กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 312

บทที่ 312.2 เหนือคนยังมีคน
ProjectZyphon
เฉิงหยวนซานกล่าว “โจวเฝยผู้นี้ทำอะไรไร้ความยำเกรงมาโดยตลอด ช่างเหมือนพวกเจ๋อเซียนในประวัติศาสตร์ยิ่งนัก ครั้งนี้ก็หันมาพึ่งพาติงอิงอีก จะเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้าย เจ้าลองบอกข้าหน่อยสิ หลิวจง คนอื่นข้าเชื่อไม่ได้ แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น”

หลิวจงเอ่ยยิ้มๆ “อาศัยอะไรถึงเชื่อข้า”

เฉิงหยวนซานกล่าวอย่างจริงจัง “คนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ล่มหลงในวรยุทธ์มีมากมายดุจขนวัว แต่สำหรับในใจของข้า ผู้ล่มหลงในวรยุทธ์ที่แท้จริงมีเพียงเจ้าหลิวจงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเองก็เหมือนกับติงอิง จ้งชิว อวี๋เจินอี้ คือคนไม่กี่คนที่มีชีวิตรอดมาได้จากศึกของปีนั้น สิบคนนั้น ไอ้ที่ตายก็ตาย ที่หายตัวไปก็หายตัวไป มีเพียงคนวงนอกของสถานการณ์อย่างพวกเจ้าที่กลับกลายเป็นว่าได้รับโชควาสนาของใครของมัน ติงอิงได้กวานเต๋าของเซียนผู้หนึ่งไป อวี๋เจินอี้ได้ตำราลับของตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง จ้งชิวได้อะไร ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนั้นเจ้าหลิวจงเป็นฝ่ายเสียสละไม่ต้องการมีดปีศาจเพียงเพราะว่าตัวเองมีมีดอยู่ข้างกายแล้ว การเลือกแบบนี้ ใต้หล้าก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้”

หลิวจงลูบหนวดอันเบาบางของตัวเอง ยิ้มตาหยีพูดว่า “ความลับเรื่องนี้ เจ้าที่เป็นคนนอกซึ่งไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์หายนะครั้งนั้น รู้ได้อย่างไร?”

เรื่องนี้เป็นจุดที่คันคะเยอที่สุดในชีวิตของหลิวจง เขาไม่เคยพูดใครให้ฟัง แต่ในเมื่อวันนี้ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานพูดขึ้นมาเอง คนลับมีดอย่างหลิวจงก็ยังคงรู้สึกลำพองใจในตัวเองอยู่ดี

เฉิงหยวนซานตอบตามสัตย์จริง “เจ้าของคนใหม่ที่มีดปีศาจ ‘เลี่ยนซือ’ (เป็นคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพนักพรตเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการหล่อเลี้ยงชีวิต การหลอมโอสถเป็นต้น) เลือก ข้าเป็นคนสังหารเองกับมือ เพียงแต่ข้าไม่อาจเก็บมันไว้ได้”

แต่ไหนแต่ไรมาปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานก็เป็นคนหยิ่งทระนงในตัวเองอยู่แล้ว สำหรับคนอย่างถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินที่อยู่ในรายชื่อ เขาดูแคลนอย่างยิ่ง ส่วนอีกสิบอันดับล่างที่พวกสอดรู้สอดเห็นเพิ่มขึ้นมาจากสิบอันดับแรก เฉิงหยวนซานเคยป่าวประกาศออกไปว่า คนเหล่านี้มีใครๆๆ บ้างที่สามารถยกชาส่งน้ำให้แก่เขาได้ แล้วก็ใครๆๆ ที่ควรช่วยถอดรองเท้าให้เขา ใครๆๆ ที่สามารถเฝ้าบ้านให้เขา ยอดฝีมือขั้นสูงสุดสิบท่านที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้ากลับไม่มีสักคนที่เข้าตาปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน

แต่วันนี้เขามาพบหลิวจงกลับมีท่าทางเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง หรืออาจถึงขั้นยินดียอมก้มหัวให้ระดับหนึ่ง

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าการเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนี้ เฉิงหยวนซานไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย

หลิวจงยื่นนิ้วเข้าปาก แคะเศษเนื้อที่ติดซอกฟันออกมาดีดทิ้ง “ฝีมือของนักฆ่าคนหนึ่งดีหรือไม่ ต้องดูที่มีดเล่มที่เขาใช้ถนัดมือมากที่สุด แร่หนังคว้านเนื้อเลาะกระดูก สามารถใช้ได้กี่ปี อย่างแย่ที่สุดสองสามปีก็ต้องเปลี่ยนมีดเล่มใหม่ ดีขึ้นมาหน่อยคือเจ็ดแปดปี มีดเล่มนั้นของข้าใช้มาตั้งแต่ตอนที่เริ่มท่องยุทธภพ จนมาถึงวันนี้ก็เกือบสี่สิบปีแล้ว”

หลิวจงหัวเราะร่า “สังหารพวกเจ๋อเซียนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นถึงจะสาแก่ใจ มีดที่ลับมาหลายสิบปี อย่าให้กลายเป็นเคล็ดสังหารมังกรผายลมสุนัขอย่างในตำราอะไรนั่นเลย มาก็ดี มาแล้วก็ดี”

……

บัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่มาสอบในเมืองหลวงยังรอภรรยาคนงามของเขากลับมา เพื่อนาง แม้แต่คำสอนของอริยะที่บอกว่าบุรุษไม่เข้าใกล้ห้องครัว เขาก็ยังยอมละทิ้งไม่สนใจ

พวกเขาพบเจอกันในยุทธภพโดยบังเอิญ แม้ว่านางจะอายุมากกว่าเขาหกปี แต่ยังชอบพูดล้อเล่น บอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่เป็นไร

สามารถดีดผีผาได้ยอดเยี่ยมปานนั้น บทเพลงแห่งสนามรบดีดได้อย่างฮึกเหิม หรือระบายความคับแค้นใจของหญิงสาวในห้องหอก็ยังถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง จะเลวได้ถึงขนาดไหนกัน

มีคนประหลาดคนหนึ่งมาหาเขาที่นี่แล้วเล่าเรื่องของหญิงสาวในยุทธภพคนหนึ่งให้ฟัง

บัณฑิตรู้สึกว่าหากผู้หญิงอย่างที่คนผู้นั้นเล่าให้ฟังมีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นนางก็มีจิตใจชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก

แต่บัณฑิตยังรู้สึกว่านางที่เขารู้จักไม่เหมือนกัน รู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่ดี มีความรู้เฉลียวฉลาด อ่อนโยนมีคุณธรรม แถมยังงดงามถึงเพียงนั้น เขาจะแต่งนางมาเป็นภรรยา อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า

เขากำลังรอนางกลับบ้าน

คิดไว้ว่าเมื่อนางกลับมาจะบอกความในใจเหล่านี้ให้นางฟัง

…..

วัดจินกังคือสือฟางฉงหลิน (คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) อันดับหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดและมีพระสงฆ์มากที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้

ในกระท่อมมุงจากเรียบง่ายหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างเงียบสงบและห่างไกลของวัด ประตูใหญ่เปิดอ้า ในกระท่อมที่ว่างเปล่านอกจากพระสงฆ์รูปหนึ่งและเบาะรองนั่งหนึ่งใบแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก

