หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีติดตามเฉินผิงอันเดินทางไปขอเรียนต่อที่ต้าสุย ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ต่อในเมืองเล็ก เคยเข้าเรียนที่โรงเรียนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่นานก็ออกจากโรงเรียน บ้านบรรพบุรุษสองหลังในเมืองเล็ก เก็บไว้หนึ่งหลังขายออกไปหนึ่งหลัง ไม่เพียงแต่ซื้อบ้านหลังใหญ่โตไว้ครึ่งถนนที่เขตการปกครอง เงินที่เหลือยังเอามาทำทุนสร้างกิจการเป็นของตัวเอง มีเพียงสือชุนเจียที่ทางครอบครัวขายร้านที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษในตรอกฉีหลง ติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี ไม่รู้ว่าครั้งนี้กลับมาบ้านเกิดเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษหรือเพื่ออะไร
พ่อแม่ของสือชุนเจียแค่เคยได้ยินชื่อของต่งสุ่ยจิง แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน เห็นว่าบุตรสาวมีท่าทางอาลัยอาวรณ์จึงบอกว่าจะขอพักกินเกี๊ยวก่อนสักชามสองชาม ต่งสุ่ยจิ่งเข้าครัวทำด้วยตัวเอง หลังจากเอามาส่งที่โต๊ะให้ด้วยตัวเองแล้วก็พูดคุยกับพวกเขาสองสามคำ ก่อนจะกลับไปอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน สือชุนเจียกินแบบขอไปทีเสร็จแล้วก็วิ่งไปหาต่งสุ่ยจิ่ง ถามเสียงเบาว่ามีข่าวของเป่าผิงหรือไม่ ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่เล่าเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันเคยเล่าให้ฟังซ้ำอีกรอบ สือชุนเจียเงี่ยหูตั้งใจฟัง ไม่ยอมให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ต่งสุ่ยจิ่งกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าทางฝั่งนั้นกินเกี๊ยวกันใกล้จะหมดแล้วจึงถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “กลับมาครั้งนี้จะอยู่เลยหรือไม่?”
สือชุนเจียพยักหน้ารับ “ได้ยินว่าโรงเรียนที่มาเปิดใหม่เป็นของสกุลเฉินหลงเหว่ย ท่านปู่ของข้าจึงบอกให้ท่านพ่อท่านแม่ข้ากลับมา แม้ว่าจะขายร้านไปแล้ว แต่บ้านบรรพบุรุษก็ยังอยู่ มีที่ให้อยู่อาศัย”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ
สุดท้ายเขาก็ยังเก็บเงินคนในครอบครัวของสือชุนเจีย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเวลาปกติแล้ว ราคาเกี๊ยวทุกชามเก็บน้อยลงหลายเหรียญทองแดง
สือชุนเจียเป็นเด็กที่นิสัยตรงไปตรงมา เห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งยังกล้าเก็บเงิน นางจึงถลึงตาใส่สหายร่วมชั้นเรียนที่มีแต่เงินอยู่ในสายตาผู้นี้
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มบางๆ ไม่ได้ถือสา
มองส่งพวกเขาจากไป รู้ว่าวันหน้าโอกาสที่จะได้เจอกันยังมีอีกมาก
ทำการค้า คนสนิทมาเข้าร้าน จะหลอกเอาเงินคนสนิทไม่ได้เด็ดขาด แต่จะไม่เก็บเงินก็ไม่ได้ ไม่ได้กำไรและไม่ขาดทุนคือการเลือกที่ดีที่สุด
หาไม่แล้วยิ่งทำการค้าก็จะยิ่งไม่มีเพื่อน
เจ้าขาดทุนครั้งแล้วครั้งเล่า คนผู้นั้นยังชอบมาที่ร้านเป็นประจำ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นเจ้าเป็นเพื่อน
เจ้าได้กำไรมากกว่าปกติในทุกๆ ครั้ง นั่นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าไม่เคยเห็นคนผู้นั้นเป็นเพื่อน หากเป็นอย่างนี้ก็อาจจะไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว
แต่หากเป็นอย่างแรกย่อมต้องทุกข์ใจตาย
เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีลูกค้ามาแล้ว ลูกจ้างร้านสองคนเหนื่อยจนกระดูกแทบหลุด ต่งสุ่ยจิ่งจึงทำเกี๊ยวน้ำชามโตสองชามให้พวกเขา เห็นพวกเขาสวาปามกินอย่างหิวโหย ต่งสุ่ยจิ่งก็หันมองไปยังสีท้องฟ้านอกร้าน จากนั้นก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่พาดกระบี่ยาววางขวางไว้ด้านหลังเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา
