กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 308

บทที่ 308.2 ใต้เปลือกตา ใต้ฝ่าเท้า
ProjectZyphon
เรื่องน่าอับอายของวัดป๋ายเหอแพร่สะพัดไปไม่ถึงสิบวันก็ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว ราชสำนักให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแล้ว พระสงฆ์ในวัดป๋ายเหอแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากกำจัดตัวการชั่วร้ายไม่กี่คนไปแล้ว คนที่ถูกขังคุกก็ขังคุก ถูกขับไล่ก็ขับไล่ ทรัพย์สินทั้งหมดของวัดป๋ายเหอถูกยึด ส่วนข้อที่ว่าใครจะมารับเผือกร้อนลวกมือลูกนี้ต่อ บางคนก็บอกว่าเป็นพระสมณศักดิ์สูงของวัดอีกสามแห่งที่เหลือ แต่ก็มีบางคนบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสจากวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางหลายแห่งของท้องที่

เห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือคอยวางแผนให้กับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ถึงใช้วิธีตัดฉับขาดกลางคันกับเรื่องน่าอับอายของวัดป๋ายเหอ และการที่เรื่องหยุดลงพร้อมเงียบหายไปอย่างรวดเร็วก็ยังเป็นเพราะความสนใจของคนทั้งราชสำนักถูกย้ายไปที่เรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคืออวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซานหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้าปิดด่านสิบปี ตอนนี้ฝ่าด่านประสบความสำเร็จจึงเรียกประชุมใหญ่แห่งยุทธภพ เรียกเหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันเพื่อร่วมปรึกษาเรื่องการปราบปรามสามลัทธิมาร

จ้งชิวราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยนที่ได้รับการขนานนามว่า ‘อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า’ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน ลู่ฝ่างเจ้าขุนเขาของยอดเขาเหนี่ยวคั่นซึ่งเล่าลือกันว่าสามารถบำรุงปราณกระบี่อยู่ท่ามกลางไอหมอกทะเลเมฆเหนือขุนเขา ล้วนปรากฎตัวกันหมด สี่ปรมาจารย์ใหญ่จะมารวมตัวกันที่ภูเขากู่หนิวซึ่งอยู่ติดกับเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นี่คือภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ร้อยปีไม่เคยปรากฎมาก่อนในยุทธภพ

คนทั้งสี่นี้ล้วนเป็นผู้นำแห่งยุทธภพในแคว้นของตัวเอง แค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้ลูกคลื่นในยุทธภพของแคว้นหนึ่งถาโถม โดยเฉพาะระหว่างจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนกับอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่ที่ผูกบุญคุณความแค้นมาร่วมกันถึงหกสิบปีเต็ม คนทั้งสองต่างก็ถือกำเนิดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของแคว้นซงไล่ เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโชควาสนาอำนวย พี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาคู่หนึ่งก็เริ่มเดินทางท่องไปในยุทธภพด้วยกัน ต่างคนต่างได้พบเจอกับเรื่องอัศจรรย์ กลายมาเป็นคู่ผู้มากพรสวรรค์บนวิถีวรยุทธ์ที่ถูกจับตามองจากคนในยุทธภพมากที่สุด สุดท้ายไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต หลังจากศึกตัดสินเป็นตายที่มีคนเพียงสี่ห้าคนร่วมชม คนทั้งสองต่างก็บาดเจ็บสาหัส จ้งชิวถึงได้มาที่แคว้นหนันเยวี่ยน หลังจากนั้นมาคนทั้งสองก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีก ไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณ แล้วก็ไม่เอ่ยถึงความแค้น

ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันกลับมาถึงเรือนพักที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ก่อนหน้านี้ตรงหัวมุมถนนยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นหมากล้อม ปู่หลานสองคนก็กำลังดูคนอื่นเล่น เห็นร่างของเฉินผิง เด็กชายพลันหน้าซีดขาว รีบลุกขึ้นยืน กวักมือให้เฉินผิงอันมาดูคนเล่นหมากล้อม พอเฉินผิงอันเดินเข้าไปใกล้ ดูกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายบอกว่ามีธุระต้องกลับบ้านก่อนแล้วก็เผ่นแน่บไปทันที เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย เขาที่ไม่ได้มีความสนใจอยากจะดูคนเล่นหมากล้อมอยู่แล้วยืนดูได้หนึ่งก้านธูป ก็ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปที่บ้าน

พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นว่าตรงห้องฝั่งตรงข้าม เด็กชายกำลังเหยียบม้านั่งตัวเล็ก มองลอดหน้าต่างมายังเฉินผิงอันแล้วผ่อนลมหายใจเบาๆ

เฉินผิงอันปิดประตู ปลดห่อสัมภาระวางลงบนเตียง คนจิ๋วดอกบัวรีบกระโดดออกมาจากพื้นดิน ส่งเสียงอือๆ อาๆ ชี้ไม้ชี้มือราวกับว่าโมโหมาก

เฉินผิงอันชำเลืองตามองตำราที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ รอยยับย่นเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตเห็นเพิ่มมากขึ้นจากตอนที่ตัวเองออกจากห้องอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็เข้าใจได้ทันที จึงย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นฝ่ามือให้เจ้าตัวน้อยเดินขึ้นมา จากนั้นถึงลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะ คนจิ๋วดอกบัวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ เจ้าตัวน้อยที่ตัวไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผงสักเสี้ยวกระโดดขึ้นไปบนภูเขาหนังสือเบาๆ คุกเข่าลงบนปกในของตำราอริยะเล่มหนึ่ง ใช้แขนเล็กๆ ตั้งใจรีดรอยยับย่นให้เรียบ

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอก หนังสือมีไว้ให้คนอ่าน นี่คนเขาก็เอากลับมาคืนแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องโกรธหรอก”

