จากนั้นเขาก็เห็นว่าบริเวณใกล้กับหลุมศพมีจิ้งจอกสีขาวหิมะสองตัววิ่งออกมาแล้วทำท่าคารวะเหมือนคน
ยังมีจิ้งจอกอายุน้อยอีกหลายตัวที่นอนหมอบอยู่บนหลุมศพ พวกมันหัวเราะคิกคัก ตรงหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ฉายสีหน้าเพ้อฝันและเขินอาย ดูท่าแล้วคงไม่ใช่ปีศาจที่ดุร้ายอะไร แต่กลับคล้ายเด็กเล็กจอมตะกละมากกว่า
บัณฑิตเหล่านั้นพากันคารวะกลับคืน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่หัวเราะขำยกใหญ่ รู้ดีว่านี่ต้องเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของปีศาจจิ้งจอกแน่นอน พวกมันกำลังล่อลวงใจคน แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เป็นกังวลเท่าใดนัก เพราะปีศาจจิ้งจอกบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอยู่ในทวีปใดก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่มีนิสัยหรือการกระทำที่ดุร้ายโหดเหี้ยม นับตั้งแต่โบราณกาลมาธรรมชาติของพวกมันก็ใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่แล้ว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมาใกล้ชิดเพราะหวังผ่านด่านความรักเพื่อเพิ่มขอบเขตและตบะของตัวเองเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงไม่ได้เปิดโปงโดยการบอกกล่าวให้บัณฑิตพวกนั้นเข้าใจว่า บ้านหลังใหญ่โตที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แท้จริงแล้วเป็นแค่หลุมศพหลุมหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันเพียงแค่เฝ้าอยู่ข้างหลุมศพเงียบเงียบ
แล้วก็จริงดังคาด วันที่สองพวกบัณฑิตก็ออกจากจวนแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ละคนเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี รู้สึกเพียงว่านี่เป็นการพบเจอกันที่งดงามครั้งหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เกิดมาชาตินี้
เฉินผิงอันจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
เดินไปหน้าอีกสามร้อยลี้เฉินผิงอันก็มาถึงแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเป่ยจิ้น ตอนที่เดินผ่านเมืองแห่งนี้เจอตลาดพอดี เฉินผิงอันจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลมาสองไม้จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าวัดหรูชวี่ของแคว้นเป่ยจิ้นมีชื่อเสียงอย่างมาก ในวัดมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระโพธิสัตว์ท่านหนึ่งบรรลุมรรคคา ถูกขนานนามว่าแท่นบงกชหิน หินยักษ์มีขนาดกว้างถึงห้าจั้ง สามารถบรรจุคนได้หลายร้อยคน และคนเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้มันโยกคลอนได้ ไม่มีใครสามารถอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ฮ่องเต้เป่ยจิ้นที่เสด็จมาเยือนทางทิศตะวันตกเคยได้ทดลองโยกหินด้วยตัวเองก็ให้สำราญพระทัยอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ชื่อเสียงของวัดหรูชวี่ยิ่งขจรขจายไปไกล
แต่พอเฉินผิงอันสอบถามคนหลายคน ทุกคนกลับบอกว่าไม่รู้ว่าต้องไปวันหรูชวี่อย่างไร เฉินผิงอันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เด็กชายพูดถึงเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว เวลาสองร้อยปีในโลกมนุษย์มากพอให้หลายเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยืนหยัดไม่ย่อท้อ จนกระทั่งถามจนรู้ถึงที่ตั้งซากปรักของวัดแห่งนั้นถึงได้ยอมเลิกรา เมื่อเดินทางไปถึง รอบด้านเต็มไปด้วยพืชหญ้ารกชัฏ ไม่มีทั้งกลิ่นอายของคนแล้วก็ไม่มีทั้งกลิ่นอายของปีศาจ มีแต่ความทรุดโทรมเสื่อมสภาพ ท่ามกลางแสงสายัณห์ เฉินผิงอันเจอหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์ใดๆ
เฉินผิงอันกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลสองไม้หมดก็โยนด้ามไม้ไผ่ทิ้งลงพื้น แล้วหมุนตัวจากไป
