กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 281

สรุปบท บทที่ 281.2 แค่จากลาเท่านั้น: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 281.2 แค่จากลาเท่านั้น – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 281.2 แค่จากลาเท่านั้น ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

กระบี่จงมา – บทที่ 281.2 แค่จากลาเท่านั้น
บทที่ 281.2 แค่จากลาเท่านั้น
โดย
ProjectZyphon
หนิงเหยาไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งว่า

นางคือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่ออยู่ในสมุดประหลาดเล่มนั้น อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย

ก่อนจะสิบขวบ ชื่อของหนิงเหยาก็ถูกบันทึกลงไปแล้ว

และลูกรักแห่งสวรรค์ในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็ล้วนถูกสังหารบนสมรภูมิรบทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่ก่อนอายุสามสิบ โดยไม่มีข้อยกเว้น

สำหรับเรื่องนี้ เผ่าปีศาจไม่เคยเสียดายค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไป

ความเป็นหรือความตายของลูกรักสวรรค์คนหนึ่งมักจะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของปีศาจใหญ่และเซียนกระบี่หนึ่งคนหรืออาจถึงหลายคนเสมอ

เพราะเผ่าปีศาจรู้สึกว่าบนหัวกำแพงเมืองมีเฉินชิงตูแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว

หากมีหนิงชิงตูหรือเหยาชิงตูเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ใช่แค่เรื่องการตายของปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนแค่หนึ่งหรือสองตนอีกต่อไป

สิ่งที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จนใจมากที่สุดก็คือ ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ หากไม่ไปฝึกประสบการณ์ในสนามรบในเร็ววัน ไม่รีบลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความเป็นความตาย แต่ถูกเลี้ยงอยู่แค่ในเมืองทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้มีเซียนกระบี่หลายท่านตั้งใจอบรมสั่งสอน ก็ยังไม่มีความเป็นไปได้สักนิดที่จะเติบโตกลายมาเป็นเฉินชิงตู อาเหลียงหรือต่งซานเกิงคนถัดไป

จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่ที่นี่ ที่จริงแล้วทำให้เจ้าต้องเสียสมาธิ ถ่วงเวลาการฝึกตนของเจ้าใช่ไหม?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับพลางส่งเสียงอืมหนึ่งที ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

แต่นางก็พูดอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า “แต่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าดีใจมาก ตอนฝึกตนอยู่ที่แท่นสังหารมังกรในบ้านมักจะอดคิดถึงเจ้าบ่อยๆ ไม่ได้ พอคิดถึงแล้วก็เหม่อลอย เหม่อลอยเสร็จก็จะตรงมาหาเจ้า พอกลับไปถึงบ้านก็รีบร้อนจัดการธุระในตระกูลให้เสร็จสิ้น แล้วก็ดูเหมือนว่าวันหนึ่งจะผ่านไปเช่นนี้ ก่อนเข้านอนก็จะรอคอยให้ได้พบเจ้าในวันพรุ่งนี้”

นี่ก็คือหนิงเหยา

ฉีจิ้งชุนเคยเตือนจ้าวเหยาลูกศิษย์ในโรงเรียนที่หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็นว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ชอบหนิงเหยา เพราะนางคือกระบี่คมกริบที่ไร้ฝักเล่มหนึ่ง ง่ายที่จะทำร้ายคนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งตัวนางเอง

หนิงเหยามองโลกนี้โดยแบ่งแยกถูกผิด แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเย็นชาไร้น้ำใจ

เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาหนึ่งคน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่างมากสุดสามวัน ข้าจะไปจากที่นี่ จากนั้นจะไปอุตรกุรุทวีปที่เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ทั้งฝึกหมัดและฝึกกระบี่ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อมีคุณสมบัติเข้าร่วมการรบของที่นี่แล้ว ข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่!”

หนิงเหยาเงียบงัน รู้ดีว่าทำอย่างนี้ถูกต้องที่สุด แต่นางก็ยังไม่เต็มใจจะพูดมันออกไป ไม่เต็มใจจะพยักหน้า

กลับกันนางยังอดบ่นเจ้าคนข้างกายผู้นี้ไม่ได้ว่า ทำไมต้องตัดสินใจเร็วขนาดนี้

เฉินผิงอันอยากดื่มเหล้า แต่หนิงเหยากลับกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือแน่น แถมนางยังจงใจเปลี่ยนมือที่ถือน้ำเต้าคล้ายอยากให้มันอยู่ห่างๆ จากเฉินผิงอัน

หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ในประวัติศาสตร์การโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเผ่าปีศาจจะยาวนานติดต่อกันประมาณยี่สิบสามสิบปี ให้เวลาเจ้าสิบปีในการเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด พอหรือไม่?”

