รอยยิ้มผู้เฒ่าคลุมเครือมีเลศนัย
เด็กชายพูดเสริมอีกว่า “ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้! ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่าของข้า!”
ผู้เฒ่าที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินชี้ไปที่ตัวเองพลางเอ่ยยิ้มๆ “ข้า? คนบนโลกล้วนชอบเรียกข้าว่ามารเฒ่าติง ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ลูกศิษย์ในลัทธิที่พบเจอข้าอาจจะเรียกด้วยความเคารพว่าเจ้าลัทธิไท่ซ่าง ส่วนชื่อเดิมของข้า ชื่อว่าติงอิง ไม่ได้ใช้มันมาหลายปีแล้ว”
ผู้เฒ่าถาม “แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร?”
เด็กชายเสียงสั่น แต่กลับพยายามตะเบ็งเสียงให้ดังมากที่สุด “เฉาฉิงหล่าง!” (ฉิงหล่างหมายถึงวันที่อากาศ/ท้องฟ้าแจ่มใส)
ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “ชื่อนี้ของเจ้าช่างตั้งได้เอาเปรียบคนอื่นยิ่งนัก บวกกับหน้าตาเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าท่องอยู่ในยุทธภพระวังจะถูกคนทุบตี”
เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ลมพายุขุมหนึ่งที่ส่งเสียงอื้ออึงพัดไปทางกระดาษหน้าต่างด้านข้างของห้อง ทว่ากระดาษหน้าต่างแผ่นบางกลับไร้ความเสียหาย ในห้องเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกฟาดกลับไป
เด็กชายไม่อาจเข้าใจวิธีการที่อัศจรรย์สุดขีดนี้ เขาเพียงแต่โกรธจนหน้าเขียว “ผายลม!”
คนในครอบครัวตายไปแล้ว ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จึงกลายมาเป็นความทรงจำอย่างสุดท้ายของเด็กชาย
ผู้เฒ่าไม่ถือสา ตามองแม่ไก่หลายตัวในลานบ้านที่กำลังเดินจิกหาอาหารไปทั่ว
ผู้เฒ่าลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว หยิบข้าวสารจากถังใส่ข้าวมากำมือหนึ่ง พอกลับมานั่งที่เดิมแล้วก็โปรยลงบนพื้น พวกแม่ไก่กระพือปีกถลาเข้ามากินอาหารอย่างสำราญใจ
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “คนบนโลกต่างก็กลัวข้า แต่เจ้าดูสิ พวกมันไม่กลัวเลย”
เขาค้อมหลังเอนตัวไปด้านหน้า “นี่หมายความว่าปรมาจารย์ยอดฝีมือ กษัตริย์ แม่ทัพทั้งหลายสู้ไก่สักตัวก็ยังไม่ได้ อย่างนั้นหรือ?”
เด็กชายยังเยาว์นัก ในสมองมีแต่ความเคียดแค้น ไหนเลยจะเต็มใจคิดถึงเรื่องพวกนี้ เพียงแค่จ้องมองมารร้ายที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ เจ็บใจที่ตัวเองมีพละกำลังน้อยเกินไป ฉับพลันนั้นเขาบังเกิดความคิด นึกขึ้นได้ว่าในห้องครัวยังมีมีดผ่าฟืนที่ลับจนคมใช้ได้ สถานที่อย่างเมืองหลวงนี้ ครอบครัวเล็กๆ ที่พอมีฐานะอย่างครอบครัวของเด็กชายมีเงินมากพอที่จะเรียกให้คนขายถ่านที่เดินผ่านหน้าบ้านหยุดรถ มีดผ่าฟืนที่อยู่ในบ้านก็แค่มีไว้ประดับพอเป็นพิธีเท่านั้น
ผู้เฒ่ามองท้องฟ้า ถามเองตอบเอง “แน่นอนว่าไม่ใช่ ก็แค่คนไม่รู้จึงไร้ความกลัวเท่านั้น บางครั้งอินทรีตัวหนึ่งบินผ่านท้องฟ้า หนูที่อยู่ในผืนนาก็รีบกำเมล็ดข้าวเปลือกใต้อุ้งเท้าไว้แน่น คนแบบนี้ในใต้หล้าของพวกเรามีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ไม่ได้ดีไปกว่าพวกชาวบ้านธรรมดาสักเท่าไหร่ พวกเขาก็แค่สามารถมองเห็นเงาดำได้เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่ที่เปลี่ยนมาฝึกตนเป็นเซียน พ่อครัวเฒ่าในตำหนักรัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเจ้า ภิกษุเฒ่าผู้บรรยายพระสูตรแห่งวัดจินกัง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ติงอิงก็ลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ดีดนิ้วเบาๆ ลมพายุลูกแล้วลูกเล่ามารวมตัวกันกลายเป็นเส้น แล้วโจมตีไปทางหน้าต่างข้างห้อง
