เฉินผิงอันถาม “หนังสือพวกนั้นล่ะ?”
เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่รู้”
เหมือนกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อ นางจึงพูดด้วยสีหน้าของคนได้รับความอยุติธรรม “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าต่อสู้กับพวกคนชั่วดุเดือดขนาดนั้น อีกทั้งตอนนั้นยังมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกจากตรอกขึ้นมาบนถนนใหญ่ ข้าหรือจะกล้าเข้าไปในตรอกอีก ได้แต่นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด ภายหลังไม่พบเจ้า รอแล้วเจ้าก็ไม่กลับมาเสียที ข้ากลัวว่าคนชั่วจะเจอตัวเลยรีบหนีไป”
เฉินผิงอันโบกมือบอกนางให้รู้ว่าไปได้แล้ว เขาไม่อยากเห็นหน้าเด็กหญิงที่มีกลอุบายล้ำลึกผู้นี้อีก
เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้ากินข้าวอิ่มก่อนค่อยไปได้ไหม?”
ที่แท้เป็นเพราะนางได้กลิ่นหอมของอาหาร
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง พอเดินเข้าประตูบ้านมาก็ลั่นดาลลงกลอน แล้วก็เห็นว่าเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กชายทั้งฉลาดและกตัญญู แม้ว่าจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อน แต่ก็เคยเห็นมารดาทำอาหารอยู่หลายครั้ง รอจนเขาต้องทำเอง อาหารที่ทำออกมาไม่มีทางอร่อยเลิศล้ำ แต่ย่อมกินได้
สองวันมานี้ล้วนเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำกับข้าวกินเองตลอด
เฉินผิงอันไม่เคยมาร่วมกินด้วย ทุกครั้งเวลาที่เฉาฉิงหล่างเข้าครัว เขาก็มักจะเป็นฝ่ายออกไปจากบ้าน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทุกครั้งเวลาที่กลับมา เด็กชายก็จะกินข้าวอิ่มและเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาก็กลับไปที่ห้องตัวเอง มีบางครั้งที่ออกมารับลมเย็นตอนกลางคืน เฉาฉิงหล่างถึงจะออกมานั่งด้วยพักหนึ่ง แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เฉาฉิงหล่างที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกินอาหารช้ามาก อีกทั้งตรงข้ามกับเขายังวางชามและตะเกียบเพิ่มไว้ชุดหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องเบาๆ พอนั่งลงแล้วก็เคี้ยวอาหารอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงใดๆ
เสียงตุ้บดังมาจากในลานบ้าน
เด็กหญิงร่างผอมแห้งลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามตัว ค่อยๆ เดินย่องมาถึงนอกห้อง นางไม่กล้าเข้ามา ได้แต่นั่งยองอยู่ตรงนั้น ยืดคอมองอาหารบนโต๊ะ
เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็ไปตักข้าวจากในห้องครัวมาให้นางถ้วยหนึ่ง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้วยื่นชามและตะเกียบส่งให้ “กินด้วยกันเถอะ”
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง มองหน้านาง
นางน้ำตาคลอเจียนจะหยด วางชามและตะเกียบลง ไม่กล้าขยับ
เฉาฉิงหล่างจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่เป็นไรหรอก กินเถอะ”
นางยังคงมองเฉินผิงอันตาไม่กะพริบ เฉินผิงอันหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากมองนาง
นางถึงได้เริ่มก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว มีบางครั้งที่ยื่นตะเกียบมาคีบกับข้าว ทำราวกับโจรขโมยอาหารอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่คนทั้งสามกินอิ่มแล้ว เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นเก็บโต๊ะ เด็กหญิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะแสร้งทำท่าช่วยเขาเก็บจานชาม
คนวัยเดียวกันสองคนถือถ้วยชามเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน นางมองมาทางลานบ้าน เห็นว่าเจ้าหมอนั่นไม่อยู่จึงบ่นขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใส่น้ำมันบ้างเลย แถมยังเค็มขนาดนั้น สรุปว่าเจ้าทำกับข้าวเป็นไหม?! โตขนาดนี้แล้ว หัดทำตัวให้ได้เรื่องมั่งไม่ได้หรือไง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงจนพูดไม่ออก แต่พอเห็นท่าทางไม่ยอมเลิกราของนาง เขาจึงได้แต่พูดว่า “คราวหน้าข้าจะระวัง”
ผลคือเฉินผิงอันมาโผล่ตรงหน้าประตูห้องครัวกะทันหัน เด็กหญิงผอมแห้งหุบปากฉับ ขณะที่เตรียมจะหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเฉินผิงอัน กลับเห็นว่าเขากวักมือเรียก อีกทั้งสายตายังคมกริบ