หลังจากเฉินผิงอันเดินออกจากประตูใหญ่ของวัดร้างไปแล้ว ยอดบนสุดของหินก้อนนั้นก็มีคนตัวจิ๋วโผล่หัวเล็กๆ ออกมา
มันขยับขึ้นมานั่งบนก้อนหินอย่างเงียบเชียบ
ที่แท้สาเหตุแท้จริงที่หินบงกชก้อนนี้สามารถโยกคลอนได้นั้น เป็นเพราะมันได้ให้กำเนิดคนจิ๋วดอกบัวซึ่งเป็นภูตก้อนหินตนหนึ่ง มันชอบซ่อนตัวแล้วแอบหัวเราะคิกคัก ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะโยกก้อนหินมันก็จะรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันใด โยกตัวไปซ้ายทีขวาทีก็หินก็โยกคลอนตามไปด้วย จึงทำให้ทุกคนเข้าใจผิด
เพียงแต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งมันรู้สึกเบื่อแล้ว การโยกของแท่นบงกชหินจึง ‘ศักดิ์สิทธิ์บ้างไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง’ สุดท้ายก็ ‘แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา’ ที่แท้เป็นเพราะมันไปจากแท่นดอกบัวหินแล้ว มันอยากไปตามหาสหายที่อยู่ห่างไปไกล อยู่เพียงลำพังมาปีแล้วปีเล่า มันรู้สึกเหงาอย่างมาก
สุดท้ายมันก็พบเจอสหายสองคน คนหนึ่งคือภูตงู อีกคนหนึ่งคือภูตกวางแม่น้ำ คนจิ๋วดอกบัวที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ถูกพวกมันสองตนหลอกเอาแขนเล็กข้างหนึ่งที่ ‘รวบรวมขึ้นมาจากรากเมฆาและแก่นดิน’ รวมถึงใบบัวเฉิงหวง (ชื่อสัตว์ในตำนานโบราณ) หนึ่งกลีบ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังยืนหยัดที่จะตามหาสหายต่อไป และในที่สุดมันก็ได้เจอกับภูตดอกไม้ที่ไม่ต้องการสิ่งใดจากมัน มันจึงพานางกลับมาที่แท่นบงกชหิน เล่นสนุกด้วยกัน หยอกพวกนักท่องเที่ยวด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดมีวันหนึ่งที่มันตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลกลับค้นพบว่าปราณวิญญาณในแท่นบงกชหินไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่เหลือเลยแม้สักนิดเดียว ภูตดอกไม้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
แท่นบงกชหินที่สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีใครให้ความสนใจอีก สุดท้ายก็ถูกละทิ้งหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงภูตน้อยแขนเดียวที่มักจะมานั่งอยู่ริมแท่นหิน คลอเพลงพื้นบ้านในลำคอ แกว่งเท้าเบาๆ
บางครั้งมันก็รู้สึกเสียใจ เพราะมันไม่รู้ว่าตอนนี้สหายทั้งสามคนนั้นมีชีวิตที่ดีหรือไม่
หากมีชีวิตไม่ดี เหตุใดถึงไม่มาหาตนล่ะ มันจะได้ปลอบช่วยปลอบใจพวกเขาไง
แต่หากมีชีวิตที่ดี แล้วทำไมถึงยังไม่มาหาตนอีกล่ะ มันจะได้ร่วมดีใจไปกับพวกเขา
มันไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เจ้าตัวน้อยหันขวับกลับมาก็ค้นพบว่าคนต่างถิ่นที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะคนนั้นนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของก้อนหิน กำลังมองพระอาทิตย์ตกดินพลางดื่มเหล้า
พอสังเกตว่าตนหันไปมอง เขาก็ส่งยิ้มมาให้มัน
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน กระโดดทิ้งตัวลงไปในก้อนหินยักษ์ทันที
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วกระโดดลงจากก้อนหิน ออกไปจากวัดหรูชวี่แห่งนี้จริงๆ ไม่แกล้งหยอกภูตน้อยตนนี้อีก
เจ้าตัวน้อยหลบซ่อนในก้อนหินอยู่นานถึงได้กล้าโผล่ออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ กวาดตามองไปรอบด้านพักหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าคนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ถึงได้ขึ้นมาตรงตำแหน่งที่คนผู้นั้นนั่งเมื่อครู่ แล้วมันก็พลันเบิกตากว้างเพราะมองเห็นว่ามีเหรียญเงินที่ปราณวิญญาณโอบล้อมอยู่เหรียญหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!