ติงอิงลงมือเร็วเกินไป ลมพายุสีเขียวอึมครึมรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง เป็นจุดๆ ก้อนๆ คล้ายภาพดวงดาวบนทางช้างเผือก
“และยังมีคนต่างถิ่นบางส่วนที่สมกับคำว่าผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือน พวกเขาล้วนถูกพวกเราเรียกว่าเป็นเจ๋อเซียนทั้งหมด ท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ดุจดั่งดาวหางที่มาเร็ว แล้วก็จากไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร มีปัญหาตามมาแค่ไหน กลายมาเป็นกองขยะที่เละเทะเกินเยียวยาเท่าไหร่ พวกเขาไม่เคยสนใจ”
“พวกเขาไม่สนใจการพบพรากสุขทุกข์บนโลกมนุษย์”
ติงอิงยิ้มพลางทำมือเหมือนพลิกเปิดหนังสือ จากนั้นก็ตบเบาๆ คล้ายปิดหนังสือเข้าหากัน “คนพวกนี้ทำเหมือนเปิดหน้าหนึ่งของหนังสืออ่านเล่นยามมีเวลาว่าง พลิกกลับไปแล้วก็พลิกกลับมา บนหน้าหนังสือจะเขียนว่า ‘จารีตเสื่อมเสีย’ ‘เลือดนองพันลี้’ ‘ปวงประชาทุกข์ยากน่าเวทนา’ หรือไม่ พวกเขาล้วนไม่สนใจ”
“ครอบครัวที่สืบทอดมารยาทพิธีการมานานนับพันปี จวนอริยะจากตระกูลปัญญาชนให้กำเนิดตัวประหลาด ถูกเขาทำลายเสียจนย่อยยับป่นปี้”
“แคว้นเล็กๆ ที่ห่างไกล มีฮ่องเต้ที่จิตใจทะเยอทะยาน ไม่เคยเข้าใจเรื่องยกทัพจับศึก แต่กลับทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อ เพียงยี่สิบปีคนหนุ่มของครึ่งแคว้นก็ตายสิ้น”
เด็กชายหรือจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาเอาแต่จมจ่อมอยู่กับความเคียดแค้นของตัวเอง “แล้วเจ้าล่ะทำอะไร?”
เด็กชายในตรอกที่ชื่อว่าเฉาฉิงหล่างสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ “เจ้าก็ได้แต่สังหารพ่อแม่ ปู่ย่าของข้า…”
เสียงสะอื้นของเฉาฉิงหล่างแฝงไว้ด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าจะนับเป็นวีรบุรุษชายชาตรีอะไรได้ เจ้ามันมารร้ายชั่วช้าที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย!”
คล้ายจะจงใจแกล้งหยอกเด็กน้อย ผู้เฒ่าถึงทำเสียงฮือๆๆ เลียนแบบเด็กชาย จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น
ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะเขายังมีจิตใจเป็นเด็ก หรือเสียสติจนเป็นบ้าไปแล้ว
เด็กชายโกรธจนตัวสั่น
ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงเจ๋อเซียนพวกนั้นจะทำอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ไม่เกี่ยวเลย ข้าก็แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองฆ่าคน ฆ่าคนบางคนที่น่าสนใจก็เท่านั้น”
ผู้เฒ่ายกแขนข้างหนึ่งขึ้น ใช้ฝ่ามือต่างมีดทำท่าขึ้นลงเหมือนกำลังสับเนื้อ “เจ๋อเซียนคนหนึ่ง เจ๋อเซียนสองคน สามคนสี่คน สับพวกเขาให้ตาย นอกจากพวกเขาแล้วยังมีสิบคนเบื้องบนที่ไม่นับรวมข้า รวมไปถึง ‘สิบคนเบื้องล่าง’ ที่เกิดขึ้นในภายหลังด้วย ใครที่น่าสนใจก็เก็บไว้ รกหูรกตาก็ฆ่าให้หมด”
ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเด็กชาย
ติงอิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ครั้งนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อครั้งหกสิบปีนั้นสักเท่าไหร่
ดังนั้นเขาถึงเลือกอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ลงมือด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็ยังบ้าคลั่ง พยายามที่จะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวไปท้าทายกับยอดฝีมือเก้าคนหรืออาจจะมากกว่าสิบคน เมื่อหกสิบปีก่อนเคยมีคนพยายามทำเช่นนี้ หวังจะฮุบเอาโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไว้เพียงลำพัง ผลคือแพ้อนาถ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!