จอมยุทธ์สำนักโม่ที่มีชื่อว่าสวี่รั่วเพิ่งเดินทางจากนครมังกรเฒ่ากลับมาถึงท่าเรือเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ตรงมาที่นี่ทันที เขาถามเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยรอยยิ้มว่า “ข่าวคราวเกี่ยวกับนาง ข้าละเมิดกฎบอกเจ้าไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้า
ในเมื่อนางได้เป็นคนในกลุ่มของเทพเซียนแล้ว ตนก็ไม่ควรใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป
เป็นคนเชื่อดาบอะไรนั่นก็จะมีชีวิตอยู่ได้หลายสิบปี หรืออาจหลายร้อยปี
ไม่ว่าสุดท้ายตนจะสามารถครองคู่อยู่กับแม่นางคนนั้นได้หรือไม่ แต่การที่ได้เห็นนางมากหน่อยก็ถือว่าดี
……
ทะเลสาบเจี่ยนซูมีมารน้อยแซ่กู้คนหนึ่งปรากฎตัว
ชื่อว่ากู้ช่าน คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสีย เขาถึงกับสามารถบังคับเจียวหลงตัวหนึ่งที่มีศักยภาพแท้จริงเทียบเคียงได้กับโอสถทองขั้นสูงสุด ศึกนองเลือดภายในฝ่ายของตัวเองก่อนหน้านี้ เจียวหลงตัวนั้นสังหารผู้คนศพเกลื่อนไปทั่วเกาะชิงเสีย ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือหลิวจื้อเม่าไม่ได้ขัดขวาง ต่อให้ลูกศิษย์ใหญ่จะถูกสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นกัดกินจนตายก็ยังไม่ยอมปรากฎตัว
หากหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ชื่อเสียงดุร้ายที่เลื่องลือของมารน้อยกู้ก็คงไม่ถึงขั้นแพร่สะพัดไปทั่วทะเลสาบเจี่ยนหูที่มีน่านน้ำกว้างขวางที่สุดในแจกันสมบัติทวีป สาเหตุก็เพราะหลังจากนั้นมา บนคลื่นสีมรกตของทะเลสาบเจี่ยนหูมักจะปรากฎภาพเด็กน้อยคนหนึ่งที่มองดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเดินเล่นเตร็ดเตร่ไปทั่ว แรกเริ่มยังมีผู้ฝึกลมปราณเข้าใจผิดคิดว่าเด็กชายใช้เวทลับบังคับน้ำหรือเวทลับหลบเลี่ยงน้ำ ถึงสามารถเดินอย่างสบายอารมณ์อยู่บนผิวน้ำทะเลสาบได้โดยที่เท้าสองข้างไม่ขยับ
โดยทั่วไปแล้วน้ำบ่อจะไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาสร้างหายนะใหญ่เทียมฟ้า ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มสาวยี่สิบกว่าคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนัก พวกเขาโดยสารเรืออาคารหลายชั้นขนาดใหญ่ยักษ์ จับกลุ่มกันมาท่องเที่ยวบนทะเลสาบ แล้วได้มาเจอกับเด็กคนนั้นโดยบังเอิญ ทั้งสองฝ่ายประจันหน้า ไม่มีใครยอมลงให้ใคร จึงเกิดความขัดแย้งขึ้น
ผลคือตอนที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน เด็กชายที่สองแขนกอดอกพลันทะยานตัวขึ้นสูง ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็เหยียบอยู่บนเจียวหลงขนาดมหึมา มันกดกรงเล็บลงมาหนึ่งครั้ง เรืออาคารขนาดใหญ่ก็ขาดครึ่งท่อน จากนั้นผู้ฝึกลมปราณที่พยายามบังคับลมหนีไปจากเรือที่กำลังจมก็ถูกสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นพ่นลำน้ำใส่ พอถูกสายน้ำชะผ่านไปก็หลงเหลือเพียงโครงกระดูก ส่วนกลุ่มคนที่จมน้ำเปียกมะลอกมะแลกก็ถูกกรงเล็บกรีดเปิดท้อง คนที่โชคร้ายหน่อยถึงขั้นถูกมันส่งเข้าปากเคี้ยวกิน
อาวุธและวิชาอภินิหารทั้งหมดที่กระแทกลงบนร่างของมันไม่สร้างความระคายผิวให้มันได้เลย มันถึงขั้นคร้านจะหลบเลี่ยงด้วยซ้ำ คนที่น่าอนาถที่สุดก็คือ ‘คนฉลาด’ ที่พยายามจะจับหัวหน้าโจรก่อนคนนั้น เขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีสถานะค่อนข้างสูง ในทะเลสาบเจี่ยนหูอันเป็นสถานที่รวบรวมเหล่าผู้พิชิตก็ถือว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาคิดจะใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสังหารเด็กที่ยืนอยู่บนศีรษะของเจียวหลง
