เมื่อเทียบกับฟ้าสะท้านดินสะเทือนในการต่อสู้ระหว่างเฉินผิงอันกับลู่ฝ่างก่อนหน้านี้ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โจวซื่อมองดูแล้วก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด
เจ๋อเซียนอย่างเฝิงชิงป๋ายกลับดีกว่าเล็กน้อย เพราะเคยสัมผัสกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในใบถงทวีปมาแล้วบางส่วน
หมัดที่เรียกว่าพลังอำนาจยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาและแม่น้ำอย่างแท้จริงนั้น หนึ่งหมัดต่อยลงบนร่างของคนก็เหมือนโยนหินก้อนมหึมาลงทะเลสาบ ใช้ริ้วกระเพื่อมก่อให้เกิดบาดแผลภายนอกแล้วค่อยกระตุ้นให้เกิดบาดแผลภายใน
จ้งชิวเคยใช้แค่หมัดเดียวก็ต่อยให้ปรมาจารย์เหิงเลี่ยนท่านหนึ่งนอนแบ๊บอยู่บนเตียงนานหลายปี เบื้องใต้อาภรณ์ที่ปกคลุมคือผิวหนังที่เหมือนเครื่องกระเบื้องแตกร้าว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวัยวะภายในร่างกายเลย
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กได้ยินคำพูดของอาจารย์สอนหนังสือคนนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ นางค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้าง เวลานี้นางแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บเลียนแบบการออกหมัดของเฉินผิงอันและจ้งชิวโดยไม่สนใจสิ่งใด
ในที่สุดก็พอจะแบ่งแพ้ชนะเล็กๆ ในครั้งแรกได้แล้ว
เฉินผิงอันถูกศอกแหลมปัดหมัดของตัวเองทิ้ง จากนั้นฝ่ามือของจ้งชิวก็ผลักเข้าที่หน้าอก ร่างของเขาลอยข้ามร่องลึกไปกระแทกลงบนผนังฝั่งตรงข้าม
จ้งชิวเดินก้าวเดียวก็ข้ามผ่านร่องที่เกิดจากกระบี่ของลู่ฝ่างแหวกเปิดไว้
ทว่าเฉินผิงอันกลับไม่ได้มีสภาพล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อย่างสตรีอุ้มผีผาและลู่ฝ่าง เขาสะบัดไหล่ ก้อนหินบนผนังที่หลังกระแทกชนร่วงกราวเสียงดังระนาว เฉินผิงอันกำลังจะลงมือ หมัดที่จ้งชิวปล่อยออกมากลับเปลี่ยนเป็นรวดเร็วอย่างถึงที่สุด หนึ่งหมัดมาถึงก็ตามมาอีกหลายหมัดติดๆ กัน เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็มากถึงสิบหมัด
ซ้ายหกหมัด ขวาสี่หมัด
นี่คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่จ้งชิวเลียนแบบเฉินผิงอัน แม้แต่ลำดับการออกหมัดซ้ายขวาก็ยังเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากปล่อยหมัดมาสิบหมัดแล้ว กำแพงสูงยังคงไม่ทลายออก และเฉินผิงอันก็ยังถูกกักอยู่ในกำแพงแห่งนั้น
ทว่าเฉินผิงอันก็ไม่อยู่นิ่งเฉยรอความตาย เขาคุ้นเคยกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายิ่งนัก และเมื่อได้ประมือกับจ้งชิวมาช่วงระยะเวลาหนึ่งก็พอจะคาดเดาวิธีออกหมัดของอีกฝ่ายได้แล้ว ดังนั้นสิบหมัดนี้ของจ้งชิวจึงมีสี่หมัดที่เขาสกัดขวางเอาไว้ได้
แต่หกหมัดที่เหลือก็กระแทกลงบนร่างของเขาเต็มๆ เลือดสดไหลออกมาจากริมฝีปากของเฉินผิงอัน โดยเฉพาะหมัดสุดท้ายที่ต่อยจนร่างของเฉินผิงอันกระตุกเฮือก
จ้งชิวที่ต่อให้จะใช้กระบวนท่าหมัดเลียนแบบคนอื่นเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังออกหมัดได้อย่างเยือกเย็น มีระบบระเบียบ ทว่าวินาทีที่เขาคิดจะปล่อยสิบหมัดออกไปอีกชุดนั้นเอง เขากลับถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าวทันที ถอยแล้วก็ถอยอีก พุ่งตัวข้ามผ่านร่องลึกออกไป ที่แท้ในช่วงเวลาที่มองดูเหมือนเฉินผิงอันจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง ร่างดีดกระตุกน้อยๆ อยู่บนกำแพง วินาทีนั้นจ้งชิวกลับขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว หัวใจบีบรัดแน่น ไม่ต้องคิดให้มากความก็เป็นฝ่ายละทิ้งสถานการณ์ได้เปรียบนี้ แล้วเลือกหยุดมือถอยห่างด้วยตัวเอง
สัญญาณระวังภัยในใจของจ้งชิวร้องเตือนรุนแรงผิดปกติ เขาดูถูกความสามารถในการทนรับความยากลำบากของคนหนุ่มผู้นี้เกินไป เกือบจะหลงกลอีกฝ่ายซะแล้ว
เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ขาดเพียงแค่เสี้ยวเดียวก็จะสามารถปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปได้สำเร็จแล้ว
ดังนั้นก็เท่ากับว่าเขากินสิบหมัดที่เป็นของลอกเลียนแบบของจ้งชิวอย่างเสียเปล่า
หลังจากเฉินผิงอันพลิ้วกายลงมาแล้วก็เดินช้าๆ ไปทางร่องลึกเส้นนั้น
จ้งชิวหลุดหัวเราะพรืด
ข้าเลียนแบบท่าหมัดของเจ้า เจ้าเลยเลียนแบบท่าเดินของข้า?