แล้วหนิงเหยาก็พูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง “แค่สิบปี จะมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”

เฉินผิงอันขยับก้น หันหน้าเข้าหาหนิงเหยา พูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลง แต่เจ้าก็ต้องรอข้าด้วยนะ”

หนิงเหยาเองก็เบี่ยงตัวกลับมาหันหน้าเข้าหาเขา ยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คืนให้เขาแล้วถึงได้พยักหน้ารับ “ตกลง”

เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วก็แหงนหน้าดื่มเหล้า

หนิงเหยาพูดเบาๆ “ข้ามีข้อเสียมากมาย”

เฉินผิงอันยิ้มบาง “ไม่เป็นไร ข้าชอบเจ้า”

หนิงเหยาน้ำตาคลอ

เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาน้อยๆ ไปวางประคองลงบนแก้มนางเบาๆ

หนิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ปฏิเสธ นางแค่หลับตา เพราะไม่กล้ามองสบตาเขา

และในช่วงเวลาที่ฟ้าดินเงียบสงัดราวกับว่าบนโลกนี้เหลือแค่คนทั้งสองนั้นเอง เสียงกระแอมเบาๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่ถูกเวลา

เฉินผิงอันรีบหดมือกลับ ดื่มเหล้าปกปิดความกระอักกระอ่วนของตัวเอง ส่วนหนิงเหยาหันหน้าไปมอง บนคิ้วที่แคบยาวอัดแน่นไปด้วยปราณสังหาร แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นก็คือปู่เฉินเซียนกระบี่เฒ่า เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ห่างจากคนทั้งสองนัก พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กลัวว่าเดี๋ยวจะลืม เลยต้องรีบมาพูดกับเฉินผิงอัน”

“พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ”

หนิงเหยารับกาเหล้ามาแล้วก็ขยับตัวหันหน้าไปทางเมือง หันหลังให้เซียนกระบี่เฒ่า

เฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพง เอ่ยถาม “ท่านปู่เฉิน มีเรื่องอะไรหรือ?”

ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ทางทิศใต้มีภาพวาดของผู้เฒ่าตาบอดที่สวยงาม ทางทิศตะวันตกมีน้ำแกงไก่ของลาหัวโล้นเฒ่าที่อร่อย ภาคกลางมีตัวอักษรของบัณฑิตที่สง่างาม ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านี้น่าสนใจมาก แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือตาแก่พวกนี้ แต่ละคนหนังเหนียวกันทั้งนั้น”

เฉินผิงอันไม่มีกล่องกระบี่แล้วจึงไม่สามารถนำ ‘ปราณยาว’ เล่มนี้มาสะพายไว้ด้านหลังได้ ได้แต่ยืนกอดกระบี่ด้วยสองมือเท่านั้น

เซียนกระบี่ผู้เฒ่ามองประเมินเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ในที่สุดก็มีท่าทางของเซียนกระบี่สักที”

หนิงเหยาพลันหันขวับไปมองทางทิศใต้

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงมารบกวนพวกเจ้าสองคน”

สายตาของหนิงเหยาเฉียบกร้าว ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศในทันที

ผู้เฒ่าหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอัน “รีบบอกลากับแม่หนูหนิงซะ ข้าจะส่งเจ้ากลับภูเขาห้อยหัว”

เฉินผิงอันยืนกอดกระบี่ แหงนหน้ามองหนิงเหยา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

หนิงเหยาเองก็ก้มหน้าลงมา นางรีบโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เฉินผิงอัน

ผู้เฒ่าพูดยิ้มๆ “ความรักของหนุ่มสาวมากล้นไม่แพ้ปราณกระบี่เลย ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ความรักความอาลัยที่อัดแน่นเต็มอก เก็บไว้ค่อยมาพูดกันคราวหน้าเถอะ”

ผู้เฒ่างอนิ้วดีดเบาๆ เฉินผิงอันที่เพิ่งจะรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลันถอยกรูดไปด้านหลัง

นาทีถัดมา รอจนเฉินผิงอันยืนได้มั่นคงแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนหัวกำแพง แต่มาอยู่ตรงลานกว้างตีนเขาภูเขาเดียวดาย

ที่นี่มีเพียงดวงตะวันที่ส่องแสงแรงกล้า ไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่พระจันทร์ลอยพร้อมกันสามดวงอย่างใต้หล้าแห่งนั้น

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามองเด็กหนุ่มถือกระบี่หิ้วน้ำเต้าที่ยืนเซ่อ

ก็แค่จากลาเท่านั้น

แต่กลับทำให้เฉินผิงอันถึงขนาดลืมไปว่าตัวเองมีสุราให้ดับทุกข์

บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งนั่งอยู่ริมขอบกำแพง สองขาแกว่งไกว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าอยากเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เวลาดีใจก็ผลิดอกเบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วง เวลาเสียใจก็ปลิดใบร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิ”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!