นับตั้งแต่ที่คราวก่อนลู่ไถจับได้ว่าลูกศิษย์ของป้อมอินทรีบินมาแอบดู ทางฝ่ายของป้อมอินทรีบินก็ไม่ได้ส่งคนมาล่วงเกินพวกเขาอีก
ลู่ไถฉวยโอกาสจังหวะที่เฉินผิงอันหยุดกระบวนท่ากระบี่ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ให้ข้าสอนเจ้าเล่นหมากล้อมดีไหม?”
เฉินผิงอันยังบิดหมุนข้อมือหาท่วงท่าจับกระบี่ที่เหมาะสมและราบรื่นที่สุดเวลาพลิกแพลงเปลี่ยนกระบวนท่า หากคิดจะออกกระบี่ได้อย่างรวดเร็วก็ต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในจุดที่เล็กละเอียดที่สุดอย่างต่อเนื่อง นี่คือหลักการเดียวกับวิธียกมีดที่สูงส่งที่สุดในการเผาเครื่องปั้น มองปราดๆ เหมือน ‘ไม่ขยับ’ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
พอได้ยินข้อเสนอของลู่ไถก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าดีกว่า ข้าเคยเรียนมาก่อน แต่เล่นไม่เก่ง ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกล ข้าเคยเห็นยอดฝีมือเล่นหมากล้อมมาแล้ว และข้าก็ชอบดูคนอื่นเล่นมากกว่า”
หลินโส่วอี เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ราชครูเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซาน แต่ละคนมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมที่ลึกล้ำยิ่งกว่าคนอื่นๆ เฉินผิงอันมักจะมองพวกเขาเล่นหมากล้อมบ่อยๆ แต่กลับไม่สามารถมองออกถึงความดีร้าย ใกล้ไกลและตื้นลึกของหมากบนกระดาน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อม
ก็เหมือนการมองลู่ไถต้มชาที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ การได้มองดูหลินโส่วอีเล่นหมากล้อมกับเซี่ยเซี่ยระหว่างที่เดินทางไปยังต้าสุยก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสได้เช่นกัน
การประลองบนกระดานหมากล้อม ผู้เล่นมักจะอยู่ในสภาวะลืมจิตตน เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นอะไรที่งดงามอย่างยิ่ง
ลู่ไถเองก็ไม่ตื๊อ แค่ถามยิ้มๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าขอบเขตที่สูงที่สุดของการเล่นหมากล้อมคืออะไร?”
เฉินผิงอันย่อมไม่รู้อยู่แล้ว
ลู่ไถคีบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน “ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “อืม”
คราวนี้เป็นลู่ไถที่ต้องแปลกใจบ้าง เงยหน้าขึ้นเหล่ตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเข้าใจจริงๆ รึ?”
เฉินผิงอันก้าวเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้าน ลมปราณดิ่งสู่จุดตันเถียน ปณิธานหมัดไหลพรั่งพรู มองปราดๆ ไม่สะดุดตา ที่แท้เขาก็อยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าน้ำลึกไร้เสียงแล้ว เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “มีกระบี่ของคนคนหนึ่ง และยังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ช่วยปูรากฐานวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามให้แก่ข้า หมัดของเขาให้ความรู้สึกเช่นนี้ นั่นคือเป็นอย่างที่เจ้าบอกว่า ‘ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน’”
ลู่ไถอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะเคยได้พบเห็นคนมหัศจรรย์และภาพงดงามมามากมาย เคยเห็นคนที่ทานอาหารด้วยจอกสามขาคลอดนตรีบรรเลง ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ พัดขนนกโพกแพรพรรณ ดื่มน้ำค้างทานแสงอรุโณทัย
มองเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดก็คือการเสวยสุขอย่างหนึ่ง
แต่ลู่ไถรู้สึกว่าเฉินผิงอันยังทำได้ดียิ่งกว่านี้
เขาลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
เห็นเพียงว่าระหว่างจมูกและหูของเขามีไอสีขาวสี่กลุ่มลอยออกมา ไม่ได้ลอยห่างไปไหน แล้วก็ไม่ได้สลายหายไป แต่เป็นเหมือนงูขาวตัวเล็กบางที่พลิกคว่ำหน้า
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมลู่ไถถึงทำเช่นนี้
ลู่ไถเดินไปยังใจกลางของลานบ้าน เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวหลอมลมปราณ ผู้ฝึกลมปราณก็ต้องเลี้ยงและหลอมลมปราณเช่นกัน การหายใจเข้าออกล้วนหนีไม่พ้นคำว่า ‘ลมปราณ’ ลมปราณเหมือนเส้นใยที่ล่องลอย หากไปอยู่บนร่างของคนธรรมดา คือใช้บรรยายว่าคนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หากปรากฎบนตัวของกระบี่จะเป็นอีกสภาพการณ์ที่แตกต่างออกไป”
