ส่วนเรื่องที่ว่านอกเหนือจากความกระตือรือร้นมีมารยาทของสองพี่น้องแล้ว ตรงหว่างคิ้วของพวกเขายังมีพยับเมฆลอยอวลอยู่ เฉินผิงอันก็มองเห็นเช่นกัน
ดูท่าผีร้ายที่ก่อกวนโจมตีชาวบ้านอย่างกำเริบเสิบสานคงจะสร้างความกลัดกลุ้มและเป็นกังวลอย่างใหญ่หลวงให้กับป้อมอินทรีบิน
ยุทธภพด้านล่างภูเขา ไม่ว่าเจ้าจะมาจากพรรคใหญ่หรือตระกูลสูงศักดิ์แค่ไหน แต่การรับมือกับเรื่องแบบนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงอยู่ดี
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหอหลักของป้อมอินทรีบิน ตัวหอสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่และทรงพลัง กรอบป้ายลายมือของคนมีชื่อเสียง กลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลหลากสีสันที่สูงเท่าตัวคน สิงโตหมอบหยกขาวสองฝั่งซ้ายขวา สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมีเกียรติและรากฐานของสกุลหลวนแห่งป้อมอินทรีบินในอดีต
แสงไฟในห้องโถงใหญ่ที่เลี้ยงรับรองแขกถูกจุดสว่างไสว มีเทียนสีแดงเล่มหนาเท่าแขนเด็กทารกส่องแสงอยู่หลายเล่ม และยังมีของเก่าวางประดับไว้หลายชิ้น ภาพอักษรแม่น้ำและภูเขาขนาดใหญ่ ฉากบังลมที่วาดเป็นภาพทิวทัศน์ของตระกูลเซียน เจ้าประมุขหลวนหยางและฮูหยิน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยา รวมไปถึงผู้อาวุโสแซ่หลวนหลายคนต่างก็มายืนรอต้อนรับเด็กหนุ่มสองคนที่มาเยือนป้อมอินทรีบินเป็นครั้งแรกอย่างนอบน้อม
ด้านหลังคือลูกหลานสายหลักและสายรองที่หน้าตาและความสามารถโดดเด่นจำนวนมาก คนเหล่านี้ต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันและลู่ไถ เพราะถึงอย่างไรการที่ทุกคนออกมาให้การต้อนรับอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ก็หาได้ยากมาก
ลู่ไถใช้เสียงในใจสื่อสารกับเฉินผิงอัน “ไม่ยื่นมือตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินฉลาดพอ หลังจากที่ดื่มคารวะครบสามรอบแล้วจะต้องเป็นฝ่ายขออภัยพวกเราด้วยตัวเอง”
ลู่ไถมีสาระได้ไม่นาน เขากวาดตามองไปรอบด้าน เสียงพูดดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “มีของโบราณไม่น้อยเลยทีเดียว บรรพบุรุษตระกูลหลวนของป้อมอินทรีบินอู้ฟู่ร่ำรวยมากเลยนะเนี่ย อยู่ล่างภูเขาของใบถงทวีปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากไม่เพราะเจอกับเหตุไม่คาดฝัน ก็คงไม่ต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ เกรงว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเผยโฉมก็คงไปเชิญเซียนซือของแคว้นเฉินเซียงหรือไม่ก็แคว้นใกล้เคียงมาปราบปรามวัตถุหยินเหล่านั้นได้นานแล้ว”
ก่อนหน้านั้นลู่ไถเคยเล่าให้ฟังว่าลูกศิษย์ของสำนักการค้าของใต้หล้าไพศาลได้เสนอคำเรียกว่า ‘เงินเก่า’ และ ‘เงินใหม่’
โรงฝากเงินมีการแบ่งเก่าและใหม่ มีทั้งร้านเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาหลายร้อยปีหรือถึงขั้นพันปีโดยที่ไม่เคยล้มลง แล้วก็มีร้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเพราะสถานการณ์บางอย่าง ตั๋วเงินที่ทั้งสองฝ่ายปล่อยไปและใช้หมุนเวียนย่อมมีความใหม่เก่าต่างกันไปตามปี
ก่อนจะนั่งลง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฮูหยินเจ้าประมุขท่านนั้นอย่างเฉียบไว ลมปราณตลอดทั้งร่างของนางถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ อีกทั้งยังเป็นเมฆหมอกประเภทที่มืดดำอึมครึมด้วย เห็นได้ชัดว่าถูกปราณสกปรกรุกราน ภายนอกแม้หน้าตาของฮูหยินท่านนี้จะงดงาม บำรุงตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้วพลังต้นกำเนิดกลับเสื่อมถอย ใกล้จะเป็นดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด
ลู่ไถไม่ได้มองนางแม้แต่ครั้งเดียว
อาหารในงานเลี้ยงไม่ถึงขั้นเป็นอาหารเลิศรสหายาก แต่เป็นอาหารป่าและสัตว์จากในแม่น้ำ บวกกับผลไม้ตามฤดูกาล ตั้งแต่ต้นจนจบหลวนหยางไม่ได้วางท่าใหญ่โต เขาสำรวมเจียมตนอย่างยิ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นตัวของตัวเองจากลูกหลานสกุลหลวนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะยกจอกเหล้าหรือจับตะเกียบคีบอาหารก็ล้วนทำอย่างขอไปที ส่วนใหญ่มักจะรอให้เจ้าประมุขเสนอให้ดื่มคารวะก่อน พวกเขาค่อยทำตาม
เพียงแต่ลู่ไถเดาผิดไป ต่อให้งานเลี้ยงใกล้จะเลิก หลวนหยางเจ้าประมุขก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในตรอกที่คนทั้งสองไปพักแรม พูดแค่ว่าป้อมอินทรีบินมีสภาพแวดล้อมกันดาร รับรองได้ไม่ทั่วถึง หวังว่าคุณชายทั้งสองท่านจะให้อภัย แต่รอจนดื่มเหล้าจอกสุดท้ายหมด ทุกคนพากันลุกขึ้นลาจากไป หลวนหยางและฮูหยินกลับพาเฉินผิงอันและลู่ไถขึ้นไปบนดาดฟ้าชมทิวทัศน์ด้วยตัวเอง พอขึ้นไปถึงด้านบน ขณะที่ทุกคนทอดสายตามองไปยังทิศไกล หลวนฉางและหลวนซูก็นำของขวัญมามอบให้คนละหนึ่งชิ้น ล้วนบรรจุไว้ในกล่องไม้ หลวนหยางบอกว่าเป็นของโบราณสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของป้อมอินทรีบิน ไม่มีค่า แต่ก็ถือว่าหาได้ยาก ให้เป็นของขวัญพบหน้าเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าวันหน้าคุณชายทั้งสองท่านจะมาเป็นแขกที่ป้อมอินทรีบินบ่อยๆ ทางป้อมจะต้องปัดกวาดเตียงรอต้อนรับอย่างดี
ลู่ไถตอบกลับได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ
เขาลูบคลำราวระเบียงพลางพึมพำว่า “สถานที่ดี”
ดังนั้นทั้งเจ้าบ้านและแขกจึงแยกย้ายกันไปด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย หลวนซูอยากจะไปส่งคนทั้งสองถึงตรอกที่พัก แต่กลับถูกหลวนฉางหาข้ออ้างรั้งตัวเอาไว้ แม้ว่าในใจหลวนซูจะไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงดันจะไปจากหอหลัก นางมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่เดินเคียงบ่ากันไปบนถนนกว้างใหญ่ หลวนฉางเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เสียหยางบาดเจ็บหนักขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ไปดูเขาสักหน่อย?”
หลวนซูขมวดคิ้วพูด “ท่านพ่อและท่านลุงเหอต่างก็บอกเขาแล้วว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาก็ยังมุทะลุอยู่อย่างนั้น หากไม่เป็นเพราะคืนนี้จะมีเซียนซือมาเยือนป้อมอินทรีบิน เราจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ได้ยังไง? เถาเสียหยางโตขนาดนี้แล้ว แถมยังมีหน้าที่จัดการกิจธุระครึ่งหนึ่งของป้อมอินทรีบิน แต่ทำไมถึงยังทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเองแบบนี้? แค่ไปอยู่ในยุทธภพด้านนอกมาไม่กี่วันก็ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว…”
หลวนฉางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไม่ว่าอย่างไรเถาเสียหยางบาดเจ็บสาหัสก็เพื่อป้อมอินทรีบินของพวกเรา เจ้าเลิกพูดจาถากถางเขาซะที! หากเสียหยางมาได้ยินเข้าแล้วหมดกำลังใจไปจากป้อมอินทรีบิน ไม่ว่าใครก็รั้งเขาไว้ไม่อยู่! เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าตลอดหลายปีมานี้มีพรรคมีชื่อมากน้อยเท่าไหร่ที่ถูกใจพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์และความสามารถในการจัดการกิจธุระของเสียหยาง?”
