ทิ้งให้เฉินผิงอันอยู่ริมขอบบ่อใหญ่เพียงลำพัง ทั้งไม่ได้บอกเฉินผิงอันว่าควรจะออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างไร แล้วก็ไม่ได้บอกว่าการพิศมรรคา (กวานเต๋า ชื่อเดียวกับอารามกวานเต๋าที่เฉินผิงอันตามหา) ในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ส่วนอะไรคือโชควาสนาของการบินทะยาน อะไรคือสิบคนในใต้หล้า นักพรตเฒ่าก็ยิ่งไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
ทว่าถึงแม้การจากไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุของนักพรตเฒ่าจะทิ้งเรื่องเละเทะกองใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันเก็บกวาด แต่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เส้นเอ็นหัวใจที่ขึงตึงใกล้จะดีดขาดเต็มทีเส้นนั้นคลายตัวลง เขาเดินโซซัดโซเซอยู่หลายก้าว สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงทิ้งตัวนอนหงายลงไปบนพื้นเสียเลย
ไม่มีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นคอยประคับประคองตัว อาการบาดเจ็บที่ถูกจิตหยินของติงอิงใช้หนึ่งกระบี่แทงทะลุลงไปยังใต้ดินก่อนหน้านี้จึงระเบิดออกมา เฉินผิงอันคล้ายคนที่นอนจมกลางกองเลือดแล้วมีเลือดสดไหลนองไม่ขาดสาย
ทว่าเฉินผิงอันกลับหัวเราะ หัวเราะอย่างสาแก่ใจ
มีชูอีสืออู่อยู่ข้างกาย ติงอิงก็ตายไปแล้ว รอบด้านไม่มีใคร เฉินผิงอันใช้เรี่ยวแรงเสี้ยวสุดท้ายอย่างสิ้นเปลืองโดยการปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา เอามันวางไว้บนริมฝีปากด้วยมืออันสั่นเทา ฝืนกระดกเหล้าลงคอหนึ่งอึก ต่อให้หนี้มากแค่ไหนก็ไม่ท่วมทับตัวตาย ความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็แค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าหากในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ดื่มเหล้า ช่างน่าเสียดายนัก
เฉินผิงอันไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนชุดอาคมจินหลี่ ไข่มุกใหญ่สีขาวหิมะที่อยู่ระหว่างกรงเล็บมังกรสีทองที่ขดตัวอยู่ตรงหน้าอกถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวที่เป็นสายฟ้าเข้มข้น และไข่มุกขนาดเล็กใต้กรงเล็บ ใต้คางของมังกรสีทองตัวน้อยสองตัวที่อยู่บนไหล่ก็มีสายฟ้าหลายเส้นล้อมเวียนวนอยู่เช่นกัน
เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของจินหลี่ เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ประหลาดราวฟ้าดินพลิกคว่ำที่เกิดกับร่างกายของเฉินผิงอันแล้วกลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง
นี่เป็นการถอดรกเปลี่ยนกระดูกใหม่อย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ตอนที่แช่ตัวอยู่ในบ่อสายฟ้า โครงกระดูกเบื้องใต้เนื้อหนังของเฉินผิงอันมีประกายแสงแวววาวดุจแสงหยกแสงทองเกิดขึ้นมาหลายส่วน นี่ก็คือสัญญาณของการเกิด ‘กิ่งทองใบหยก’ ของผู้ฝึกตน
รากฐานลึกล้ำคือวิถีของความเป็นอมตะ
เฉินผิงอันมึนงงสะลึมสะลือ
ฝันไปคล้ายคนกึ่งหลับกึ่งตื่น
ในฝันมีคนชี้ไปยังแม่น้ำสายหนึ่งที่น้ำไหลบ่า ถามเฉินผิงอันว่าจะข้ามไปหรือไม่
คนผู้นั้นถามเองตอบเอง บอกว่าหากเจ้าเฉินผิงอันต้องการข้ามแม่น้ำโดยที่ไม่ถูกมหามรรคาพันธนาการก็ต้องมีสะพานแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นจึงจะข้ามไปได้เอง
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงทำเพียงแค่นั่งยองเกาหัวอยู่ริมแม่น้ำ
จิตดั้งเดิมอยู่ตรงนี้ ไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำได้
คนผู้นั้นจึงบอกว่าบังเอิญซะจริง เจ้าเฉินผิงอันไม่ได้เรียนรู้หลักการของอริยะปราชญ์บางคนหรอกหรือ? หรือว่ารู้หนังสือรู้หลักมารยาทแล้ว เจ้าเฉินผิงอันจะเอาแต่เก็บกลั้นหลักการเหล่านั้นไว้ในท้อง ไม่ว่าจะเวลาไหน กับใครหรือกับเรื่องอะไรก็มีเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น?
เฉินผิงอันบ่นอย่างไม่คิดจะปิดบัง “เรียนหลักการแล้วเกี่ยวอะไรกับสะพานด้วย?”
