เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าไร้เดียงสา
เกาหัวแกรกๆ แล้วก็ดื่มเหล้าต่อ เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีอย่างไร
แต่เฉินผิงอันกลับคิดว่าอันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้โกรธ
ก็แค่…เขินอาย
เฉินผิงอันรู้สึกว่ารสชาติที่ล้อมวนอยู่ในหัวใจตอนนี้ไม่ได้แย่เลย และคล้ายว่าจะรสชาติดียิ่งกว่าสุราเลิศรสเสียอีก
มีบุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขี่กระบี่ผ่านมาเห็นภาพนี้โดยบังเอิญ ซึ่งก็คือบุรุษคนที่ตอนนั้นเดินอยู่ข้างกายผู้เฒ่าแซ่ฉี เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นคนดื้อดึงที่ไม่มีไหวพริบนี่เอง”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าเสร็จแล้วก็รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ลุกขึ้นฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
แสงจันทร์สาดส่องอยู่ในอ้อมอก รัศมีอ่อนโยนอาบทออยู่บนบ่า ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบสงบ
เมื่อฟ้าเริ่มสาง เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น เขาค้นพบว่าตัวเองยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกมาเป็นครึ่งๆ คืน
เฉินผิงอันรู้สึกหวาดกลัว นี่หากไม่ทันระวังตกลงไปจากกำแพงเมือง คนอื่นอย่างใต้เท้าอิ่นกวานไร้ร่องรอยขีดข่วน แต่เขาต้องกลายเป็นกองเนื้อเละๆ อยู่ใต้ฐานกำแพงเบื้องล่างอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันทำท่ายืดเส้นยืดสายอยู่สองสามท่า กระโดดลงมาจากหัวกำแพง กลับกระท่อมไปกินอาหารเช้าที่เมื่อคืนหนิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็ฝึกเดินนิ่งที่ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่ายเลียบตามหัวกำแพงไปทางขวาอีกครั้ง
ตลอดทางที่เดินไปเฉินผิงอันได้เจอกับเด็กหนุ่มตัวอ้วนที่ใบหน้าอมยิ้ม แต่ปราณสังหารกลับท่วมท้น เขายังใช้กฎเดิมคือกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินอ้อมผ่านไป แล้วค่อยกลับขึ้นหัวกำแพงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลา ลักษณะนุ่มนวลคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพง ก่อนจะตามมาด้วยเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบาก สุดท้ายคือเด็กสาวแขนเดียวที่แบกกระบี่เล่มยักษ์ เพียงแต่วันนี้ข้างกายนางมีเด็กสาวเพิ่มมาหลายคน พวกนางปูผ้าแพรต่วนแล้ววางของกินเล่นที่ทำขึ้นอย่างประณีตไว้จนเต็ม ราวกับเห็นหัวกำแพงที่กว้างขวางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชานเมือง
เมื่อเฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพงไปเดินบนทางเดินม้าอีกครั้ง พวกนางต่างก็พากันหันหน้ามามองเขา
ตอนที่เดินสวนทางกับพวกนางไกลๆ พวกนางยังหันมาชี้ไม้ชี้มือใส่เฉินผิงอันด้วย
เฉินผิงอันรู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ
อันที่จริงเขารู้ชัดเจนดีว่า คนเหล่านี้ต้องเป็นสหายที่หนิงเหยาเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน อีกทั้งคนเหล่านี้ต่างก็เป็นสหายที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับนาง
นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันตำหนิตัวเองที่สวมรองเท้าสาน
ครั้งแรกคือตอนที่อยู่เมืองหลวงต้าสุย เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกหลี่ไหวขายหน้า เขาจึงตั้งใจซื้อร้องเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ แต่เพราะไม่ได้ไปสำนักศึกษาซานหยาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงซาน กลับกันคือเดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมกับชุยฉาน จึงสวมเพียงครู่เดียวแล้วก็ถอดออก เปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะสานด้วยฟางที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุด
