กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 305

บทที่ 305.2 ก้มหน้ามองบ่อ เงยหน้ามองฟ้า
ProjectZyphon
หลังจากผ่านเรื่องการลอบฆ่าอันเป็นคลื่นมรสุมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้การยืนกรานของเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาก็ได้เริ่มมีการปิดภูเขา ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ นักเรียนหรือคนงานที่อยู่ด้านบนล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก รองเจ้ากรมพิธีการแห่งต้าสุยหรือเจ้าขุนเขาในนามค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้กลับให้การสนับสนุน อวี๋ลู่กทั้งยังส่งข้ารับใช้ใกล้ชิดหลายคนให้ไปแฝงตัวอยู่บริเวณโดยรอบภูเขาตงซานอย่างลับๆ รวมถึงยังบอกให้องค์ชายเกาเซวียนมาเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการด้วย

วันนี้เกาเซวียนมาตกปลาข้างทะเลสาบร่วมกับเพื่อนสนิทอย่างอวี๋ลู่อีกครั้ง

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ในที่สุดอวี๋ลู่ก็มอบความจริงใจให้แก่เกาเซวียนด้วยการบอกสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือสถานะของเขาที่เป็นรัชทายาทของอดีตราชวงศ์ก่อนอย่างราชวงศ์สกุลหลู อีกเรื่องหนึ่งก็คือวิถีวรยุของเขาคือขอบเขตเจ็ด

พอเกาเซวียนได้ยินเรื่องนี้ก็ร้องออกมาสองเสียง เสียงแรกคืออ้อ เสียงสองคือว้าว

ตอนนั้นดวงตาขององค์ชายต้าสุยเป็นประกายวาววับ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในการเลือกคบสหายของตัวเอง

อวี๋ลู่ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อคนอื่นยื่นผลท้อให้ก็ควรจะยื่นผลหลีตอบแทน ด้านเกาเซวียนเองก็พูดถึงเรื่องราวน่าอายในตระกูลของตัวเองหลายเรื่องเช่นกัน เวลาที่อยู่กับสตรี คนโดยมากมักจะหวังให้ตัวเองดีงามพร้อมสรรพไปทุกเรื่อง แต่เมื่ออยู่กับบุรุษ คนที่ไม่สนใจข้อบกพร่องของตัวเอง ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ก็แสดงว่าเขาต้องมองเห็นตนเป็นสหายแล้ว

คนสองคนที่อายุเท่ากัน คนหนึ่งถือเบ็ดตกปลาไม้ไผ่เขียวหนึ่งคัน รอให้ปลามากินเบ็ดอยู่เงียบๆ เกาเซวียนถามขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่าให้ฟังว่าเป่าผิงเรียกประชุมใหญ่แห่งยุทธภพไม่ใช่หรือ? ข้าเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษานานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้าไปเข้าร่วมอีกเลย?”

“เป่าผิงจัดประชุมอยู่สามครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เรียกประชุมพวกผู้ชายอีก คนอื่นคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย”

เกาเซวียนชี้ไปทางเส้นทางเล็กๆ บนชายฝั่งแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลี่ไหวอยู่ตรงนั้น”

อวี๋ลู่ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง

ไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ได้ว่าหลี่ไหวต้องพาเด็กน้อยสองคนเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่ง คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลยากจนที่นิสัยร่าเริงและค่อนข้างจะเกเรเล็กน้อย อีกคนหนึ่งคือคุณชายที่เป็นหลานของตระกูลขุนนางซึ่งสืบทอดอำนาจกันมาหลายรุ่นหลายสมัย แต่กลับมีนิสัยขี้ขลาดเก็บตัว ไม่รู้ว่าคนทั้งสามมาจับกลุ่มอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ทุกวันตัวติดกันไม่ห่าง ว่ากันว่าภายใต้ข้อเสนอของเด็กบ้านยากจนคนนั้น เจ้าตัวน้อยทั้งสามยังตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง กราบไหว้กันเป็นพี่น้องอีกด้วย คำว่าหัวไก่ที่พูดถึงนี้ เอาเข้าจริงก็เป็นแค่นกกระจิบที่ไปจับมาจากบนต้นไม้ ส่วนกระดาษเหลืองก็คือหน้าหนังสือที่แอบฉีกมาจากตำราในหอเก็บหนังสือ หลังจากเรื่องแดงขึ้นมา คนทั้งสามยังถูกอาจารย์ที่สอนตีจนก้นลาย

คนทั้งสามที่อยู่ริมทะเลสาบใช้กิ่งไม้ในมือแทนดาบและกระบี่ เจ้าฟาดมาข้าฟาดกลับ วิ่งตะบึงผ่านไป แน่นอนว่าหลี่ไหวต้องเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งตกปลาอยู่ริมชายฝั่งอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาก็ยังไม่เอ่ยทักทายอวี๋ลู่

หากเป็นหลินโส่วอี บางทีหลี่ไหวอาจจะมาคุยด้วยคำสองคำ แต่สำหรับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยแล้ว หลี่ไหวไม่ค่อยสนิทสนมด้วยนัก

ปีนั้นในกลุ่มคนที่เดินทางไกลมาต้าสุยเพื่อขอเรียนต่อ หลี่ไหวกับหลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีเป็นทั้งเพื่อนร่วมห้องเรียน และยังเป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน ความสัมพันธ์จึงสนิทสนมมากกว่าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย

ทุกวันนี้หลินโส่วอีไม่ค่อยไปที่หอเก็บหนังสือแล้ว ทุกวันนอกจากจะไปเรียน เวลามากกว่านั้นใช้หมดไปกับการฝึกตนในเรือนหลังเล็กที่ได้อยู่แยกเพียงลำพัง เรือนหลังนี้อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมช่วยขอกับทางสำนักศึกษามาให้เขา ผู้เฒ่าเองก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน เขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือหลินโส่วอี ไม่เพียงแต่ช่วยอธิบายความลี้ลับหลายอย่างในตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่หลินโส่วอีนำติดตัวมาด้วย ยังเอาตำราลับตระกูลเซียนหลายเล่มที่ตระกูลของตนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาให้ที่เรือนเล็ก ให้หลินโส่วอีได้เปิดอ่านตามใจต้องการ หากอาจารย์ผู้เฒ่ามีเวลาว่างก็จะมาช่วยไขข้อข้องใจให้กับหลินโส่วอีที่เรือนเล็ก

หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เรียกขานกันเป็นอาจารย์และศิษย์ แต่กลับมีพฤติกรรมเหมือนอาจารย์และศิษย์กันจริงๆ

นอกจากจะศึกษาหลักการในคัมภีร์และตำราต่างๆ ที่น่าเบื่อหน่ายแล้ว ความคิดส่วนใหญ่ของหลินโส่วอีก็ล้วนอยู่ที่การฝึกตน

จิตใจมุ่งมั่นอยู่กับมรรคา

……

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาวเย็น ในสำนักศึกษามีแม่นางน้อยอยู่คนหนึ่งที่แค่เปลี่ยนจากชุดกระโปรงสีแดงบางๆ มาเป็นชุดที่หนาขึ้นอีกนิด ส่วนชุดผ้าฝ้ายบุนวมนั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเอามาใช้

นางยังคงมานั่งเหม่ออยู่บนต้นไม้สูงยอดภูเขาเพียงลำพังเป็นประจำ หรือไม่บางครั้งก็เอาขนมจุบจิบมากินแก้หิว บางครั้งเวลาที่เรียนวิชาซับซ้อน นางก็จะเอาหนังสือมานั่งท่องอยู่บนกิ่งไม้ เพื่อที่ว่าวันถัดไปจะได้ไม่ต้องถูกอาจารย์ลงโทษให้คัดตัวหนังสือ ยังดีที่ทุกครั้งพอนางมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มักจะคัดบทความที่อาจารย์ต้องลงโทษให้คัดไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ตอนนี้ที่ห้องพักก็มีวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไว้หลายปึก สะสมไว้ได้มากแล้ว

ดังนั้นนางที่อยู่ในสำนักศึกษาจึงมีฉายาว่า ‘แม่นางคัดตำรา’

วันนี้หลี่เป่าผิงนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ นับนิ้วมือคำนวณอย่างตั้งใจว่าตัวเองจากลากับอาจารย์อาน้อยมานานแค่ไหนแล้ว

นานขนาดนี้แล้ว ทำไมอาจารย์อาน้อยถึงยังไม่มาซักที?

สายตาของหลี่เป่าผิงหม่นแสงลงเล็กน้อย

ฮ่าๆ ในเมื่อผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ก็หมายความว่าขยับเข้าไปใกล้การได้พบเจอกันในครั้งหน้าแล้วใช่หรือไม่?

หลี่เป่าผิงอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง

ดังนั้นแม่นางน้อยชุดแดงจึงลุกขึ้นยืน กระโดดอยู่บนกิ่งไม้ พยายามให้ตัวเองมองไปได้ไกลๆ ไม่แน่ว่าโดยไม่ทันรู้ตัว อาจารย์อาน้อยอาจจะมาอยู่ที่ตีนเขาแล้วก็ได้

เสียงตุ้บดังขึ้น

หลี่เป่าผิงร่วงลงไปบนพื้นแล้ว ใบหน้ามอมแมมเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น

ยังดีที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน รู้ดีว่าควรทำอย่างไรตนเองถึงจะตกลงมาไม่เจ็บ สุดท้ายหลี่เป่าผิงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ร้าวระบมบวมช้ำไปทั้งตัวเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

แม่นางน้อยที่แสยะปากแยกเขี้ยวรีบหันไปมองรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครได้เห็นสภาพน่าอายของตนถึงได้เดินกะเผลกลงเขาไป

ตลอดทางมีคนไม่น้อยเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายนางก่อน หลี่เป่าผิงก็ตอบรับไปทีละคน

กลับมาถึงหอพัก เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มคัดตำราอีกครั้ง หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองไปยังสมบัติที่อยู่บนโต๊ะของตนแล้วยิ้มกว้างสดใส หึหึ คราวหน้าถ้าอาจารย์อาน้อยมาที่เมืองหลวงต้าสุย นางก็จะโดดเรียนได้สิบวัน หลังจบเรื่องหากอาจารย์มาคิดบัญชีด้วย นางก็จะยกภูเขาหนังสือลูกนี้ไปให้เขา

หลี่เป่าผิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาด มือหนึ่งจับพู่กันคัดหนังสืออย่างคุ้นเคย อีกมือหนึ่งชูนิ้วโป้ง ตาสองข้างเป็นประกาย จุ๊ปาก “พูดไม่เสียแรงที่เป็นผู้นำแห่งยุทธภพ เผด็จการน่าเกรงขามจริงๆ”

……

บนภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน หลังจากได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวที่น้อยครั้งนักจะออกไปข้างนอกก็ไปที่เมืองเล็กเพื่อตอบจดหมายกลับด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นก็ไปตามหาเว่ยป้อที่ตำหนักขุนเขาเหนือแห่งต้าหลีบนภูเขาพีอวิ๋นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

แต่พอกลับมาที่เรือนไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสังเกตเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยร่าเริงนัก แม้จะไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แต่ก็พอรู้ว่าเรื่องนั้นคงจะไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!