หลวนซูเบ้ปาก “ถ้าอย่างนั้นวัดก็เล็กเกินกว่าจะวางพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่น่ะสิ ป้อมอินทรีบินจะยังทำอย่างไรได้อีก? ต้องให้ร้องไห้วิงวอนขอร้องให้เสียหยางอยู่ต่องั้นรึ?”
หลวนฉางหันหน้ากลับมาเอ่ยสั่งสอนเสียงเฉียบ “หลวนซู ทำไมเจ้ายิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหล! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไง?! เสียหยางคือคนกันเองที่เติบโตมาพร้อมเจ้าตั้งแต่เด็ก กับข้าก็ยิ่งเป็นเหมือนพี่น้องที่รักใคร่กัน…”
หลวนซูขอบตาแดงก่ำด้วยรู้สึกน้อยใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่ชายโมโหขนาดนี้ นางพูดเสียงสั่น “แต่ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขานี่นา เขาชอบข้า แต่ข้าไม่ชอบเขา จะให้ข้าทำยังไงเล่า?”
หลวนฉางถอนหายใจ ทุกบ้านต่างก็มีคัมภีร์ที่อ่านยาก เรื่องนี้ยากที่จะคลายปมในใจได้
ก็เหมือนที่หลวนฉางไม่เข้าใจว่า เทพธิดาในยุทธภพที่โดดเด่นถึงเพียงนั้นหลงรักเถาเสียหยางตั้งแต่แรกเห็น แต่ทำไมเถาเสียหยางกลับไม่ชอบนาง
เหตุใดเถาเสียหยางชื่นชอบน้องสาวตนมาตั้งหลายปี แต่น้องสาวที่เดิมทีควรได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีกลับชื่นชอบเขาไม่ลง
ส่วนเรื่องที่ว่าหากเถาเสียหยางได้แต่งงานกับน้องสาวของตน อีกทั้งยังมีผู้ดูแลเฒ่าเหอช่วยสนับสนุนอย่างลับๆ ตลอดหลายปีมานี้เถาเสียหยางขึ้นเหนือล่องใต้ คนทั้งนอกและในป้อมอินทรีบินต่างก็เคารพนับถือเขา ถ้าเช่นนั้นวันหนึ่งในอนาคตป้อมอินทรีบินจะเปลี่ยนแซ่หรือไม่ หลวนฉางกลับไม่คิดมาก หรือควรจะพูดว่าไม่อยากคิดให้ลึกซึ้งเสียมากกว่า
ค่ำคืนในฤดูใบร่วงอากาศค่อนข้างเย็นสบาย ดวงดาวบนทางช้างเผือกที่ทอแสงระยิบระยับราวกับเป็นอารมณ์ทุกข์โศกของคนบนโลก
ค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันกับลู่ไถยังไม่ทันเดินไปถึงตรอกเส้นนั้น บนเส้นทางนอกประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบินก็มีคนนอกผู้หนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนมาเยือน
มีเพียงเจ้าประมุขหลวนหยางและผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาสองคนเท่านั้นที่ออกไปต้อนรับนอกประตู พวกเขายืนเก็บมืออย่างนอบน้อม บรรยากาศไม่ครึกครื้นนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับงานเลี้ยงรับรองเด็กหนุ่มสองคนแล้วกลับเป็นจริงเป็นจังกว่ามาก
คนที่เดินตรงมาคือบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ดวงตาทั้งคู่ฉายประกายเฉียบคม เขาจูงม้าสีขาวปลอดมาด้วยตัวหนึ่ง มองดูแล้วอายุประมาณสี่สิบปี ในมือถือแส้ปัดฝุ่น ตรงเอวห้อยป้ายยันต์ไม้ท้อ เดินมาราวกับล่องลอย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!