ต่างก็บอกกันว่าตรอกแห่งนี้เคยมีสงครามนองเลือดเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนหน้าที่ป้อมอินทรีบินจะจมหายไปจากยุทธภพ ในขณะที่อดีตเจ้าประมุขเพิ่งจะลาลับไปจากโลกนี้ มีศัตรูกลุ่มหนึ่งที่ตั้งก๊กตั้งเหล่าฉวยโอกาสแอบเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แต่ละคนล้วนมือเปื้อนเลือด หากไม่ใช่ยอดฝีมือลัทธิมารก็ต้องเป็นปรมาจารย์ฝ่ายอธรรม ล้วนเป็นเหล่าผู้นำในแต่ละฝ่ายของยุทธภพที่อดีตเจ้าประมุขเคยทำร้ายจนบาดเจ็บและพิการมาก่อน
พวกเขาเผยเบาะแสของตัวเองโดยไม่ทันระวัง จึงถูกป้อมอินทรีบินที่เตรียมพร้อมมานานแล้วกักตัวอยู่ในตรอกแห่งหนี้เหมือนจับตะพาบในไห การเข่นฆ่าครั้งนั้นเลือดนองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันจนศีรษะกลิ้งหลุนๆ มีทั้งศีรษะของฝ่ายผู้ร้าย แล้วก็มีทั้งศีรษะของรุ่นผู้อาวุโสแห่งป้อมอินทรีบิน เศษแขนขากองให้เกลื่อน แทบจะไม่มีศพไหนที่ครบสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าตอนสุดท้ายคนของป้อมอินทรีบินที่มาเก็บศพ ไม่มีใครสักคนที่ไม่อ้วกเอาน้ำดีขมๆ ออกมา
ป้อมอินทรีบินคือพรรคในยุทธภพที่รุ่นบรรพบุรุษเคยร่ำรวยอู้ฟู่มาก่อน เคยมีช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ยาวนาน แต่ภายหลังตกต่ำ ในบรรดาคนรุ่นเก่าของยุทธภพแคว้นเฉินเซียง ต่อให้ทุกวันนี้สกุลหลวนจะเงียบหายไปหลายปี แต่ก็ยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะนายท่านผู้เฒ่าหลวนที่เสียชีวิตไปแล้วที่มีคุณธรรมสูงส่ง ตอนยังหนุ่มก็เลื่องระบือไปทั้งยุทธภพ เป็นผู้กล้าที่คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้จัก
น่าเสียดายก็แต่พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของหลวนหยางเจ้าประมุขคนปัจจุบันธรรมดาไม่โดดเด่น ไม่สามารถประคับประคองชื่อเสียงและบารมีของป้อมอินทรีบินให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง อีกทั้งหลวนฉางก็ยังเด็ก จึงกลายเป็นว่าเกิดสถานการณ์น่ากลัดกลุ้มใจที่ตรงกลางขาดคนสืบทอดความรุ่งโรจน์
แต่หากพลิกเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่ นับจากรุ่นของนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นไปสองรุ่น สิ่งที่สามารถนำขึ้นเวทีออกหน้าออกตาของป้อมอินทรีบินมีมากมายจริงๆ
ดังนั้นป้อมอินทรีบินที่ยิ่งใหญ่ คนสี่ร้อยกว่าคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง
แม้ว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับจะทำให้ต้องมาเร้นตัวอยู่ห่างไกล แต่ป้อมอินทรีบินกลับไม่ถือว่าเป็นกบใต้กะลา
นับตั้งแต่เด็ก แทบทุกคนล้วนต้องได้ยินเรื่องราวที่มหัศจรรย์ของป้อมอินทรีบินมามากมาย และนายท่านผู้เฒ่าหลวนก็เป็นหนึ่งสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของแคว้นเฉินเซียง
เพื่อนสนิทที่เคยท่องยุทธภพร่วมกับนายท่านผู้เฒ่าหลวนตอนยังหนุ่ม ในบรรดายอดฝีมือใหญ่สิบท่าน ทุกวันนี้ยังเหลืออยู่อีกสามท่าน
ส่วนเหล่าไท่จวิน (บรรดาศักดิ์ของมารดาขุนนางในสมัยศักดินา) ว่ากันว่าคือองค์หญิงของแคว้นล่มสลายซึ่งเป็นแคว้นเพื่อนบ้านในราชวงศ์ก่อน ถูกนายท่านผู้เฒ่าหลวนช่วยชีวิตเอาไว้ พวกเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคนานัปการเข้ามาทดสอบ แต่สุดท้ายก็ยังได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามเรื่องหนึ่งในยุทธภพ