คุณชายหน้าตาหล่อเหลาร่างผอมเพรียวบางคนหนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยสาวงามสิบกว่าคนดุจดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาว เขาเดินเข้าไปยังกระท่อมหลังเล็กไม่สะดุดตาหลังนี้ช้าๆ อายุของหญิงสาวมีตั้งแต่สิบสามสิบสี่ไปจนถึงสี่สิบกว่าปี ทุกคนล้วนเป็นหญิงงาม หากมีคนของหอจิ้งหย่างอยู่ที่นี่ด้วยก็จะค้นพบว่าในบรรดาหญิงสาวเหล่านี้มีทั้งจอมยุทธ์หญิงเทพธิดาที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า แล้วก็มีสตรีแต่งงานแล้วของตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ซึ่งทุกคนล้วนเป็นโฉมสะคราญของพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น

บริเวณรอบกระท่อมมุงจากมีธงปลายแหลมรายล้อม

คนหนุ่มเหมือนลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่พาสาวงามมาท่องเที่ยว ตลอดทางที่เดินมาก็คอยอธิบายที่มาของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาอย่างคำว่าสือฟาง ฉงหลิน ช่าน่า (ภาษาสันสกฤตคือคำว่า kṣaṇa หมายถึงชั่วขณะ ทันทีทันใด) ธงปลายแหลม ฯลฯ ให้หญิงสาวเหล่านั้นฟัง หญิงสาวส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดที่ดี ไม่ขาดความรู้ความสามารถ บางคนจึงหัวเราะคิกคักพลางชี้ให้เห็นช่องโหว่ในคำอธิบายของคนหนุ่ม เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่บอกว่าธรรมเนียมของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน คำกล่าวของบ้านเกิดเขาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของศาสนาพุทธมากกว่า

ภิกษุเฒ่าที่นั่งทำสมาธิลืมตาขึ้นถามยิ้มๆ “ประสกโจว ในเมื่อได้รับคำยืนยันจากติงอิง มีที่หยัดยืนอย่างมั่นคงแล้ว เหตุใดถึงยังต้องมาที่นี่เล่า?”

คนหนุ่มแซ่โจวยกมือขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้หญิงสาวทั้งหลายติดตามมา เขาเดินเข้าไปในกระท่อมเพียงลำพัง ยิ้มถามว่า “มาขอร่างอรหันต์ทองคำจากไต้ซือให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนั้นของข้า”

เขาขยับเข้าใกล้ธรณีประตูแล้วยกเท้าขึ้น ถามอย่างเกรงใจ “ต้องถอดรองเท้าออกหรือไม่ ข้ากลัวว่าจะทำให้กุฏิที่สะอาดเอี่ยมของไต้ซือสกปรก”

ภิกษุเฒ่าเอ่ยยิ้ม “รองเท้าเปื้อนดินโคลนแล้ว สำหรับในใจประสกโจว จะถอดหรือไม่ถอด ต่างกันด้วยหรือ?”

คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “คนหัวโล้นอยากพวกเจ้า อยู่ที่ไหนก็ชอบพูดจาเหลวไหลแล้วเรียกให้ฟังดูดีว่าเป็นปริศนาธรรมแบบนี้เสมอ ข้าชอบไม่ลงจริงๆ”

เขาชี้ไปยังกระท่อมที่ว่างเปล่า “มองดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เจ้าก็ยังอยู่ในนี้ไม่ใช่หรือ”

ภิกษุชราถอนหายใจ “ประสกโจวเป็นคนฉลาด ไม่ว่าหลักการไหนก็เข้าใจหมด น่าเสียดายก็แต่ตัวเองไม่ยอมกลับใจ”

คนหนุ่มยังคงถอดรองเท้า ก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้วก็นั่งแปะลงบนขอบประตู ยกแขนข้างหนึ่งชี้ไปยังสาวงามที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปซึ่งรออยู่ด้านหลัง “หากพวกนางก็คือพระธรรมที่ข้าปรารถนา พระสงฆ์อย่างเจ้าจะโน้มน้าวข้าอย่างไร?”

ภิกษุชราสีหน้าขมฝาด “ใช้ปริศนาธรรมกับเจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าช่างเหนื่อยจริงๆ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!