ลู่ไถพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ลมปราณรวมตัวกลายเป็นเส้นใย สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นกระบี่เล็กจิ๋วเล่มหนึ่งต่อหน้าเขา เขาเป่ามันเบาๆ หนึ่งที
หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว เบี่ยงหน้าอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกไปจากหูของเขา จากนั้นแสงสีขาวที่เล็กบางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่วลานบ้านอย่างว่องไว ลากเอาประกายแสงพร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่าที่คงอยู่นานไม่จางหาย ถักทอให้เรือนทั้งหลังคล้ายกลายเป็นกรงขังปราณกระบี่ เป็นบ่อสายฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยปราณกระบี่เฉียบคม
ลู่ไถกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็หายวับไป
แล้วลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่ก็ยังพอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง เจ้าเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดอย่างบ้าคลั่ง แค่กระบวนท่าหมัดท่าหนึ่งที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดก็ต้องฝึกตั้งหนึ่งล้านครั้ง ดังนั้นปณิธานหมัดจึงกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วเจ้ากลับไม่เข้าใจสัจธรรมของมัน”
ลู่ไถหันหน้าเข้าหาเฉินผิงอัน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือแบมาด้านหน้า “กระบวนท่าหมัดบนโลกใบนี้ นอกจากจะเสริมสร้าง เอ็น กระดูกและเลือดลมให้แข็งแกร่ง บำรุงจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่นแล้ว ความลี้ลับที่แท้จริงอยู่ที่ลมปราณแท้จริงที่ ‘ไม่ยืมใช้กำลังของฟ้าดิน กลับกันคือต้องออกคำสั่งแก่ฟ้าดิน’ ทุกอย่างนี้เชื่อมโยงต่อกันอย่างแนบแน่นก็เพื่อให้ออกหมัดได้เร็วอย่างไร้เหตุผล!”
ลู่ไถปล่อยหมัดออกมาโดยตรง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว พายุหมัดระเบิดก่อนจะส่งเสียงเหมือนผ้าทอถูกฉีกขาด
ลู่ไถปล่อยหมัดอีกครั้ง คราวนี้เอนเอียงเล็กน้อย หนึ่งวาดหนึ่งไถล แต่จุดหมายปลายทางที่หมัดปล่อยออกไปกลับยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะเงียบเชียบ แต่อากาศที่หมัดแตะไปโดน ลมปราณกลับระเบิดแตก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
ลู่ไถเอ่ยอธิบาย “สองหมัด ข้าใช้พละกำลังและจิตวิญญาณที่เหมือนกัน หมัดหนึ่งปล่อยออกไปตรงๆ มองดูเหมือนเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด แต่ก็คล้ายการข้ามน้ำข้ามภูเขา หนทางที่เร็วที่สุดคือหาตีนเขาให้เจอ แล้วล่องไปตามกระแสน้ำ เจ้าเดินตรงไปตามทาง กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เร็วที่สุด เล่าลือกันว่าขอบเขตปลายทางที่แท้จริงของวิถีวรยุทธ์คือขอบเขตสิบ ขยับขึ้นไปอีกก็คือขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพบนสวรรค์ที่ขนาดผู้ฝึกลมปราณก็ยังอิจฉาและหวาดกลัว”
ลู่ไถเก็บหมัด ถอนหายใจ เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า สายตาฉายแววเลื่อนลอย “กลียุคของใต้หล้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หากสามารถยืนหยัดอยู่ไปได้จนถึงท้ายที่สุด ก็คือ…”
เลือดสดซึมลงมาจากมุมปากของลู่ไถ แต่เขาก็ยังพูดต่อไปว่า “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยืนหยัดเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่ง อย่าได้ถูกหอบเข้าไปในสถานการณ์ใหญ่ ต้องอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของที่นั่น เมื่อถึงเวลาฟ้าดินจะร่วมแรงให้ความช่วยเหลือ เฉินผิงอัน อย่าคิดช่วงชิงผลได้ผลเสียเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเดินไปได้ไกลยิ่งกว่าเฉาสือผู้นั้น จะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ จะต้องได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่…”
ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!