หลวนฉางเจ้าปราสาทน้อยแสดงออกถึงพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพละกำลังที่น่าครั่นคร้าม ระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไปขอความรู้จากจอมยุทธ์ใหญ่ภายนอก บ้างก็ประลองฝีมือกับจอมยุทธ์น้อยที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ เรียกได้ว่าวางตัวดีน่าชมเชย ส่วนหลวนซูบุตรสาวของเจ้าปราสาท ว่ากันว่าเป็นคู่หมั้นตั้งแต่ยังแบเบาะกับลูกหลานสายตรงของหนึ่งในสิบยอดฝีมือแห่งแคว้นเฉินเซียง แค่รอให้ชายหนุ่มคนนั้นมาสู่ขอเท่านั้น
ทว่าผู้นำคนรุ่นหนุ่มสาวของป้อมอินทรีบินกลับไม่ใช่หลวนฉาง แต่เป็นคนต่างแซ่คนหนึ่ง เถาเสียหยาง คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าปราสาทหลวนหยาง เรียนรู้ตำราลัทธิขงจื๊อและกังฟูที่ลึกล้ำจากอาจารย์เหอผู้ดูแลใหญ่มาตั้งแต่เด็ก พูดถึงความนิยมแล้ว เขาได้รับความนิยมยิ่งกว่านายน้อยหลวนฉางเสียอีก
เถาเสียหยางมีน้ำใจและความจริงใจ เป็นที่กล่าวขานไปทั่วป้อมอินทรีบิน นิสัยเปิดกว้างร่าเริง ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่กลัว
คนกลุ่มก่อนที่เข้ามาในปราสาท ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำคือจอมยุทธ์ผู้กล้าในยุทธภพที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนสาวงามคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาก็มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับเถาเสียหยาง พวกเขามักจะเดินทางเข้านอกออกในป้อมอินทรีบินด้วยกันเป็นประจำ แค่นางได้ดื่มเหล้าข้างทางที่ถูกที่ที่สุดกับเถาเสียหยางก็สามารถยิ้มแย้มดุจบุปผาผลิบาน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเถาเสียหยางก็เริ่มช่วยเจ้าประมุขและผู้ดูแลเหอหยาทดลองจัดการกิจธุระในป้อมอินทรีบินแล้ว ได้รู้เรื่องวงในมากมาย ชีวิตจึงไม่สุขสบายนัก
ต้อนรับขับสู้ให้การรับรองแขกจากแปดทิศต้องรอบคอบรัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็หลุดรอดไปไม่ได้ ควันธูปของธูปแต่ละก้านที่เหล่าบรรพบุรุษป้อมอินทรีบินทิ้งเอาไว้ จะปล่อยให้พวกมันดับลงอย่างเงียบเชียบไม่ได้ ต้องคอยเชื่อมสัมพันธ์ควันธูปอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา ไปเมืองหลวง ไปเยือนสำนักที่มีชื่อเสียงบนภูเขา ไปเยือนพรรคที่แข็งแกร่งในเมืองใหญ่ มอบเงินให้แก่เหล่าขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ คอยกระชับเชื่อมความสัมพันธ์กับเจ้าถิ่นในสถานที่ต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องให้คนต่างแซ่อย่างเถาเสียหยางผู้นี้ไปทำ ดังนั้นเถาเสียหยางจึงมีประสบการณ์และความรู้ในยุทธภพอย่างเฟื่องฟู โดดเด่นกว่าคนอื่น
มือดาบที่มาเยือนตรอกเล็กในคืนนี้ก็คือเถาเสียหยาง
นักพรตหนุ่มที่เดินทางมาพร้อมกับเถาเสียหยางคือเพื่อนสนิทที่เขารู้จักในยุทธภพ เพียงแค่พบหน้ากันก็เหมือนรู้จักกันมานาน เถาเสียหยางรู้ความลับบางอย่างของนักพรตหนุ่ม รู้ว่าเขาสามารถมองเห็นวัตถุหยินและสิ่งสกปรกทั้งหลาย อีกทั้งยังมีวิธีสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในยุทธภพ หลังจากนักพรตได้รับจดหมายลับขอความช่วยเหลือจากเถาเสียหยาง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินทางมายังป้อมอินทรีบินทันที หลังจากทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง อารมณ์ของนักพรตหนุ่มก็ยิ่งหนักอึ้ง เป็นอย่างที่เถาเสียหยางกล่าวไว้ในจดหมาย ที่ป้อมอินทรีบินมีภูติผีคอยรังควานก่อความวุ่นวายอยู่จริงๆ อีกทั้งตบะยังลึกล้ำมาก มันถึงกับทำลายรากฐานฮวงจุ้ยของป้อมอินทรีบินโดยตรง