คนผู้นั้นไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่บอกว่าต้องทำยังไง “จินตนาการภาพสะพานแห่งหนึ่งขึ้นมาในใจของเจ้า จะเป็นสะพานแห่งไหนก็ได้ เจ้าอายุยังไม่มาก ทว่าสถานที่ที่เคยเดินทางผ่านกลับไม่น้อยแล้ว วางใจเถอะ ขอแค่เป็นสะพานแห่งหนึ่งก็พอ ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมากนัก ต่อให้เป็นสะพานในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็ไม่มีปัญหา ตอนที่จินตนาการถึงไม่ต้องพันธนาการความคิดใดๆ แม้จิตจะเตลิดดั่งม้าพยศดั่งลิงซุกซนก็ไม่ต้องกลัว ขอแค่เปิดจิตให้กว้างแล้วคิดไป คิดได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี สิ่งที่ต้องการคือความคิดที่โลดแล่น จินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด”
เฉินผิงอันที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ริมแม่น้ำของสถานที่ใด ‘หลับตา’ ลง
อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงสะพานโค้งสีทองกลางทะเลเมฆที่ยาวเหยียดจนราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนั้น
เฉินผิงอันมองไม่เห็นนักพรตเฒ่าคนนั้น ไม่ว่าเขาจะตามหาอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางพบร่องรอยของนักพรตเฒ่า
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่มีทางมองเห็นว่า พอนักพรตเฒ่ามองเห็นไอเมฆที่ลอยล่องอยู่เหนือสะพานยาว เขามีสีหน้าแปลกประหลาดแค่ไหน ยิ่งไม่มีทางได้ยินผู้เฒ่าสบถด่าเฉินชิงตูที่หาปัญหามาให้ตน ด่าซิ่วไฉเฒ่าว่าไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน สุดท้ายชื่นชมสายตาและความกล้าหาญของเด็กรุ่นหลัง รวมไปถึงหวนระลึกถึงภูเขาและแม่น้ำ ‘คนรู้จักเก่าแก่’ ที่ไม่ถือว่าเป็นคน
เฉินผิงอันเบิกตากว้างก็มองเห็นว่าข้างฝ่าเท้าของตัวเอง และฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำสายยาวพอจะมองเห็นเค้าโครงของสะพานโค้งสีทองแห่งหนึ่งได้เลือนราง เพียงแต่ว่ามันล่องลอยส่ายไหว ไม่มั่นคง
ในมือเขามีตำราเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ด้านบนเขียนว่าเป็นบทความแห่งศีลธรรมของผู้เฒ่าบางคน บันทึกทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอริยะขงจื้อท่านหนึ่งที่ไม่เคยมีปรากฏในโลก
ทุกตัวอักษรล้วนพากันหลุดออกมาจากในตำรา ส่องแสงสีทองระยิบระยับ ลอยล่องไปหาสะพานโค้งสีทองที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของเฉินผิงอัน
อักษรหนึ่งตัวเหมือนอิฐหนึ่งก้อน
น่าเสียดายที่ในตำรายังมีตัวอักษรเกือบครึ่งที่คล้ายดื้อดึง โดยเฉพาะในหน้าหนังสือช่วงกลางถึงช่วงท้ายที่อักษรทุกตัวล้วนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
ไม่ว่าจะอย่างไร สะพานยาวสีทองเหนือแม่น้ำก็เหมือนถูกคนใช้จิงชี่เสินประคับประคองก่อสร้างในรวดเดียว และในที่สุดก็มั่นคงแข็งแรง
แต่ยังอยู่ห่างจากการสร้างสำเร็จจนเฉินผิงอันสามารถใช้เดินข้ามแม่น้ำได้อีกเล็กน้อย และยังขาดเลือดเนื้ออยู่อีกมาก
ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่หากมีแค่จิตวิญญาณ แต่ไม่มีกายหยาบ นั่นก็คือโครงกระดูกขาว คือผีเร่ร่อนที่ไม่อาจเห็นแสงตะวัน ไม่อาจเข้ามาในโลกของคนเป็นได้
อีกอย่างก็คือระดับความยาวและความยิ่งใหญ่ของสะพานอยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลโข ดังนั้นตัวอักษรในตำราเล่มนี้ถึงไม่พอให้เอามาใช้
นักพรตเฒ่าพูดสั่ง “ลองขึ้นไปเดินดู ดูสิว่าจะพังลงมาหรือไม่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ตอบไปตามความรู้สึก “ย่อมต้องพังแน่นอน”
นักพรตเฒ่าไม่ได้กังขาในคำตอบของเฉินผิงอัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ตนสร้างขึ้นแห่งนี้
จากนั้นก็ ไม่มีจากนั้นแล้ว
ข้างหลุมใหญ่ เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นนั่ง ไหนเลยจะยังมีแม่น้ำยาว ยิ่งไม่มีนักพรตเฒ่าคนนั้น
ฟ้าดินมีเพียงความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่
ข้างกายมีกระบี่บินสองเล่ม ชูอีและสืออู่
แม้จะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน แต่ติดตามเฉินผิงอันเดินทางไกลมาตลอดทาง อยู่ร่วมกันมานานวัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน จิตจึงสื่อถึงกันได้นานแล้ว
กระบี่เล่มหนึ่งเงียบงัน อีกเล่มหนึ่งรู้สึกผิด
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้เรียบร้อยแล้วก็ยื่นสองมือออกไปตบกระบี่บินสองเล่มเบาๆ พูดปลอบใจว่า “พวกเราสามคนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว อีกอย่าง คราวหน้าพวกเราไม่มีทางได้รับความอยุติธรรมขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่ได้พวกเจ้าช่วยสกัดขวางไว้ ข้าก็คงไม่มีทางอดทนได้ถึงนาทีที่จิตวิญญาณออกจากร่าง…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!