เฉินผิงอันจึงหวังให้ตัวเองในเวลานี้แต่งกายดีขึ้นอีกนิด แม้จะไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียนอย่างพวกเฉาสือ ชุยฉาน แต่ก็ต้องสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยคล้ายกับหลินโส่วอี ทางที่ดีที่สุดคือให้มีกลิ่นอายของตำราอยู่นิดๆ ต่อให้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ยังดี ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผมอีกครั้ง ตรงเอวก็ไม่ต้องห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว กล่องกระบี่ก็ไม่ต้อง…
เฉินผิงอันเดินหน้าต่ออีกครั้ง ถอนหายใจอยู่ในใจ รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าเดินไปเดินมา เฉินผิงอันก็หัวเราะ ยกเท้าขึ้น ก้มหน้ามองรองเท้าสานบนเท้าตัวเอง “เจ้าเพื่อนยาก ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะ เจ้าทนลำบากทนคำต่อว่า ข้าซาบซึ้งใจมาก เจ้าก็เห็นว่าสหายทั้งหลายที่พังไประหว่างการเดินทาง ข้าล้วนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่เคยทิ้งเลยแม้แต่คู่เดียว พวกมันต่างก็พักรักษาตัวอยู่ในท้องของสืออู่ อืม ในตำราบอกว่านี่เรียกว่าการดูแลสุขภาพในวัยชรา ฮ่าๆ แต่ถ้าคิดจะถือลูกกวาดหยอกล้อหลาน (เปรียบเปรยถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข) ล่ะก็ แบบนั้นคงสร้างความลำบากใจให้ข้าเกินไปหน่อย…”
เฉินผิงอันที่พึมพำอยู่กับตัวเองไม่ทันสังเกตเห็นว่า พวกคนที่พากันมาแอบดูว่าเขาคือเทพจากฝ่ายไหนพากัน ‘ร่วงกราว’ ลงมาจากหัวกำแพงอย่างลนลาน ที่แท้หนิงเหยาขี่กระบี่ทะยานขึ้นมาบนหัวกำแพง เด็กหนุ่มตัวอ้วน ต่งถ่านดำและเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาต่างก็พากันเผ่นหนีกระเจิดกระเจิง ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นก็พยายามกลั้นยิ้ม รีบร้อนเก็บห่อสัมภาระแล้วขี่กระบี่ไปจากหัวกำแพง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นว่าหนิงเหยาขี่กระบี่มาแล้วหยุดกึกอยู่กลางอากาศสูงนอกกำแพงเมือง จากนั้นค่อยๆ บินช้าๆ ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกับการเดินนิ่งของเฉินผิงอัน
หนิงเหยากล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
แล้วหนิงเหยาก็ขี่กระบี่แหวกอากาศวาดให้เกิดเส้นโค้งที่งดงามพลางทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ข้ายังมีธุระ พรุ่งนี้จะมาหาเจ้า”
ไปกลับครั้งนี้ เฉินผิงอันยังคงกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับกระท่อมสองหลังในช่วงกลางดึก คราวนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ผู้เฒ่าถึงมายืนอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ คล้ายกำลังยืนมองนครใหญ่ที่ไม่มีกำแพงโอบล้อมแห่งนั้น เฉินผิงอันวิ่งเร็วๆ ไปหา ตะโกนเรียกว่าท่านปู่เฉินหนึ่งที ผู้เฒ่าถอนสายตากลับ พยักหน้ารับ จากนั้นชี้นิ้วไปทางทิศเหนือ “คนเพียงเท่านี้ อาจจะยังเทียบเท่าจำนวนคนที่อยู่ในทวีปแห่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับสกัดกั้นเผ่าปีศาจมาได้นานหลายปีขนาดนี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าหันหน้ามามองเฉินผิงอันยิ้มๆ “เฉินผิงอัน พวกเราถือว่าเข้ากันได้ดีพอสมควร ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าถามต่อ “แต่หากข้าบอกว่าข้าเข้ากับเฉาสือได้ดียิ่งกว่า มีความหวังในตัวเขาสูงกว่าเจ้าล่ะ?”
เฉินผิงอันยังคงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
ผู้เฒ่าไม่รีบร้อนอยากฟังคำตอบ แค่มองตาของเฉินผิงอัน และยิ่งมองใจของเฉินผิงอัน
ผู้เฒ่ารู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!