กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 297

[ภาค 5 เต๋ามองเต๋า] บทที่ 297.1 อำลา
โดย
ProjectZyphon
ตอนนั้นลู่ไถชี้ไปที่ประตู บอกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้น นอกวงการคือวรยุทธ์ แต่ในวงการกลับเป็นบนภูเขาแล้ว

เขาพูดซะจนเฉินผิงอันนึกอยากจะดื่มเหล้า

หลังจากนั้นป้อมอินทรีบินก็ครึกครื้นขึ้นมา ความครึกครื้นทำให้มีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบที่ใกล้เคียงคำว่าเงียบเป็นป่าช้าก่อนหน้านี้ ป้อมอินทรีบินในเวลานี้ทำให้คนสบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เพราะมียอดฝีมือต่างถิ่นสองคนมาเยือนป้อมอินทรีบิน ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ หรือปรมาจารย์สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างที่ป้อมอินทรีบินคุ้นเคย แต่เป็นคนประเภทที่ท่าทางลึกลับ เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่เหอที่แปลกประหลาดมากพอแล้ว สองคนนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใหม่ได้ยิ่งกว่า

ชายวัยกลางคนที่เจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินเชื้อเชิญมา กำลังเดินจูงม้าสีขาวไปตามตรอกเล็กใหญ่ สองข้างของอานม้าห้อยกิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ไว้สองมัดใหญ่ ทุกครั้งที่คนและม้าหยุดเดิน บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือจะต้องเผากิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะใช้หินจุดไฟ เพียงแค่ใช้สองนิ้วถู กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ก็ติดไฟลุกไหม้ด้วยตัวเอง แผ่กลิ่นหอมสดชื่นเป็นระลอกให้ลอยอวลไปในอากาศ

คนของป้อมอินทรีบินที่มามองดูอยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าผมขาวที่เชี่ยวชาญด้านปฏิทินเหลือง พอเห็นภาพนี้ก็เริ่มโอ้อวดความรู้ บอกว่านี่เรียกว่าเปลวไฟในศาล คือวิชาตระกูลเซียนที่ร้ายกาจมากวิชาหนึ่ง สามารถขับไล่ความชั่วร้ายและสิ่งสกปรก เพราะต้นสนคือต้นไม้แห่งความอายุยืน ถูกขนานนามว่าสือปากง ตำแหน่งเทียบเท่ากับท่านกั๋วกงในราชสำนัก ส่วนต้นไป่นั้นก็คือท่านโหวที่ตำแหน่งรองลงมาจากต้นสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นต้นสนและต้นไป่จากขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางแห่งก็จะยิ่งสูงศักดิ์ ดังนั้นเมื่อเผากิ่งสนกิ่งไป่ รวมกับการท่องคาถาของตระกูลเซียนจึงสามารถช่วยให้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้

เมื่อเทียบกับแส้ปัดฝุ่นและม้าขาวของบุรุษร่างสูงใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าอีกคนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมจึงดูบ้านๆ กว่ามาก รูปร่างหน้าตาสู้คนในวงการเดียวกันอีกคนไม่ได้ วิธีการที่ใช้ก็ดูเหมือนวิธีการของคนบ้านนอก ดังนั้นคนของป้อมอินทรีบินที่มามุงดูจึงมีไม่มากนัก กล่าวกันว่าตัวตนของผู้เฒ่าคืออาจารย์ของนักพรตหนุ่มหวงซ่าง คือนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านหนึ่ง เป็นสหายที่รู้จักกันบนยุทธภพของอดีตเจ้าประมุข คราวนี้ผู้เฒ่าที่อยู่บนภูเขานับนิ้วทำนาย ผลคำทำนายบอกว่าป้อมอินทรีบินประสบเคราะห์กรรม ถึงได้ลงจากภูเขามาช่วยขจัดภัยให้กับที่นี่

ผู้เฒ่ามอซอไม่ได้สวมชุดคลุมของนักพรตเต๋า ทั้งไม่ได้วาดยันต์เดินเหยียบพายุลมกรด แค่บอกให้คนไปจับไก่ตัวผู้มาเจ็ดแปดตัว แล้วเอาไปแขวนไว้ตามสถานที่ต่างๆ อย่างประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบิน หน้าประตูศาลบรรพชน บ่อน้ำ สนามฝึกวรยุทธ์ เป็นต้น จากนั้นก็คอยจับตามองไก่ตัวผู้เหล่านั้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตรงเอวห้อยถุงเล็กๆ ใบหนึ่งที่บรรจุข้าวเหนียวไว้เต็มถุง แล้วยังมีน้ำสะอาดอีกหนึ่งกา เอาไว้คอยป้อนให้กับไก่ตัวผู้ทั้งหลาย แต่น้ำในกากลับไม่ได้เอามาจากในบ่อน้ำที่ป้อมอินทรีบินใช้กินดื่มกันทุกวัน แต่เป็นน้ำพุที่ให้หวงซ่างลูกศิษย์ไปเอามาจากภูเขาลึกที่ห่างออกไป