แต่แล้วจ้งชิวก็หรี่ตาลง
กระบวนท่าหมัดยิ่งใหญ่ที่เขาบรรลุมานี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวิธีการออกหมัด แต่เป็นการฝึกฝนให้แผ่นหลังเหมือนขุนเขา ไหล่เหมือนเมฆคล้อยน้ำไหล ไล่มาถึงศอกที่แหลมเหมือนจงอยปากอินทรี สุดท้ายค่อยมาถึงมือและหมัด ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง สำเร็จหนึ่งกระบวนท่าในรวดเดียว หากกระบวนท่านี้ถูกตั้งขึ้นมาแล้วฝึกฝนอย่างต่อเนื่องก็จะเหมือนขุนเขาใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงไปในแผ่นดิน ไม่ว่าหนึ่งหมัดหรือหนึ่งกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามจะร้ายกาจดุดันมากแค่ไหนก็ล้วนต้องเผชิญกับจิงชี่เสินอันแกร่งกร้าวของจ้งชิวอยู่ตลอดเวลา
กระบวนท่าหมัดอันเป็นที่ภาคภูมิใจซึ่งจ้งชิวตั้งชื่อให้ว่า ‘ยอดเขา’ นี้ ต่อให้ปรมาจารย์ใหญ่วิชาหมัดนอกอย่างเซวียยวนเทพแปดกรเบิกตากว้างแอบดูอยู่ข้างๆ มองแล้วมองอีก เกรงว่าก็คงไม่สามารถมองแก่นแท้ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในออกอย่างแท้จริง หากไม่ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังเป็นเวลาหลายปี แค่จะเลียนแบบให้คล้ายก็ยังยาก!
ทว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับมีจิตวิญญาณแห่งกระบวนท่าหมัดของตนแล้วหลายส่วน
คนทั้งสองยืนคุมเชิงกันอีกครั้งโดยมีร่องลึกกั้นขวาง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เป็นฝ่ายเปิดปากพูดระหว่างการต่อสู้อย่างที่หาได้ยาก “ท่าหมัดนี้ของเจ้ามีชื่อหรือไม่?”
จ้งชิวพยักหน้ารับตอบด้วยรอยยิ้ม “ชื่อว่ายอดเขา หลายปีก่อนตอนที่บรรลุมัน เป็นช่วงที่ยังหนุ่มและเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา รู้สึกว่าหากฝึกต่อไปต้องสามารถยืนอยู่บนยอดเขาของโลกมนุษย์ได้แน่นอน ภายหลังก็คร้านที่จะแก้ไขแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสิบคน คนส่วนใหญ่ฝึกกระบวนท่านี้ยี่สิบสามสิบปีก็ยังไม่มีใครที่แค่มองไม่กี่ครั้งก็เกิดความชำนาญได้เหมือนเจ้า ไม่เสียแรงที่เป็นเจ๋อเซียน”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตำราหมัดที่ข้าฝึกช่วงแรกเริ่มสุดมีชื่อว่าหมัดเขย่าขุนเขา”
จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “เป็นหมัดของข้าที่สูงเหนือหมู่ภูผา หรือเป็นหมัดของเจ้าที่สามารถเขย่าคลอนขุนเขากันแน่ มาลองดูไหม?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!