นักพรตหนุ่มรู้ความสามารถของตัวเองดี เขาไม่ใช่คนบนภูเขาที่แท้จริงอะไร เพิ่งจะเล่าเรียนมรรคกถากับอาจารย์ที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศแค่ห้าปี เรียนรู้แค่วิชาผิวเผินอย่างการมองลมปราณและการวาดยันต์ อีกทั้งยันต์ที่เขาวาดออกมา บางครั้งก็ศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งก็ไม่ กระบี่เหรียญทองแดงที่เกิดจากการร้อยเรียงกันของเหรียญทองแดงเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าเหรียญที่สะพายไว้บนหลัง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสให้เอาออกมาใช้ จะสยบความชั่วร้ายปราบอธรรมได้หรือไม่นั้น ในใจเขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ
นักพรตหนุ่มชื่อว่าหวงซ่าง คือลูกหลานตระกูลปัญญาชนที่ไม่มีหวังว่าจะสอบติดเคอจวี่ ฝึกมรรคกถามาเกือบห้าปี วาดยันต์ยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจารย์ที่ถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่เขามักจะไม่อยู่ข้างกาย หวงซ่างต้องใช้เงินเก็บแทบทั้งหมดถึงจะสามารถรวบรวมออกมาเป็นกระบี่เหรียญทองแดง ‘สามทงเป่า’ (ทงเป่าคือชื่อเรียกเหรียญทองแดงชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) อย่างเหรียญเสินเช่อ เหรีญหยวนกวางและเหรียญเจิ้งเต๋อของราชวงศ์ก่อนมาได้ อาจารย์เคยบอกว่าเหรียญทองแดงทงเป่าสามชนิดนี้ประทับตราจิ่วเตี๋ยจ้วน มีปราณหยางซุกซ่อนอยู่ด้านในเต็มเปี่ยมเพียงพอมากที่สุด
ส่วนยันต์ที่หวงซ่างวาดนั้น ระดับขั้นยังไม่ดีพอ จึงได้แต่อาศัยปริมาณมาชดเชยเท่านั้น
ให้นักพรตเต๋าครึ่งตัวอย่างเขามารับมือกับวิญญาณดุร้ายของป้อมอินทรีบินเช่นนี้ นับว่าฝืนใจเขามากจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาเป็นเพื่อนรักกับเถาเสียหยาง น้ำใจและคุณธรรมเป็นเหตุ เมื่อเห็นว่าเถาเสียหยางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะมาปราบความชั่วร้ายแทนปวงประชาที่นี่ จะให้เขาทนมองพี่น้องต้องมาตายอยู่ตรงนี้คาตาก็คงไม่ถูกต้อง
คนทั้งสองเรียกกันเป็นพี่น้อง หาใช่เพราะการเวียนจอกเหล้าดื่มบนโต๊ะสุราอย่างพวกจอมยุทธ์ในยุทธภพ แต่เป็นเพราะพวกเขาเคยแลกชีวิตช่วยเหลือกันมาก่อน
เมื่อก่อนเจ้าของเดิมบ้านที่ถูกทิ้งร้างหลังนี้น่าจะมีฐานะพอสมควร ธรณีประตูจึงค่อนข้างสูง และประตูใหญ่ก็ทำมาจากไม้ชั้นดี แถมยังประดับวงกลมที่จับประตูเป็นรูปใบหน้าสัตว์ ทั้งเก่าแก่และหนักอึ้ง
นักพรตหวงซ่างคลำเอายันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก เวลานี้พอนักพรตเห็นว่าประตูใหญ่และกำแพงสูงเปียกแฉะไปด้วยน้ำก็ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรไม่ได้อยู่ข้างพวกเราเลยจริงๆ”
เถาเสียหยางมือดาบอืมรับหนึ่งที จ้องประตูบานนั้นเขม็ง มือหนึ่งกดด้ามกระบี่ แล้วพลันหันตัวกลับ มืออีกข้างที่เหลือตบไหล่ของนักพรตแรงๆ “ข้าจะนำไปก่อน หากสถานการณ์เลวร้าย ช่วยข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจข้า แค่ช่วยหาเรือนหยินที่ฮวงจุ้ยดีให้ข้าสักหลังก็พอ!”
หวงซ่างกำลังจะอ้าปากพูด
เถาเสียหยางกลับยิ้มกว้างสดใสเสียก่อน “นี่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยตามมารยาท! หากตายอยู่ที่นี่กันทั้งสองคน จะต้องไปแย่งกันดื่มเหล้าอยู่ข้างล่างอีกหรือไง?!”
