เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ แล้วก็ไม่มองภาพเหตุการณ์ประหลาดของที่แห่งนั้นอีกต่อไป ชำเลืองตามองยันต์สยบปีศาจที่แปะไว้บนประตูใหญ่ เป็นเพียงยันต์กระดาษเหลืองธรรมดา เอามาใช้ก็ไม่เสียดายสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ฝนตกใหญ่ขนาดนั้น บานประตูจึงถูกน้ำฝนเปียกซึมไปหมดแล้ว แต่พอเฉินผิงอันเอายันต์มาแปะไว้บนประตู มันกลับติดแน่นมากผิดปกติ
บนประตูแปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสสององค์ซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ไม่รู้ว่าเป็นอริยะของศาลบู๊ที่ได้เสวยสุขควันธูปอยู่ในใบถงทวีป หรือแม่ทัพใหญ่ผู้มีคุณูปการในประวัติศาสตร์ของแคว้นเฉินเซียงกันแน่
ปีนี้ผ่านไปเกินครึ่งปี เทพทวารบาลที่แปะอยู่บนประตูผ่านลมพัด ผ่านแดดส่อง ผ่านฝนชะ สีจึงซีดจางเต็มที อีกทั้งยังหม่นแสงไร้ประกาย แผ่กลิ่นอายของความเสื่อมสภาพร่วงโรยออกมาเสี้ยวหนึ่ง
หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ เลือดลมก็เปี่ยมล้น จิตวิญญาณกร้าวแกร่ง วิธีที่เขามองและปฏิบัติต่อฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเล็กน้อย เขาสามารถคว้าจับการหมุนเวียนของปราณวิญญาณซึ่งคล้ายคลึงกับการมองปราณของผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะเมื่อสวมชุดจินหลี่ บวกกับระดับการดึงดูดปราณวิญญาณของชุดคลุมอาคมชุดนี้ ต่างฝ่ายต่างช่วยพิสูจน์ยืนยันกันและกัน ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับจึงมากมหาศาล
เงยหน้ามองเทพทวารบาลสององค์ที่สวมเสื้อเกราะวาววับ แต่งกายน่าเกรงขาม แต่ในความเป็นจริงแล้วความศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวหนึ่งที่เคยมีได้สูญหายไปท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานแล้ว เนื่องจากถูกปราณหยินที่ดุร้ายในตรอกประหลาดแห่งนี้ค่อยๆ กัดกิน เผาผลาญไปทีละนิดจนสิ้นซาก
นี่เรียกว่าวีรบุรุษปราณสั้นได้หรือไม่? (เปรียบเปรยถึงคนมีความสามารถที่หมดอาลัยตายอยากเพราะได้พบเจอกับอุปสรรค)
เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที เขย่งปลายเท้า ใช้ปลายนิ้วลูบรอยยับย่นบนแผ่นยันต์ให้เรียบ ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่ง หากคิดตามราคาตลาดแล้ว จะสามารถซื้อภาพเทพทวารบาลที่มีสีสันได้กี่คู่? พอคิดถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หงุดหงิดเล็กน้อย เขารู้ดีถึงจุดประสงค์ของผีร้ายพวกนั้น นี่คือการสำแดงอำนาจบารมี คงเพราะอยากจะให้คนนอกสองคนที่มีปราณหยางเปี่ยมล้นอย่างเขาและลู่ไถรู้กาลควรไม่ควร รีบออกไปจากที่นี่ สองฝ่ายเป็นเหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ปิดประตูลั่นดาล ส่วนลู่ไถที่ตื่นแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะนอนอีก เขาเองก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้หน้าประตูห้องเหมือนกับเฉินผิงอัน ไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก ลู่ไถก็ชิงอธิบายก่อนว่า “แค่พวกวัตถุหยินที่ตบะตื้นเขิน ได้แค่ข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น อย่างมากสุดคือทำร้ายพวกชาวบ้านที่เกิดมาก็มีปราณหยางเบาบาง หากไม่โผล่ออกมาให้พวกชาวบ้านตกใจเวลาเดินทางตอนกลางคืน ฉวยโอกาสขโมยจิตวิญญาณไปเล็กน้อยตอนที่พวกเขาใจสั่น ก็เลือกช่วงเวลาที่ชาวบ้านซึ่งบรรพบุรุษไม่เคยสะสมบุญ แกล้งทำเป็นผีอำตอนพวกเขาฝันร้าย อืม ส่วนคนบางส่วนที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ไปฉี่รดตรงทางสามแพร่งที่เป็นทางผ่านของพวกผีและวิญญาณ นั่นเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง”
