นางคนหนึ่งไม่ออกเลย”
สวี่เจี่ยร้องอ้อหนึ่งที เฉาสือพูดอะไรเขาก็เชื่ออย่างนั้น จากนั้นลูกจ้างร้านผู้นี้ก็มีสีหน้าลิงโลด เปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคงใกล้จะเลื่อนสู่ขอบเขตห้าแล้วสินะ?”
เฉาสือพยักหน้ารับ “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานขนาดนี้ก็ควรฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว”
สวี่เจี่ยยิ้มกว้าง “หากอยู่ที่บ้านเกิด ข้าว่าตอนนี้เจ้าน่าจะเป็นขอบเขตเจ็ดแล้วกระมัง”
ไม่รอให้เฉาสือตอบ สวี่เจี่ยก็พูดเสริมทันทีว่า “อีกอย่างก่อนที่จะเป็นขอบเขตเจ็ด ยังเป็นขอบเขตสี่ ขอบเขตห้า ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย!”
พอพูดถึงเรื่องนี้ สวี่เจี่ยดูดีใจยิ่งกว่าเฉาสือเองเสียอีก “ผู้เฒ่าบอกว่าขอบเขตสี่ของเจ้าในเวลานี้คือขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่บุคคลอันดับหนึ่งของขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์แค่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ และในอนาคตก็จะไม่มีใครทำได้ จริงหรือไม่?”
เฉาสือตอบอย่างอ่อนใจ “ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ ข้าพอจะมั่นใจได้ ส่วนในอนาคตไม่มีใครทำได้นั้น ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง แถมยังทำนายโชคชะตาฝ่ายบู๊ของใต้หล้าในอีกร้อยปีพันปีให้หลังไม่ได้สักหน่อย”
สวี่เจี่ยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉาสือ! หากมีวันใดที่ข้าอดใจไม่ไหวไปตามหาคุณหนู ข้าจะต้องไปเที่ยวหาเจ้าที่ราชวงศ์ต้าตวนแน่นอน”
เฉาสือพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเตรียมสุราดีไว้รอแต่เนิ่นๆ”
จู่ๆ สวี่เจี่ยก็กดเสียงลงต่ำ พูดขอร้องว่า “เฉาสือ ไม่อย่างนั้นพวกเรามาต่อสู้กันสักตั้งดีไหม จากนั้นเจ้าก็จงใจแพ้ให้ข้า วันหน้าเวลาข้าไปจากภูเขาห้อยหัวจะได้เอาไปป่าวประกาศกับคนอื่นว่าตัวเองเอาชนะเฉาสือได้ เจ้าลองคิดดูสิ อีกสิบปีร้อยปีให้หลัง ถึงเวลานั้นไม่มีใครในใต้หล้าที่เป็นศัตรูกับเจ้าได้แล้ว เจ้าอาจถึงขั้นเอาชนะเต๋าเหล่าเอ้อร์ของใต้หล้ามืดสลัวได้ เปลี่ยนจากไร้ศัตรูมาเป็นมีศัตรูจริงๆ ข้าก็จะกลายเป็นคนเดียวที่เคยเอาชนะเจ้าเฉาสือได้ ถึงเวลานั้นคนทั่วทั้งใต้หล้าต้องถามแน่ๆ ว่าเจ้าหมอนี่เป็นใคร ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะหันมามองข้าใหม่ก็เป็นได้”
เฉาสือยิ้มจนตาหยี มือหนึ่งถือชาม อีกมือหนึ่งตบศีรษะตัวเองเบาๆ “เอาเถอะ เจ้าสวี่เจี่ยเอาชนะข้าเฉาสือได้แล้ว ตอนออกไปจากภูเขาห้อยหัวเจ้าก็พูดกับคนอื่นแบบนี้ได้เลย”
สวี่เจี่ยรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าไม่คิดอะไรมาก แต่ในอนาคตจะไม่เสียใจทีหลังหรือ?”
เฉาสือดื่มเหล้าในถ้วยแล้วก็หันหน้าไปกวักมือให้เถ้าแก่ผู้เฒ่า “เหล่าหลวี่ ตัดใจยกเหล้าหนึ่งไหให้ข้าได้ไหม? ตอนนี้ข้าเสียใจแล้ว หากไม่มีสุราลงท้องก็คงระงับความเสียใจไว้ไม่อยู่ หากมีเหล้าลืมทุกข์เพิ่มมาอีกไห อย่างน้อยก็คงไร้ทุกข์ไร้ความเสียใจไปอีกหนึ่งร้อยปี!”
สวี่เจี่ยหันไปมองเถ้าแก่วัยชราด้วยท่าทางน่าสงสาร
ผู้เฒ่ายิ้ม “สวี่เจี่ย ไปยกเหล้าอีกไหหนึ่งมาให้เฉาสือ อีกอย่างวันหน้าหัดจดจำความดีของเถ้าแก่เอาไว้บ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่แอบด่าว่าข้าขี้งก หรือไม่ก็บ่นที่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าออกไปท่องยุทธภพ”
สวี่เจี่ยวิ่งตุปัดตุเป๋ไปยกเหล้ามาเพิ่ม
เฉาสือเหลือเหล้าชามสุดท้ายแล้ว ระหว่างที่รอเหล้าไหใหม่ เขาก็ถือถ้วยเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นเดินไปยืนใต้กำแพง ไล่สายตามองไปทั่วๆ นับจากครั้งแรกที่ดื่มเหล้าก็ห่างมาเกือบสามปีแล้ว ตัวอักษรใหม่บนผนังมีเพิ่มขึ้นไม่น้อย สุดท้ายเฉาสือมองไปยังตัวอักษรสามตัวที่อยู่ตรงมุมด้านล่างสุดซึ่งเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบแต่กลับคร่ำครึตายตัว จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เหล่าหลวี่ ตัวอักษรที่เฉินผิงอันเขียนทิ้งไว้ก็คือ ‘ปราณกระบี่ยาว’ นี่น่ะหรือ?”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ทำไม เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”
เฉาสือทรุดตัวลงนั่งยอง จิบเหล้าคำเล็กจากถ้วยขาวใบใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ สายตาฉายประกายเร่าร้อน “เขาน่าจะเป็นคนที่มีขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดตามหลังข้ากระมัง”
ผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย นกขมิ้นฝ่ายบู๊ในกรงตัวนี้มีเวลาที่จำกัดในการวิเคราะห์ความสั้นยาวของชะตาบู๊ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากไม่ใช่ตอนที่เขียนอักษร นกขมิ้นฝ่ายบู๊ก็ล้วนสามารถบินออกจากกรงมาจิกได้ตลอดเวลา แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทั้งก่อนและหลังที่เฉินผิงอันเขียนตัวอักษร มีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งมาประกบหัวและท้ายพอดี ช่วงระยะเวลาเช่นนี้ไม่ต้องหวังเลยว่านกขมิ้นฝ่ายบู๊จะบินออกจากกรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!