นางจึงได้แต่เดินไหล่ลู่คอตกเข้าไปหา แล้วก็ถูกเฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ มือหนึ่งของเขาเปิดประตูบ้าน มืออีกข้างหนึ่งวางนางไว้ข้างนอก ก่อนจะปิดประตูได้ทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ว่า “หากยังกล้าปีนกำแพงเข้ามาอีก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปนอกเมือง”
ค่ำคืนนี้เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา เฉาฉิงหล่างออกมาตากลมเย็นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากนอกลานบ้าน
เขาเปิดประตูออกไป เห็นนางนั่งยองอยู่บนพื้น กำลังเงยหน้า ยกสองแขนกอดอก ยิ้มตาหยีพูดว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ตรอกข้างนอกนี่เย็นกว่าเยอะเลย”
เฉาฉิงหล่างยกสองมือเกาหัว เขากลัวคนผู้นี้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมุ่น บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไปไกล มองเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์มีชายพกมีดคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำ บุคลิกลักษณะสง่างาม มือหนึ่งถือกาเหล้า ส่งยิ้มบางๆ มาให้เฉินผิงอัน เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร เขาจึงดีดปลายเท้าพลิ้วกายมาทางเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสที่เฉาฉิงหล่างยังอยู่ข้างนอก ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพแห่งแคว้นเป่ยจิ้นผู้ยิ่งใหญ่ถูกพายุหมัดที่ไร้เสียงกระแทกเข้าที่หน้าอก ร่างปลิวกระเด็นออกไปตกยังหลังคาบ้านหลังเดิมที่เคยยืนอยู่
พละกำลังของพายุหมัดถูกกะประมาณได้อย่างดีเยี่ยม เดิมทีถังเถี่ยอี้ก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในใต้หล้าอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
แต่ถังเถี่ยอี้ไม่เพียงแต่ไม่อับอายจนพานเป็นความโกรธ กลับกันยังยิ้มขออภัยเฉินผิงอัน ราวกับกำลังพูดว่ารบกวนแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกละอายใจกับการมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญของตัวเอง แล้วถังเถี่ยอี้ที่พกมีดเลี่ยนซือก็หมุนกายพุ่งทะยานจากไปทั้งอย่างนี้
สำหรับคนผู้นี้ เฉินผิงอันไม่มีความทรงจำที่ลึกซึ้งนัก แล้วก็ไม่ยินดีจะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกกับเฉาฉิงหล่างว่าไม่ต้องรอให้เขากลับมา จากนั้นตัวเองเดินออกไปนอกตรอก มุ่งหน้าไปยังตรอกจ้วงหยวน
เหล้าในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หมดพอดี ออกไปสักรอบก็ดีเหมือนกัน
ดึกดื่นครึ่งคืน ในเหลาสุราที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวนยังคงมีโคมหลากสีแขวนไว้สูง แต่มีลูกค้าแค่โต๊ะเดียว
ถือเป็นการเลี้ยงฉลองของคนในครอบครัว เพราะพ่อครัวที่ทำอาหารลูกค้าก็พามาจากบ้านตัวเอง
ชายสามหญิงสาม
ไม่เพียงแต่หอสุราแห่งนี้เท่านั้น ตลอดทั้งตรอกจ้วงหยวนล้วนถูกป้องกันอย่างเข้มงวด นอกจากทหารเดินเท้าลาดตระเวนที่สวมเสื้อเกราะแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือที่ปิดบังชื่อแซ่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่อีกไม่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบนอันดับรายชื่อ ไม่ว่าใครที่คิดจะลอบสังหาร เกรงว่าคงไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตาของคนเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
คนหกคนนี้แบ่งออกเป็นเว่ยเหลียงฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ฮองเฮาโจวซูเจิน เว่ยเหยี่ยนองค์รัชทายาท และยังมีองค์ชายรองกับองค์หญิงที่อายุน้อยที่สุด
นอกจากนี้ก็คือหวงถิง นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่ายแต่สง่างาม อดีตฝานกว่านเอ่อร์และถงชิงชิง
องค์หญิงสาวน้อยได้รับสืบทอดหน้าตามาจากบิดามารดา คือตัวอ่อนสาวงามที่หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อนางนั่งอยู่ข้างนักพรตหญิงกลับยังรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นางที่เดิมทีร่าเริงสดใส วันนี้กลับไม่กล้าพูดมาก คอยอิงแอบแนบชิดอยู่ข้างกายโจวซูเจินผู้เป็นมารดาแท้ๆ อยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกเคารพเลื่อมใสนักพรตหญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาผู้นี้อย่างมากที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อของนางกลับยังมีมาดของยุทธภพได้ยิ่งกว่า…ราชครูจ้งชิวเสียอีก!