ลู่ไถเอาพัดไม้ไผ่เล่มนั้นออกมาพัดดังพึ่บพั่บ อากาศเย็นเยียบในลานบ้านพลันจางหาย ความอบอุ่นเพิ่มเข้ามาอย่างไร้สาเหตุ ท่ามกลางน้ำฝนมีไอสีเทาเป็นเส้นๆ ลอยขึ้นมา หมุนเป็นเกลียวแล้วหายไป
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ผีกลุ่มนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย พอๆ กับพวกคนที่มีชีวิตอยู่ในป้อมอินทรีบินนี่แหละ มองความตื้นลึกหนาบางของพวกเราไม่ออกเลยแม้แต่น้อย น่าเสียดายยันต์สยบปีศาจแผ่นนั้น หากเปลี่ยนให้เทียนซือตระกูลจาง หรือนักเวทย์ที่มีวิชาสูงส่งของพรรคหลิงเป่าเป็นคนวาด ด้วยวัสดุชนิดนี้ของเจ้า…”
ลู่ไถหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผลของเฉินผิงอัน “แค่แปะยันต์แผ่นเดียวลงบนประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบินก็สามารถปกป้องคนหลายร้อยคนของที่แห่งนี้ให้ไม่ต้องถูกพวกวัตถุหยินรุกราน อย่างน้อยก็สามปีห้าปี ไหนเลยจะเหมือนคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างเจ้า ได้แต่อาศัยลมปราณบริสุทธิ์เฮือกหนึ่งวาดลงไปบนยันต์ ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่สามารถเชื่อมโยงกับปราณวิญญาณฟ้าดินได้ ยันต์แผ่นนี้ก็คือน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด จะอยู่ได้สักกี่วันกันเชียว?”
เฉินผิงอันนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ทำไมเจ้าไม่ปรากฎตัวให้เร็วกว่านี้?”
ลู่ไถยิ้มบางๆ “จะให้ข้าปรากฏตัวทำไม ให้ออกมาพูดคุยถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นี่งั้นหรือ? ถามพวกมันว่าเพื่อออกมาข่มขู่เจ้า ควรจะจัดลำดับการแสดงตัวกันอย่างไร? ทำอย่างไรน้ำฝนถึงกลายเป็นเลือด? ข้ามีแต่จะบอกพวกมันด้วยความหวังดีว่า วิธีผีหลอกคนของพวกมันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ถึงเวลานั้นข้าอาจจะอดไม่ไหวสอนพวกมันไปอีกหลายกระบวนท่า…”
ลู่ไถยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนเปื้อน มือที่ถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าของเฉินผิงอันชี้นิ้วไปนอกประตู บอกเป็นนัยแก่ลู่ไถว่าถ้าจะออกไปตีสนิทกับพวกมันก็เชิญ
ลู่ไถนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับดุจขุนเขา เขาหุบพัดดังพั่บ “ข้าชอบคบค้าสมาคมกับภูติปีศาจที่ถูกเลี้ยงอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงขั้นพูดได้ว่าอยู่ด้วยกันมานานจนเกิดความเคยชิน หากไม่เป็นเพราะเจ้าเฉินผิงอันรำคาญพวกมัน มีพวกมันลอยไปลอยมาอยู่ข้างนอกทำให้ข้าหลับสนิทฝันดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ลูกศิษย์สำนักหยินหยางอย่างพวกเจ้าไม่ใช่ว่ามีข้อห้ามในเรื่องนี้หรอกหรือ?”
ลู่ไถแหงนหน้ามองม่านน้ำฝน พูดเบาๆ ว่า “ไม่ใกล้ชิดความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ป้อมอินทรีบินแห่งนี้มีผีร้ายตัวจริงซ่อนอยู่ใช่ไหม?”
