กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 303

สรุปบท บทที่ 303.1 แยกทาง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 303.1 แยกทาง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 303.1 แยกทาง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 303.1 แยกทาง
ProjectZyphon
ระหว่างทางที่เดินกลับ อารมณ์ของเฉินผิงอันก็กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว แขนข้างที่กระดูกขาวโผล่ เลือดเนื้อก็ค่อยๆ เติบโตอย่างเชื่องช้า เส้นชีพจรมากมายที่อยู่ในนั้นเหมือนเถาวัลย์ที่แผ่ขยายออกไป มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันเพ่งมองอย่างละเอียดราวกับนักปราชญ์ท่านหนึ่งที่กำลังศึกษาหาความรู้ แต่กลับทำให้ลู่ไถรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด ในใจคิดว่าตระกูลลู่ของตนก็เลี้ยงปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่เก็บตัวอย่างลึกลับไว้บางส่วน แต่ตอนที่พวกเขาอยู่ในขอบเขตสี่ห้าต้องไม่มีใครที่มีตบะหนักแน่นเช่นเฉินผิงอันแน่นอน

เฉินผิงอันเดินพลางมองไปด้วย แม้จะต้องข่มกลั้นความเจ็บปวด แต่ก็ยังมองด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นว่าเส้นชีพจรเหล่านั้นเติบโตกับตาของตัวเอง นี่จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อในเรื่องของโชคชะตา ปมในใจบางอย่างที่เดิมที คิดไม่ตกก็พลันถูกคลายออก ใกล้จะถึงป้อมอินทรีบินแล้ว เฉินผิงอันจึงต้องเก็บแขนข้างนั้นลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านในป้อมอินทรีบินคิดว่าตนเป็นคนของลัทธิมาร มีชุดคลุมอาคงจินหลี่อยู่กับกายจึงสามารถบดบังสภาพชวนสังเวชนี้ไว้ในแขนเสื้อขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนกระดูกขาวงอกเนื้อบนแขนของเฉินผิงอันด้วย

ก่อนหน้านี้กระบี่บินม่ายกวางได้นำกวานห้าขุนเขาชิ้นนั้นกลับมาแล้ว ลู่ไถลองชั่งน้ำหนักดูก็บอกว่านี่คือสมบัติอาคมที่มีอายุยาวนานอย่างยิ่ง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด ภาพจริงของห้าขุนเขาที่วาดไว้ด้านบน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคหรือรูปแบบการวาดก็ล้วนแสดงให้เห็นว่ากวานห้าขุนเขาชิ้นนี้มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีความเป็นไปได้มากว่าภายหลังได้พลัดตกมาอยู่ที่ใบถงทวีป เป็นดั่งไข่มุกที่ถูกฝุ่นเกาะ ไม่แน่ว่าช่วงแรกเริ่มสุดอาจจะเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของทวยเทพแห่งขุนเขาบางแห่งที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินกลาง

เฉินผิงอันค่อนข้างจะสนใจเรื่องพวกนี้เพราะคิดว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง ส่วนเรื่องที่ว่าลู่ไถจะยึดเอากวานห้าขุนเขาไว้เพียงลำพังหรือไม่ หรือจงใจลดระดับคุณค่ากวานห้าขุนเขาลงหรือเปล่า เฉินผิงอันกลับไม่แม้แต่จะคิด เพราะลึกๆ ในใจรู้สึกว่าลู่ไถไม่ใช่คนแบบนั้น โลกมนุษย์ซับซ้อน ใจคนยากแท้หยั่งถึง จะใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนก็ได้ แต่จะไม่ใช้ก็ได้เช่นกัน