เถาเสียหยางหดมือกลับมา ลมปราณร่วงดิ่งสู่จุดตันเถียน ยกดาบฟันเข้าไปที่ประตูใหญ่ “จงเปิดออกให้ข้า!”
ดาบพุ่งมาอย่างดุดัน ถึงกับผ่าให้ประตูใหญ่แยกออกเป็นสองท่อน เถาเสียหยางก้าวยาวๆ เข้าไปข้างในอย่างเด็ดเดี่ยว
ทันใดนั้นทุกย่างก้าวของเขาก็หนักอึ้งเหมือนจมลงไปในบ่อโคลน เถาเสียหยางไร้ความเกรงกลัว ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วโบกดาบไปเบื้องหน้า แต่ละดาบผ่าลงกลางความว่างเปล่า ประกายแสงดาบที่ทอรัศมีจางๆ น่าสะพรึงกลัว เห็นได้ชัดว่าเขาพบเจอเส้นทางที่ถูกต้องบนวิถีวรยุทธ์ของตัวเองแล้ว
เถาเสียหยางใช้ดาบบุกเบิกทาง ตรงดิ่งไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง
ยันต์ ‘วิญญูชนพกยันต์’ สองแผ่นที่ซ่อนไว้ตรงสาบเสื้อหน้าอกกับตรงเอวของเขาพลันกลายเป็นสีดำเหมือนถูกอาบย้อมด้วยหมึก ปราณวิญญาณที่เดิมทีก็มีไม่มากสลายหายไปสิ้น
หวงซ่างกำลังจะก้าวเร็วๆ ตามไป เพียงแต่รู้สึกว่ามีลมเย็นยะเยือกพัดวูบๆ มาจากด้านในของประตู จึงต้องหาจุดที่ค่อนข้างแห้งสองจุดแถวผนังด้านในกำแพงใหญ่ติดยันต์พิทักษ์เรือนสองแผ่นลงไปเสียก่อน ถึงจะพอวางใจได้ ไม่ถึงขั้นหายใจหายคอไม่คล่อง จากนั้นมือสองข้างก็คีบยันต์มือละแผ่น แบ่งออกเป็น ‘ยันต์กวงหัวเจินจวินถือกระบี่’ และ ‘ยันต์ตราประทับเยว่จางของหวงเสิน’ ล้วนเป็นยันต์คุ้มกันกายที่มีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยบรรพกาล ค่อนข้างเป็นที่นิยมในวงกว้าง
เพียงแต่ว่าหวงซ่างเพิ่งจะเดินต้านลมเย็นไปได้แค่สามก้าวก็ค้นพบว่ายันต์ถือกระบี่และยันต์ตราประทับกลายเป็นสีดำไปแล้วเกินครึ่ง ราวกับว่ายันต์สองแผ่นนี้เพิ่งถูกดึงออกมาจากแท่นฝนหมึก ในใจของนักพรตหนุ่มตะลึงพรึงเพริดอย่างหนัก อดไม่ไหวต้องรีบตะโกนไปเสียงดัง “ปราณชั่วร้ายเข้มข้นหนักอึ้งราวกับน้ำ ภูตผีของที่นี่ต้องไม่ใช่วิญญาณที่ตายอยู่ในตรอกเล็กด้วยความไม่เป็นธรรมในปีนั้นอย่างแน่นอน! ต้องเป็นผีร้ายที่เร่ร่อนมาแล้วเกินร้อยปีขึ้นไป! เสียหยาง รีบถอยออกจากจวนเร็วเข้า…”
เพียงแต่ว่าประตูของห้องหลักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเปิดออกด้วยตัวเอง เถาเสียหยางโบกดาบก้าวเข้าไป แล้วประตูก็ปิดลงดังปัง
ใบหน้าของหวงซ่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พยายามกรอกเทปราณวิญญาณบางเบาเข้าไปยังยันต์สองแผ่นในมือที่โดนเล่นงาน ตวาดกร้าวอย่างแค้นเคือง “เปลี่ยนย้ายหายนะ!”
ยันต์ถือกระบี่ไม่มีความเคลื่อนไหว ปราณชั่วร้ายรวมตัวกันกลายมาเป็นน้ำหมึกที่แทรกซอน สองนิ้วที่คีบยันต์เหมือนถูกไฟลวก หวงซ่างรีบโยนยันต์แผ่นนั้นทิ้งไปทันที
ยังดีที่ยันต์ตราประทับมีแสงวิเศษกระเพื่อมไหวแล้วพลันส่องเจิดจ้า สาดสะท้อนภาพประหลาดรอบด้านให้เห็นเด่นชัด
ยันต์ติดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว กระดาษสีเหลืองถูกเผาผลาญจนเกิดควันเขียวกลิ่นแสบจมูก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!