หลายปีมานี้นางเก็บสะสมหนังสือต้องห้ามเอาไว้มากมาย แม้แต่พี่ชายทั้งสองคนก็ยังต้านทานการอ้อนวอนของนางไม่ไหว ต้องซื้อนิยายที่เล่าเรื่องประหลาดหลากหลายชนิดจากในหมู่ชาวบ้านมาให้นาง
ยุทธภพคืออะไร? ยุทธภพที่นางวาดฝันคือค่ำคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง มีจอมยุทธ์ชายหญิงซึ่งเป็นคู่รักเทพเซียนบุกเข้าไปในรังของคนชั่วที่ทำให้คนในยุทธภพอกสั่นขวัญผวา เมื่อฟ้าเริ่มเป็นสีขาวราวกับพุงปลา พวกมารร้ายและโจรชั่วทั้งหลายก็ล้วนถูกตัดหัว ชายหญิงคู่นั้นส่งยิ้มให้กัน สุดท้ายควบม้าจากไปเพื่อท่องยุทธภพต่ออีกครั้ง
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ด้านนอกมีอวี๋เจินอี้ ด้านในมีเฉินผิงอัน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
คำตอบของหวงถิงไม่ค่อยเกรงใจนัก “อันที่จริงต่อให้ทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เป็นไร คนหนึ่งมีจิตแห่งการฝึกตนที่แข็งแกร่งผิดปกติ อีกคนหนึ่งไม่ให้ความสนใจพวกเจ้าเลยสักนิด เพียงแต่ว่าพวกเจ้าที่เป็นฮ่องเต้ล้วนชอบถ้อยคำทำนองว่า ‘จะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงตัวเองได้อย่างไร’ ในใจเจ้ารู้สึกไม่ดี ข้อนี้ข้าเข้าใจได้ บวกกับที่ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้าอวี๋เจินอี้นัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองสู้กับเขาสักตั้งให้รู้แล้วรู้รอดไป”
คำพูดประโยคถัดมาของหวงถิงยิ่งกำเริบเสิบสาน “ข้ารับรองว่าจะออกแรงประมือกับอวี๋เจินอี้อย่างเต็มที่ หากข้าแพ้ แล้วกองทัพใหญ่ของแคว้นหนันเยวี่ยนยังไม่สามารถรั้งตัวอวี๋เจินอี้เอาไว้ได้ ยังปล่อยให้เขาบุกเข้าไปในวังหลวง สังหารพวกเจ้าทุกคน ถ้าอย่างนั้นก่อนจะบินทะยาน ข้าก็คงได้แต่ช่วยพวกเจ้าแก้แค้นเท่านั้น”
เว่ยเหลียงส่ายหน้า ดื่มเหล้าดับทุกข์
อันที่จริงคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดคือฮองเฮาโจวซูเจิน ศิษย์น้องหญิงกลายมาเป็นอาจารย์ แล้วก็กลายมาเป็นหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงอีกที
คนที่ผิดหวังที่สุด เกรงว่าคงเป็นรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!