ในบ้านไม่มีคน
ไม่มีหญิงชราปากร้ายขี้บ่น แน่นอนว่าย่อมไม่มีเสียงสบถด่าฟ้าด่าดินของนาง ไม่มีคนปากร้ายดั่งมีด แต่จิตใจอ่อนเหลวดั่งเต้าหู้ ไม่มีสตรีแต่งงานแล้วที่มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่กลับขโมยหนังสือไปให้ลูกชายอ่าน สายตาที่นางมองลูกชายตัวเองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอ ไม่มีชายชราที่ติดเล่นหมากล้อม แล้วก็ไม่มีชายฉกรรจ์ที่แบกห่อผ้าออกไปเสี่ยงดวงข้างนอก เช้าตรู่ของทุกวัน ก่อนออกจากบ้านเขาจะค่อยๆ เดินย่องออกไป คาดว่าคงกลัวจะทำเสียงดังรบกวนบุตรชายที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
เฉินผิงอันยืนอยู่ในลานบ้านครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง เอาปราณยาวสอดกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะ หนังสือบนโต๊ะไม่เหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันนั่งยองลงบนพื้น เอาฝ่ามือแนบกับพื้นดิน หลับตาลง พยายามตามหาร่องรอย กระบี่บินสืออู่และชูอีบินพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แนบตัวติดกับพื้นดินแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายทิ่มปลายกระบี่ลงบนตำแหน่งหนึ่งของพื้นดิน
เฉินผิงอันรีบใช้สองมือขุดเปิดหน้าดินทันที ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ห้านิ้วของเขาจึงเรียกว่าตัดเหล็กดุจโคลนได้แล้ว
ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิวอยู่บนถนนใหญ่ เขาได้เลื่อนสู่ขอบเขตห้า หลังจากนั้นก็ได้สู้กับติงอิง การนำหินลับมีดสองก้อนนี้มาใช้ขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการประลองฝีมือกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสภาพจิตใจก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าเก่าเยอะมาก โดยเฉพาะหลังจากต่อสู้กับติงอิงตั้งแต่ที่หัวกำแพงไปจนถึงภูเขากู่หนิว ศึกตัดสินเป็นตายที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของวิถีวรยุทธ์และชะตาบู๊แห่ง ‘ใต้หล้า’ นี้ ต่อให้มองจากสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีแต่ความชื่นชม เขาคงพูดว่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดเก้าก็ไม่แน่ว่าจะมีพลังอำนาจเช่นนี้
ครู่หนึ่งต่อมาในหลุมใหญ่ที่สูงเกือบเท่าตัวคนหลุมหนึ่ง เฉินผิงอันใช้สองมือกอบประคองคนจิ๋วดอกบัวที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมา กระโดดออกจากหลุมใหญ่ วางมันลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างออกก่อนเอามันมาห่อเป็นก้อนคล้ายรังต้นหญ้า แล้ววางเจ้าตัวน้อยลงไปในชุดคลุมอาคม
หลังจากนั้นก็รีบหยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เมื่อเทียบกับเงินหิมะน้อยที่ปราณวิญญาณบางเบา และเงินร้อนน้อยที่แค่ใช้มือจับก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณไหลเวียนวนแล้ว ปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินฝนธัญพืชมีมากที่สุด เพราะเหมือนถูกผนึกเป็นน้ำแข็ง เฉินผิงอันกำเหรียญเงินที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันนี้ไว้กลางฝ่ามือ บีบหนึ่งครั้ง เงินฝนธัญพืชก็ระเบิดแตก เฉินผิงอันคลายมือออกเล็กน้อย โปรยมันลงไปบนร่างของคนจิ๋วดอกบัว
ส่วนเรื่องที่ว่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญสามารถซื้อภูตประหลาดมากมายมาจากร้านตระกูลเซียน อย่างน้อยก็ต้องเป็นภูตที่แม้แต่ในจวนตระกูลอ๋องหรือตระกูลของผู้สูงศักดิ์ก็ยังหาได้ยาก เฉินผิงอันไม่ได้เป็นนกน้อยที่เพิ่งหัดบินในยุทธภพอีกแล้ว ไม่ใช่ศิษย์เตาเผามังกรในตรอกหนีผิงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดเจนดี
เฉินผิงอันรู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้ำสวรรค์หลีจู ราชวงศ์ต้าหลี แจกันสมบัติทวีป กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใบถงทวีป พื้นที่มงคลดอกบัว
เฉินผิงอันจับตามองคนจิ๋วดอกบัวอย่างละเอียด ปราณวิญญาณที่ไหลไปทั่วร่างคล้ายน้ำพุที่ไหลแทรกซึมเข้าสู่ผืนนาที่ดินแตกระแหงอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันเริ่มวางใจลงได้ ขอแค่ยังสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้ก็แสดงว่ายังมีทางเยียวยารักษา จึงยื่นนิ้วโป้งไปลูบหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของเจ้าตัวน้อยเบาๆ
ปลอบโยนคนจิ๋วดอกบัวเสร็จก็กลบดินลงหลุมให้เรียบร้อย เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กใต้ชายคา ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาแกว่ง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า
หลังจากถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่แล้ว เฉินผิงอันก็สลายกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นบนตัวออกไป ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับติงอิงมีแต่บาดแผลเต็มตัว และก็เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ถูกปราณวิญญาณมากมายราวน้ำทะเลกรอกใส่ร่าง พวกมันฉวยโอกาสไหลกรูเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ในร่างของเฉินผิงอัน เวลานี้ลมปราณเหล่านั้นนอนขดตัวอยู่ในช่องโพรงลมปราณทั้งหลายคล้ายกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่การปกครองแบบแบ่งแยกดินแดน เพราะไม่ลามไปรุกรานเส้นทางที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ต้องผ่าน ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้จึงเหมือนสถานที่นอกด่าน ก่อตัวกลายเป็น ‘เมืองชายแดน’ ที่ต่างคนต่างถูกบีบให้อยู่ในสถานที่แคบๆ ส่วนใหญ่ล้วนกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ดังนั้นจึงไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร
เฉินผิงอันไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือร้าย แต่ตอนนี้เขายังไม่มีวิธีจะแก้ไขมันได้จริงๆ
ควรจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนั้นขึ้นมาอย่างไร และการไปจากใต้หล้าแห่งนี้ จึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้
อารามกวานเต๋าไม่ใช่อารามเต๋าอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นว่านักพรตเฒ่าไปที่ไหน ที่นั่นก็คืออารามเต๋า นี่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงไม่บอกตนแต่เนิ่นๆ
ทว่าลองมาย้อนนึกดู ตอนนั้นที่เข้ามาในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน วันๆ เดินสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนแมลงวันไร้หัว เมื่อจิตใจวุ่นวายสับสนไปแล้ว เขาก็เลือกทำใจให้สงบแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย นั่นเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างออกไป ได้พบเห็นผู้คนสารพัดรูปแบบ มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่มันทำให้เฉินผิงอันนึกถึงชีวิตตอนเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร เงินที่ทำงานแลกมาไม่มากพอให้ใช้มือเติบ แต่ก็มากพอจะเลี้ยงดูตัวเองให้มีชีวิตรอดต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นหิวตาย ดังนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันมีเสื้อผ้าพอให้ใส่ มีอาหารพอให้กินอิ่ม ก็คงเป็นเพราะมีความรู้สึกเช่นนี้ ทุกครั้งที่ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาไปเก็บดิน ต่อให้จะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เดินทางบนภูเขาอย่างยากลำบาก ทุกวันเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ทว่าใจกลับไม่เหนื่อย ล้มตัวลงได้ก็หลับทันที
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกมาจากอำเภอหลงเฉวียน คุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อ ต่อมาก็บุกเข้ามาในใต้หล้าแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
เคยมีครั้งไหนที่นอนหลับสบายบ้าง?
ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งเฉินผิงอันจะลุกขึ้นไปดูอาการของคนจิ๋วดอกบัวในห้อง แม้ว่าพัฒนาการจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่กลับค่อยๆ ฟื้นตัวหายดีทีละนิด นี่ถึงทำให้เขาวางใจลงได้อย่างแท้จริง
การจากเป็นจากตายที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้อาศัยเหล้าดับทุกข์ได้ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่คืนสติจากฤทธิ์สุรา
ในห้องสามารถวางใจลงได้แล้ว แต่นอกห้องล่ะ?
เฉินผิงอันนั่งก้มตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก รอคอยให้เด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่างกลับมาบ้าน
นับแต่วันนี้ไป บ้านในตรอกเล็กที่ไม่มีชื่อแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากบ้านหลังน้อยในตรอกหนีผิงปีนั้นแล้ว
ช่วงสนธยา เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เด็กน้อยคนหนึ่งเดินอยู่ในตรอกเล็ก ประตูบ้านไม่ได้ปิดไว้ พอเขามองเห็นเฉินผิงอันสีหน้าก็ทึ่มทื่อ ก่อนจะก้มหน้าลง เฉาฉิงหล่างเดินเข้าห้องของตัวเองไปอย่างเงียบงันและเฉยเมย
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร กลับลงไปนั่งบนม้านั่งอีกครั้ง จนกระทั่งถึงช่วงกลางดึก ในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ ต่อให้ตอนดึกจะมีลมโชยมาปะทะใบหน้า แต่ก็ยังไม่ถือว่าเย็นสบายอยู่ดี ช่วงเวลาระหว่างนี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมดูคนจิ๋วดอกบัว บังเอิญเหลือบไปเห็นพัดสานที่ทำขึ้นหยาบๆ อันหนึ่ง จึงหยิบออกมาจากห้อง
ครึ่งคืนหลังเสียงตีฆ้องบอกเวลาดังแว่วมาไกลๆ
เฉาฉิงหล่างเดินออกจากห้อง หิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นพัดส่งไปให้ เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรับไป
เงียบงันกันอยู่นาน เฉินผิงอันถึงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ขอโทษนะ”
ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กชายไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้โทษเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้พูดว่าไม่ได้ตำหนิเขา เอาแต่ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ
วันต่อมาเฉาฉิงหล่างตื่นสายมาก แล้วก็ไม่ได้ท่องหนังสือยามเช้าตรู่ เฉินผิงอันจึงไปที่โรงเรียน คิดจะไปขอลาหยุดแทนเฉาฉิงหล่าง กลับเห็นว่าคนเดินบนถนนบางตา พอไปถึงโรงเรียนก็พบว่าประตูปิดสนิท แม้แต่หน้าอาจารย์ผู้สอนหนังสือก็ไม่ได้พบ
แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าไม่มีสายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนปรากฏตัวใกล้ๆ แม้แต่คนเดียว
คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิว
สองวันต่อมามีคนแอบย้ายออกไปจากแถบนี้อย่างเงียบเชียบ ยามค่ำคืนเหลาสุราหอโคมเขียวในตรอกจ้วงหยวนก็เงียบสงบลงเยอะมาก เงียบจนราวกับว่าสามารถกางตาข่ายดักนกหน้าประตูได้เลย (เปรียบเปรยถึงความเงียบเหงา ไม่มีคนมาเยือน)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!