เจ้าตัวน้อยที่กำลังตั้งใจทำงานหันหน้ากลับมา กะพริบตาปริบๆ แววตามีความสงสัยไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของมัน หยิบแผ่นไม้ไผ่และมีดแกะสลักออกมาวางบนโต๊ะเบาๆ

ราตรีนี้เฉินผิงอันแอบไปที่วัดป๋ายเหอ ก่อนหน้านี้เขาเคยมาจุดธูปไหว้พระที่นี่มาก่อน ที่นี่จึงไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเขา วัดป๋ายเหอมีตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่พิเศษมาก ด้านในบูชาพระพุทธรูปไว้สามองค์ องค์หนึ่งถลึงตาดุดัน องค์หนึ่งหลุบตามองต่ำ และยังมีองค์หนึ่งที่นั่งหันหลัง ตลอดพันปีที่ผ่านมา ไม่ว่าควันธูปจะหนาแค่ไหน พระพุทธรูปองค์นี้ก็เอาแต่นั่งหันหลังให้ประตูบานใหญ่และผู้แสวงบุญตลอดเวลา

ช่วงที่ผ่านมาวัดป๋ายเหอค่อนข้างจะซบเซา ตอนกลางวันว่าเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้ว ตอนกลางคืนกลับเงียบสงัดวังเวงยิ่งกว่า บวกกับข่าวลือน่ากลัวที่ผู้คนเล่ากันไปปากต่อปากก็ยิ่งขับดันให้เทวรูปพระโพธิสัตว์องค์เทพสวรรค์ที่ส่องรัศมีเรืองรองน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กลายมาเป็นดุร้ายน่าสะพรึงกลัว เมื่อหลายวันก่อนมีโจรกลุ่มหนึ่งเข้ามาลักขโมย ผลกลับกลายเป็นว่าต้องร้องโหยหวนเผ่นหนีออกไป ทุกคนกลายเหมือนคนวิปลาสเสียสติ จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในคุกแล้วถึงจะสงบลงได้ พูดแค่ว่าในวัดป๋ายเหอมีผี ห้ามเข้าไปเด็ดขาด

ก่อนจะเข้าไปยังตำหนักข้างที่ยังไม่ปิดประตูแห่งนี้ เฉินผิงอันยังจงใจเผายันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่น ไม่มีความผิดปกติใดเกิดขึ้น เขาลองเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ในวัดอย่างเงียบเชียบ ยันต์ก็แค่ค่อยๆ เผาไหม้ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกันเท่านั้น

เฉินผิงอันกำลังจะออกไปจากวัดป๋ายเหอ เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ประตูก็พลันถอยหลังกรูด ดีดปลายเท้าขึ้น นาทีถัดมาก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนเสาคานของตำหนักใหญ่ เอนตัวนอนตะแคง กลั้นลมหายใจ

มีคนสามคนเดินอาดๆ เข้ามาในตำหนัก ลักษณะไม่เหมือนโจรขโมย กลับเหมือนขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์ที่ออกมาชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนเสียมากกว่า

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ไม่นึกว่าสองคนในกลุ่มนี้เขาจะเคยเจอมาก่อน เขาก็คือคนฝึกยุทธ์ที่พักอยู่ในเรือนหนึ่งที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวน ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ แต่ใบหน้ากลับผอมตอบ แม้จะไม่ใช่นักพรต ทว่าบนศีรษะกลับสวมกวานดอกบัวสีเงินที่มีลักษณะโบราณเรียบง่าย เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่เฉินผิงอันมองเห็นเขาบนถนนแถวตลาดไกลๆ แล้ว คืนนี้ผู้เฒ่าไม่ได้จงใจปกปิดพลังอำนาจ เมื่อเขาก้ามข้ามธรณีประตูเข้ามาจึงเหมือนขุนเขาตั้งตระหง่านที่พุ่งชนตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอแห่งนี้เข้าอย่างจัง

หญิงสาวปลดหมวกที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองลง ดวงหน้าของนางงดงามดึงดูดใจคน สลัดเสื้อคลุมกันลมที่อยู่บนกายออก เผยให้เห็นชุดสีสันสดใสชวนมอง ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือนางกลับสวมรองเท้าไม้เกี๊ยะคู่หนึ่ง เท้าที่เปิดเปลือยขาวปลั่งประหนึ่งหิมะน้ำค้างแข็ง

คุณชายหล่อเหลาอีกท่านหนึ่งกลับไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เรือนกายของเขาสูงเพรียว สวมชุดคลุมตัวใหญ่ชายแขนเสื้อกว้างสีน้ำเงินเข้ม บนข้อมือพันลูกประคำปะการังไว้หนึ่งเส้น ขณะที่ก้าวเดินก็ขยับลูกประคำไปด้วย

น้ำเสียงของหญิงสาวกระจ่างใส ไม่ใช่สำเนียงของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นางชำเลืองตามองคุณชายคนนั้นอย่างชดช้อย เอ่ยสัพยอกว่า “จานฮวาหลางของข้า ในเมื่อเจ้าเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เหตุใดถึงไม่คุกเข่าโขกหัวคำนับเล่า? ถึงเวลานั้นข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป เอาเปรียบคุณชายโจวถึงขนาดนี้ ชื่อเสียงจะไม่เลื่องลือไปทั่วหล้าภายในค่ำคืนเดียวเลยหรอกหรือ? ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว”

คุณชายหนุ่มยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยตอบ เพียงแหงนหน้ามองพระพุทธรูปทั้งสามองค์

ฟ้าดินเงียบสงัด ในตำหนักที่กว้างใหญ่มีเพียงเสียงเบาๆ ของลูกประคำที่กลิ้งขยับเท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!