เจียวหลงที่เดิมทีแค่คิดเล่นสนุกพลันเปลี่ยนมาเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราดในบัดดล มันบังคับน้ำของทะเลสาบที่อยู่รอบกายให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม กักตัวผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไว้ภายในกรงขังน้ำมรกตรูปสี่เหลี่ยม จากนั้นก็ไม่รู้ว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นใช้เวทลับอะไรถึงสามารถดึงอากาศทั้งหมดออกไป ปล่อยให้ปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่แห้งขอดแล้วร่างระเบิดแตกตาย
เสียงปังดังกัมปนาท
เลือดสดแตกกระจายเต็มกรงขัง
คล้ายดอกไม้ขนาดใหญ่ดอกหนึ่งเบ่งบาน
เด็กคนนั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของเจียวหลงหัวเราะร่า
ผู้อาวุโสขอบเขตโอสถทองและผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรที่เร่งรุดมา พอได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเองในระยะประชิดก็ตกอกตกใจกันไม่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เกาะชิงเสียเกิดความขัดแย้งกันเองภายใน พวกเขาอยู่ห่างไปไกล อีกทั้งตอนนั้นสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็ยังร่ายใช้วิชาคาถาของผู้ฝึกลมปราณไม่เป็น จนกระทั่งวันนนี้ อยู่ห่างแค่ร้อยกว่าจั้ง เห็นสัตว์เดรัจฉานที่ดูเหมือนว่าจะบรรลุวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต หากในตำราโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับเจียวหลงไม่ได้กล่าวผิดไป นี่ไม่เท่ากับว่ามันพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นเจียวหลงเซียนดินสมชื่อแล้วหรอกหรือ? สามารถจำแลงร่างกลายเป็นคน หากไปอยู่ในช่วงยุคบรรพกาลที่เผ่าพันธ์เจียวและมังกรเจริญรุ่งเรือง เกรงว่าก็คงมีคุณสมบัติจะได้ครอบครองวังมังกรแห่งหนึ่งในแม่น้ำสายใหญ่แล้ว
ตอนแรกผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในทะเลสาบเจี่ยนหูกลุ่มนี้ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี คิดจะแอบช่วยลูกศิษย์ของตัวเองอย่างลับๆ แต่เมื่อผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูงมังกรคนหนึ่งที่ลงมือก่อนใครถูกสัตว์เดรัจฉานตนนั้นกรีดกรงเล็บใส่เบาๆ แล้วร่างทั้งร่างของผู้ฝึกลมปราณเฒ่าที่อยู่ห่างมาไกลหลายสิบลี้ปรากฎรอยกรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์ จากนั้นร่างก็ระเบิดแตกกลางอากาศ
การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางด้วยกัน ต่อให้ห่างกันหนึ่งหรือสองขอบเขต โอกาสแพ้ชนะย่อมไม่ต่างกันมากนัก แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ถูกตัดสินด้วยความเป็นความตายในทันทีเช่นนี้
ทุกคนจึงหันมามองหน้ากัน สุดท้ายก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือลูกศิษย์ที่ตกน้ำพวกนั้นอีก เลือกที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ด้วยการถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นมาก็มีคนแอบเข้าไปในเกาะชิงเสีย คิดจะสังหารมารกู้ช่านผู้นั้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินสังหารตายไปทีละคน เวลาเพียงครึ่งปีก็มีการลอบสังหารติดต่อกันถึงห้าหกครั้ง แต่ก็ล้วนถูกเกาะชิงเสียขัดขวางเอาไว้ ครึ่งปีให้หลังกลุ่มที่มีหลิวจื้อเม่าเป็นผู้นำ กู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานตนนั้นเป็นกองกำลังหลักก็บุกไปสังหารถึงบนเกาะที่ตั้งของสำนักพวกนักฆ่า ทุกครั้งจะเลือกแค่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนเก็บไว้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนตายสิ้นโดยไม่มีข้อยกเว้น ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ กวาดเอาสมบัติอาคมทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดมา เวลานั้นเหมือนกับว่าเกาะชิงเสียจะกลายมาเป็นผู้นำของหมู่เกาะบนทะเลสาบเจี่ยนซูแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!