คนทั้งสองไม่ได้เดินตรงไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน แต่แอบกลับไปที่สนามฝึกยุทธก่อน เพื่อไปเก็บกระบี่อาคมที่มีชื่อว่า ‘ชือซิน’ ซึ่งโต้วจื่อจือทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากสำนักฝูจี หลังจากดูดดึงปราณวิญญาณและเลือดหัวใจของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรขั้นสูงสุดมาคนหนึ่งแล้ว ตัวกระบี่ของกระบี่ยาวก็ยิ่งวาววับดุจหิมะ เส้นลายเหมือนสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ไหลรินอย่างเงียบเชียบ ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น ประกายแสงก็ยิ่งเจิดจ้า ต่อให้เป็นลู่ไถที่หัวสูงก็ยังอดหยิบกระบี่มามองประเมินอีกรอบไม่ได้ เค้าจุ๊ปากชื่นชมบอกว่า คำพูดของมารเฒ่าตนนั้นมีจริงเท็จปะปนกัน แต่เกี่ยวกับเรื่องของขอบเขตน่าจะเป็นความจริง ขอบเขตสูงสุดในอดีตก่อนที่จะถดถอยของเขามีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเคยสัมผัสกับธรณีประตูขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อนจริงๆ ผู้ฝึกตนโอสถทองในระดับนี้ หากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ถือว่าไม่เลวแล้ว สามารถเดินยืดอกขึ้นยอดเขาได้เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้การได้กระบี่อาคม ‘ชือซิน’ (จิตที่ลุ่มหลง/หลงใหล ) หรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ชือซิน’ (กินหัวใจ ) ถึงจะเหมาะสมกว่ามาครองนั้น ถือว่าเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง

เป็นเหตุให้ลู่ไถแนะนำเฉินผิงอันว่าอย่าเอาชือซินไปขาย วันหน้าเมื่อพบเจอกับผู้ฝึกตนลัทธิมารหรือภูตผีปีศาจก็สามารถใช้กระบี่นี้แทงทะลุหัวใจ ทั้งเป็นการสั่งสมบุญกุศลให้ตัวเอง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มระดับของกระบี่ให้สูงขึ้นได้ ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหตุใดถึงไม่เต็มใจทำ

เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันมีท่าทางลังเล ลู่ไถจึงเอ่ยสั่งสอนเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “คำที่บอกว่าผู้ฝึกตนจะไม่สนใจดีชั่วก็ได้นั้น เป็นเพียงแค่คำพูดของคนระยำเท่านั้น แต่สมบัติอาคมหรืออาวุธวิเศษบนโลกนี้ ไหนเลยจะมีแบ่งแยกธรรมะและอธรรม ใช้อาวุธมารผดุงคุณธรรม มีอะไรที่ไม่เหมาะสม?”

ลู่ไถยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห แทบจะยกนิ้วชี้หน้าด่าเฉินผิงอัน “ขนาดเบิกตามองกระดูกตัวเองมีเนื้องอกขึ้นมา เจ้าก็ยังทำไปแล้ว เหตุใดหลุมเล็กๆ ในใจแค่นี้ถึงข้ามผ่านมันไปไม่ได้ เฉินผิงอันเจ้าเลิกไอ้นิสัยหัวรั้นดึงดันนี่ซะที ไม่ซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะก็ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตั้งใจเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวให้ดีไปก็แล้วกัน อย่าได้วาดหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อะไรเลย ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าต่อให้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้สำเร็จ แต่ไม่แน่ว่ามารในใจที่เจ้าต้องเจอก่อนจะฝ่าทะลุคอขวดของห้าขอบเขตบนอาจจะใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้าก็เป็นได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนโลกใบนี้ที่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้วมีจิตใจที่กล้าแกร่ง มีเวทอภินิหารเลิศล้ำและมีปณิธานเด็ดเดี่ยวมั่นคงจนเอาชนะฟ้าดินได้ นั่นก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว แต่เหตุใดห้าขอบเขตบนถึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก นั่นก็เพราะกุญแจสำคัญอยู่ที่ด่านนี้ ความอันตรายไม่ได้อยู่ที่ทัณฑ์สวรรค์อย่างที่คนบนโลกเข้าใจผิดกัน นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอก ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริงก็คือจิตตั้งเดิมของตน จิตแห่งเต๋าของเจ้าสูงมากเท่าไหร่ จิตใจยืนหยัดได้มากแค่ไหน กายธรรมของมารในใจเจ้าก็จะสูงมากเท่านั้น อาจสูงเป็นร้อยเป็นพันจั้ง หรืออาจเป็นเหมือนทวยเทพบรรพกาลร่างทองที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลายเลยก็ได้ แล้วเจ้าจะฝ่ามันไปได้อย่างไร…”

เฉินผิงอันไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่ชี้ไปที่จมูกของลู่ไถแล้วเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เป็นอีกแล้ว”

ลู่ไถหยุดพูด เช็ดเลือดกำเดาอย่างแรง

หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แค่เกี่ยวพันถึงมหามรรคาของเฉินผิงอันคนเดียว การแว้งกลับของวิถีสวรรค์ที่มีต่อลูกหลานสกุลลู่สำนักหยินหยาง เมื่อเทียบกับครั้งก่อนก็ถือว่าน้อยกว่ามากนัก

เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้างนอกมีคนมา”

ลู่ไถชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ความรู้สึกที่เฉียบไวเช่นนี้ไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกเลย นี่เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ หรือ?

เขายิ่งสงสัยใคร่รู้ในตัวของคนที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้แก่เฉินผิงอัน

คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสี่คนเดินเข้ามาในสนามประลองยุทธอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็คือนักพรตเฒ่าและลูกศิษย์หวงซ่าง รวมไปถึงพี่น้องหลวนฉางหลวนซู การที่พวกเขาไม่ได้ไปที่หอหลักก็มาจากความคิดของผู้เฒ่ามอซอ เพราะขณะที่อยู่บนจุดสูงของภูเขาทางทิศเหนือได้เห็นเงาร่างของเฉินผิงอันกับลู่ไถที่ย้อนกลับไปยังป้อมอินทรีบินโดยบังเอิญ ผู้เฒ่าจึงตัดสินใจว่าจะมารวมตัวกันที่นี่ ถามให้แน่ชัดถึงร่องรอยของมารตนนั้นก่อน แล้วคนทั้งสองกลุ่มค่อยไปที่หอหลักด้วยกัน แบบนั้นจะมั่นคงมากกว่า

ผู้เฒ่าคารวะตามแบบพิธีการของลัทธิเต๋า แล้วเอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตมีชื่อว่าหม่าเฟยฝู่ ฝึกตนอยู่บนภูเขายวนยาง มีเกียรติยิ่งนักที่ได้มาพบกับลู่เซียนซือและเฉินเซียนซือ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันกับลู่ไถเข้าไปเป็นแขกในป้อมอินทรีบินแค่บอกแซ่ของตัวเองไว้เท่านั้น

ลู่ไถยื่นมือออกมา พัดไม้ไผ่ด้ามนั้นก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เขาโบกมันเบาๆ “ข้ามาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่าข้า “เป็นคนจากต้าหลีแจกันสมบัติทวีป”

ผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เซียนซือทั้งสองท่านรู้หรือไม่ว่ามารตนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

ลู่ไถหุบพัดไม้ไผ่แล้วใช้มันชี้ไปที่นักพรตเฒ่า ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงกันอยู่นั้น บนด้ามของพัดพับก็ปรากฏกวานห้าขุนเขา ลู่ไถสะบัดข้อมือเบาๆ กวานห้าขุนเขานั้นก็โยกขึ้นลงตามไป เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ตายไปแล้ว ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเล็กน้อย”

ตอนที่นักพรตกวานสูงนั่งอยู่บนเบาะรองบังคับให้ทะเลเมฆลดตัวลงต่ำ ใช้ขนเขาใหญ่ทั้งห้าสยบกดทับสนามประลองยุทธ ตอนนั้นนักพรตเฒ่าได้เห็นแค่แวบเดียวก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ความทรงจำที่มีต่อกวานห้าขุนเขาจึงลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ เวลานี้ได้เห็นว่าบนพัดไม้ไผ่มีกวานสูงลักษณะโบราณเรียบง่ายตั้งวางอยู่ ในใจก็เหมือนมีคลื่นโถมซัดสาด ทั้งไม่กล้าเชื่อว่าคนหนุ่มสองคนจะสามารถสังหารเซียนดินขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งได้สำเร็จ แต่ก็ทั้งคาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าคำพูดของคุณชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้จะเป็นความจริง