เฉินผิงอันกับลู่ไถแยกย้ายกัน ลู่ไถชอบดูเซียนซือจากไท่ผิงซานผู้นั้นแสร้งแกล้งผีหลอกเจ้า ส่วนเฉินผิงอันกลับไปสังเกตดูวิธีการของผู้เฒ่า คนวงนอกมองเห็นเป็นเรื่องสนุก คนวงในมองเห็นเคล็ดลับวิธีการ เฉินผิงอันอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ แม้จะมองที่มาของวิธีการที่ผู้เฒ่าใช้ไม่ออก แต่ก็แน่ใจได้ว่าทุกสถานที่ที่แขวนไก่ตัวผู้เอาไว้ ลมหยินเยียบเย็นและปราณชั่วร้ายเจือจางลงไปหลายส่วน เหมือนสองกองทัพที่คุมเชิงกัน ฝ่ายหนึ่งหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของอีกฝ่าย แต่การถอยหนีเช่นนี้กลับไม่มีใครบาดเจ็บและล้มตาย เป็นการหลบไปซ่อนในที่มืดเพื่อรอจังหวะให้ลงมือเท่านั้น

ตอนที่ผู้เฒ่าป้อนข้าวเหนียวและน้ำสะอาดให้กับไก่ตัวผู้ จากสีหน้าเป็นกังวลของเขาพอจะมองออกได้ว่านักพรตเฒ่าเองก็มองเบาะแสออก อารมณ์จึงไม่ผ่อนคลายเท่าใดนัก

ส่วนบุรุษถือแส้ที่เดินอาดๆ โอ้อวดตนไปทั่วตรอกซอกซอยนั้นกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย ราวกับว่าแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เสนียดจัญไรและผีร้ายทั้งหลายก็จะแหลกลาญสิ้นซาก

สองพี่น้องหลวนฉางและหลวนซูรับผิดชอบคอยเปิดทางให้คนผู้นี้

เถาเสียหยางที่สีหน้าซีดขาว ไออยู่บ่อยๆ ได้แต่เดินตามหลังนักพรตเฒ่าไปพร้อมกับหวงซ่าง

ลู่ไถไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ใครมีตบะสูงต่ำ บอกแค่ว่าบุรุษคนนี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณจากไท่ผิงซานของใบถงทวีปอะไรนั่นแน่นอน ส่วนผู้เฒ่ามอซอคือนักพรตบนภูเขาจริงสมชื่อ ชื่นชอบความสันโดษ มีจิตใจเมตตารักสงบ เห็นภูเขาและแม่น้ำเป็นดั่งเพื่อนบ้าน

ไท่ผิงซานคือสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของภาคกลางใบถงทวีป เมื่อเทียบกับสำนักฝูจีแล้วมีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าเก็บตัวจากโลกภายนอกจนแทบจะเรียกได้ว่ารังเกียจโลกภายนอก น้อยครั้งนักที่จะมีผู้ฝึกตนลงมาจากภูเขา เป็นสถานที่รวมตัวกันของผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านวิชาโอสถในและโอสถนอก ขนาดลู่ไถที่อยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่ว่าชื่อเสียงในโลกเทียบกับสองสำนักอย่างใบถงและกุยหยกไม่ติด

วันเวลาที่เงียบสงบและสันติสุขผ่านไปอีกสองวัน

ต่อให้เป็นชาวบ้านของป้อมอินทรีบินที่อาศัยอยู่ตามตรอกซอกซอยก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสีท้องฟ้า

รุ่งอรุณที่เดิมทีดวงอาทิตย์ควรจะลอยขึ้นฟ้า อากาศเหนือป้อมอินทรีบินกลับเต็มไปด้วยก้อนเมฆมืดทะมึนซ้อนเรียงกันหนาชั้น ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บใส่ป้อมอินทรีบิน ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับจิตใจของทุกคน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือประกาศแล้วว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน ให้พวกนักเรียนรีบกลับบ้าน นี่ทำให้เด็กๆ ชอบใจกันยกใหญ่ ระหว่างทางที่กลับบ้านจึงจับกลุ่มกัน ชี้ไม้ชี้มือใส่เมฆดำเหล่านั้น บอกว่านั่นคือตะขาบตัวหนึ่ง บางคนก็บอกว่าคือควายตัวหนึ่ง สุดท้ายเห็นก้อนเมฆสีดำเป็นเหมือนใบหน้าของหญิงสาวที่แสยะยิ้มอย่างดุดัน ทำเอาพวกเด็กๆ ตกใจวงแตก รีบวิ่งกลับบ้านใครบ้านมันทันที

เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดในลานบ้านสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้มานานแล้ว ลู่ไถนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินขยับนิ้วทำมุทราพยากรณ์ สีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ

เช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ควรส่องแสง ท้องฟ้ากลับมืดดำราวกับยามค่ำคืน แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดมาถึงป้อมอินทรีบินได้แม้แต่เสี้ยวเดียว

เฉินผิงอันได้ยินเสียงหัวเราะชวนขนลุกลอยแว่วผ่านไปในซอยด้านนอกอีกครั้ง

เขาจึงหยุดการฝึกหมัด วิ่งไปเปิดประตู หมุนตัวเงยหน้าขึ้นมอง ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เขียนลงบนกระดาษยันต์ธรรมดาแผ่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็ไหลหายไปอย่างต่อเนื่อง จึงกลายมาเป็นหม่นมัวไร้ประกายแสง กระดาษยันต์สีเหลืองที่เดิมทีใหม่เอี่ยมอ่องกลับเหมือนกลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูมานานเกินครึ่งปี สีสันซีดเซียว รอยยับย่นเต็มไปหมด และยังมีหลายจุดที่มีก้อนหมึกสีดำแทรกซึมเข้ามา มิน่าเล่าผีร้ายพวกนั้นจึงกล้าปรากฎตัวมาท้าทายอีกครั้ง

ลู่ไถที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเดินออกจากประตูบ้านมายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน มองอักษรมหัศจรรย์สีชาดที่มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมสภาพแผ่นนั้นแล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในยุคสมัยที่ห่างไกลจากปัจจุบันนี้ไปนานมาก ยันต์ที่คนที่มีตบะเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดวาดออกมาก็แค่ถือว่ามีความรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น ยันต์ที่คนซึ่งมีศักยภาพเท่ากับขอบเขตเก้าเป็นผู้วาดถึงจะเรียกได้ว่ามีความชำนาญอย่างแท้จริง ดังนั้นยันต์ในยุคสมัยนั้นจะมีอานุภาพมากเท่าไหร่ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ และหนึ่งในนั้นยังมี ‘อาจารย์ซานซานจิ่วโหว’ ที่คลุมเครือยากจะเข้าใจ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘สำนักยันต์ดั้งเดิม’ น่าเสียดายก็แต่พอมาถึงคนรุ่นหลังอย่างพวกเรากลับไม่รู้เลยว่าคำกล่าวนี้หมายถึงคนคนหนึ่ง หรือเป็นแค่คำเรียกขานอย่างหนึ่งกันแน่”

เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าปลดยันต์ชิ้นนั้นลงมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ

รอบด้านพลันมีเสียงตีกลองดังอึกทึกขึ้นมาทันที ไอน้ำผุดขึ้นมาจากถนนดินของตรอกเล็กแล้วแผ่อบอวลไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกไอน้ำสูงเท้าตาตุ่ม จากนั้นก็สูงเท่าหัวเข่า แล้วเลยมาถึงเอวอย่างรวดเร็ว

ราวกับว่าเฉินผิงอันเปิดฝาหม้อออกแล้วไอน้ำลอยขึ้นมา เพียงแต่ว่าไอน้ำที่ลอยจากเตาไฟมักจะเป็นกลิ่นหอมของข้าวและอาหารร้อนกรุ่น แต่ไอน้ำในตรอกแห่งนี้กลับชื้นแฉะเหนียวเหนอะ แผ่กลิ่นคาวจางๆ

เฉินผิงอันหันหน้ามองไป ยังดีที่ไอน้ำนี้ไม่ได้กรูไปตามบ้านเรือนของชาวบ้านในรวดเดียว เพียงแต่ว่าภาพเทพทวารบาลรูปแบบต่างๆ ที่แปะไว้บนประตูบ้านแต่ละหลัง ไม่ว่าจะเป็นอริยะฝ่ายบู๊หรือเทพโชคลาภบุ๋นบู๊อะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนส่งเสียงซี่ๆ ดังแผ่วเบา ปราณวิญญาณน้อยนิดที่เดิมทีก็สลายไปจนเหลือเพียงบางเบา เวลานี้ก็ยิ่งลอยหาย ไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้อีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!