ลู่ไถพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นตอนก่อนจะต่อสู้กัน ข้าจะพูดว่า ‘เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมให้ใส่ความคนอื่น’ ทำไม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เขายังจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน
ลู่ไถวางมือสองข้างไว้บนที่พักแขนของเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ห้อยลู่ลงมาด้านล่าง “หากพวกเราสองคนตายไป กลายเป็นยวนยางสิ้นชีพอยู่ในป่าลึกแห่งนั้น เจ้าคิดว่าโยนความผิดให้กับคนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างป้อมอินทรีบินแห่งนี้ จะมีคนเชื่อไหม? ย่อมต้องโทษว่าเป็นฝีมือของพวกผีร้ายเหล่านั้นอยู่แล้ว”
ใจของเฉินผิงอันกระตุก พลันลุกขึ้นเดินไปที่ประตูใหญ่
ตรอกเล็กด้านนอกมีเสียงความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นระลอกหนึ่ง แสงสีทองของยันต์สยบปีศาจสว่างเจิดจ้า ครั้นจึงหายวับไป
ลู่ไถหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องไปแล้ว ผีพวกนั้นยังไม่ยอมแพ้ ต้องให้เสียเปรียบซะก่อนถึงจะจดจำ ตอนนี้ได้รับบทเรียนไปแล้ว ช่วงนี้ก็น่าจะเคารพพวกเราอยู่ไกลๆ หลังจากนี้ข้าคิดอยากจะได้ยินเสียงสวรรค์ที่ทำให้คนประทับใจ อยากจะนอนหลับฝันดีก็ยากแล้ว”
เฉินผิงอันเปิดประตูใหญ่ เดินข้ามธรณีประตูออกไป เงยหน้ามองประเมินยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจก็เห็นว่านอกจากรอยสกปรกจางๆ หนึ่งจุดแล้ว ก็ไม่มีวี่แววว่าแก่นแท้ของยันต์จะแตกสลาย หรือแสงศักดิ์สิทธิ์จะสั่นคลอน พวกภูติผีที่มาลองดีหยั่งเชิงกับยันต์ตบะไม่สูงอย่างที่ลู่ไถว่าไว้จริงๆ
เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ตัดสินใจแล้วว่า หากอีกฝ่ายยังมาท้าทายราวีไม่เลิก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ชั่วร้ายแล้วกัน
ลู่ไถสอดมือสองข้างรองไว้ใต้ท้ายทอย “ใบถงทวีปแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผู้คนหัวโบราณอย่างมาก ไม่ค่อยชอบคนต่างถิ่นที่มาจากทวีปอื่นสักเท่าไหร่ หากคนที่อยู่ตรงนี้เปลี่ยนมาเป็นเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป ป่านนี้คงถูกคนล้อมโจมตีจนร่อแร่ใกล้ตายแล้ว ไหนเลยจะเหมือนแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าที่ยังสามารถนั่งลงดื่มชา พูดคุยด้วยเหตุผล ต่อรองราคากันอย่างปรองดอง”
เฉินผิงอันขูดดินโคลนที่ติดใต้รองเท้ากับขั้นบันได คิดแล้วก็พูดช้าๆ ว่า “แจกันสมบัติทวีปอยู่ใกล้กับกุรุทวีปมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างต้าหลีกับเซี่ยสือก็ค่อนข้างจะลึกลับ ทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่แค่เรื่องของขนบธรรมเนียมท้องถิ่นในทวีปหนึ่งเท่านั้น ลู่ไถ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ลู่ไถจุ๊ปากพูด “ใช้ได้ๆ เฉินผิงอัน เดี๋ยวนี้ยิ่งนานเจ้าก็ยิ่งสามารถมองปัญหาในมุมของคนที่ยืนอยู่บนภูเขาแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลที่เคยผ่านภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มาแล้ว”
เฉินผิงอันเตรียมจะยกเก้าอี้กลับเข้าไปในห้อง ลู่ไถก็พลันพูดขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ถ้าหากรวมหม่าว่านฝ่าเข้าไปด้วย อันที่จริงพวกเขารับมือกับผู้ฝึกลมปราณกึ่งโอสถทองคนหนึ่งก็ไม่ยากเลย การที่พวกเราเอาชนะได้ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย”
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างเก้าอี้เอ่ยถามว่า “หากพวกเราสองคนต้องรับมือกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง จะมีโอกาสชนะไหม?”
“มี แต่โอกาสชนะมีไม่มาก”
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองแทบทุกคนล้วนเป็นพวกที่มีจิตใจแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเวทอภินิหารให้ใช้นับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเราต้องทุ่มสุดชีวิตเพื่อสู้กับพวกเขา ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกพวกเขาผลาญพลังจนตายทั้งเป็น เจ้าน่าจะรู้กระมังว่า ขอบเขตเก้าโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณกับขอบเขตเจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากรวมกับขอบเขตทั้งหลายก่อนหน้านี้ของแต่ละฝ่าย จะถูกเรียกขานว่า ‘พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน’”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ ส่ายหน้าพูดว่า “อันที่จริงข้าไม่ค่อยรู้หรอก เจ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
ลู่ไถดวงตาเป็นประกาย “เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังแล้ว คราวหน้าที่แบ่งสมบัติกันอย่างเป็นทางการ สามารถลดเงินเกล็ดหิมะที่ต้องมอบให้เจ้าหนึ่งร้อยเหรียญได้ไหม?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แค่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ เจ้าก็ยังติดใจด้วยหรือ?”
ลู่ไถหัวเราะฮ่าๆ “ข้าย่อมไม่ติดใจเงินเกล็ดหิมะแค่นี้อยู่แล้ว ข้าแค่ชอบความรู้สึกที่ได้เอาเปรียบคนอื่นเท่านั้น”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาข้างหนึ่งบอกเป็นนัยแก่ลู่ไถว่าเขาได้เงินแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!