ถึงอย่างไรหม่าเฟยฝู่ที่อาศัยอยู่บนภูเขายวนยางก็คือคนเก่าคนแก่ในยุทธภพที่ผ่านลมผ่านฝนมาอย่างยาวนาน ต่อให้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่บนใบหน้าก็ยังแสดงความซาบซึ้งใจ เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสนับถือ คารวะด้วยพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างจริงจังอีกครั้ง “เซียนซือทั้งสองท่านก็แค่ผ่านทางมา แต่เมื่อพบเจอมารร้ายกระทำการชั่วช้าก็ยังเต็มใจให้ความช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ช่วยชีวิตของชาวบ้านป้อมอินทรีบินให้รอดพ้นจากน้ำลึก จากกองไฟแผดเผา บุญกุศลที่พวกท่านสร้างมากมายจนไม่อาจประเมิน ข้าผู้เป็นนักพรตขอขอบพระคุณในบุญคุณอันใหญ่หลวงของเซียนซือทั้งสองท่านแทนป้อมอินทรีบินไว้ก่อน ณ ที่นี้”

ส่วนเฉินผิงอันกลับไม่อาจสัมผัสความรู้สึกของคนเหล่านี้ได้ลึกซึ้งนัก เพียงแค่จำสีหน้าและสายตาแบบนี้ได้อย่างเรือนราง แต่กลับยังไม่กระจ่างแจ้งเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

ถึงอย่างไรสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตคนก็ไม่ใช่ตัวอักษรที่เขียนไว้บนตำรา

คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหอหลักของป้อมอินทรีบิน แม้ลู่ไถจะบอกว่าเหตุการณ์ทางนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือตาย แต่หลวนฉางหลวนซูก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าเมื่อผลักประตูใหญ่เปิดออกจะเห็นภาพที่เลือดนองเป็นสายน้ำ แต่พอไปถึงหอหลักกลับพบว่าประตูใหญ่ปิดสนิท หลวนฉางเคาะประตูอย่างแรง รออยู่นานกว่าจะมีผู้เฒ่าสกุลหลวนคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ พอเห็นว่าเป็นสองพี่น้องที่ยังปลอดภัยดี ผู้เฒ่าคนนั้นถึงกับน้ำตาไหลอาบหน้า ทำเอาหลวนฉางตกใจสะดุ้งโหยง นึกว่าบิดามารดาโดนบุรุษถือแส้ที่อำมหิตเล่นงาน อธิบายให้กันฟังอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าเซียนซือลู่ท่านนั้นได้ร่ายเวทอภินิหารไว้นานแล้ว คนชั่วที่แสร้งสวมรอยเป็นผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงก็ถูกเขาสังหารตายคาที่ไปแล้ว

ช่วงเวลานั้นคนทั้งหมดในห้องโถงที่ยังมีชีวิตรอดต่างก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนอยู่กันคนละโลก

หลวนฉางหลวนซูไม่ทันสังเกตเห็นว่าไม่เพียงแต่บิดามารดาไม่อยู่ในห้องโถง อีกทั้งพอพวกเขาถามถึงเรื่องนี้ทุกคนกลับพากันมองไปทางอื่น ไม่มีใครกล้าสบตาพวกเขา

ลู่ไถคร้านจะสนใจเรื่องยิบย่อยวุ่นวายในครอบครัวของคนอื่น จึงพาเฉินผิงอันเดินไปทางดาดฟ้าบนหอ

เจ้าประมุขหลวนหยางไม่ได้อยู่บนสถานที่ประหลาดที่มีชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ แห่งนี้แล้ว

ลู่ไถขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วระเบียง เฉินผิงอันก็ทำตาม จากนั้นจึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แหงนหน้าดื่มสุรารสร้อนแรง ก่อนจะพ่นลมหายใจขุ่นมัวที่มีกลิ่นของเหล้าออกมายาวๆ

ลู่ไถแกว่งเท้าทั้งสองข้าง โบกพัดอย่างเชื่องช้า เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสว

จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มแบ่งของเชลยศึกกันอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!