กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 326

สรุปบท บทที่ 326.2 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 326.2 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 326.2 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 326.2 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม
ProjectZyphon
จ้งชิวกับเฉินผิงอันเดินไปบนถนนที่เงียบสงัด ร่มเงาของต้นไม้ปูแผ่เป็นวงกว้าง ช่วงฤดูร้อนอากาศร้อนจัด สถานที่หลายแห่งในเมืองหลวงเหมือนซึ้งนึ่ง ร้อนจนไม่มีที่ให้ผู้คนหลบเลี่ยง ทว่าพื้นที่แถบนี้กลับทำให้คนรู้สึกเย็นสบายได้มากกว่าเป็นเท่าตัว จ้งชิวกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องราวในตำราของอริยะปราชญ์เล่มหนึ่ง ขุนนางใหญ่ผู้นั้นพูดกับคนข้างกายว่า ‘เรื่องนี้ข้าไม่ควรต้องเป็นคนจัดการ ต้องถามขุนนางในเขตการปกครองที่รับผิดชอบดูแล เขาไม่ควรทำอะไรข้ามเขต’ ตอนเป็นหนุ่มอ่านหนังสือเจอบทความนี้ รู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่น ได้เปิดโลกกว้าง แต่ยิ่งอ่านหนังสือและยิ่งเห็นเรื่องราวบนโลกมากเท่าไหร่ ในใจก็อดที่จะเกิดความสงสัย คิดหลายร้อยตลบแล้วก็ไม่เข้าใจมากเท่านั้น”

จ้งชิวไม่ได้พูดต่อ

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่คิดว่าหากอาจารย์ฉีหรือท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่นี่ จะต้องสามารถคลี่คลายความทุกข์ ไขข้อข้องใจ อธิบายหลักการเหล่านั้นให้จ้งชิวเข้าใจได้อย่างกระจ่างแน่นอน

จ้งชิวหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็ไม่เหลือความกลัดกลุ้มอีก พูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเฉินผิงอัน “อวี๋เจินอี้กลับไปที่สำนักในแคว้นซงไล่แล้ว ได้พาตัวของปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่แอบออกจากเมืองไปด้วย ตอนนั้นทุกคนที่อยู่บนหัวกำแพง นอกจากโจวเฝย ยาเอ๋อร์ลัทธิมาร หลิวจงที่บินทะยานจากไปแล้ว พวกเราที่ลงมาจากหัวกำแพงเมืองล้วนได้ผลเก็บเกี่ยวกันทุกคน ดูเหมือนว่าอวี๋เจินอี้จะได้ตำราหยกเล่มหนึ่งไป ภิกษุอวิ๋นหนีได้รากบัวหยกขาวไปหนึ่งท่อน สิ่งของที่ถังเถี่ยอี้ได้รับไป สายลับของเมืองหลวงไม่อาจสืบความได้ ข้าจ้งชิวได้ตำรารวบรวมแผนที่ห้าขุนเขามาหนึ่งเล่ม เรื่องที่กล่าวไว้ในตำราล้วนเป็นเรื่องของเทพเซียน อธิบายว่าแต่งตั้งขุนเขาทั้งห้าอย่างไร รวบรวมปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำของแคว้นหนึ่งอย่างไร เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้ฝึกวิชาเซียน สำหรับข้าแล้วตำราเล่มนี้จึงไร้ความหมาย ไม่ต่างจากซี่โครงไก่”

จ้งชิวถอนหายใจก่อนพูดต่อว่า “เพราะว่าหลบอยู่ในเมือง เฉิงหยวนซานถึงพลาดเสียงกลอง สุดท้ายจึงไม่ได้อะไรติดมือไปเลย พวกลูกศิษย์ของเขาถูกไล่ออกนอกอาณาเขตไปแล้ว แต่หากเฉิงหยวนซานหนีไปช้ากว่านี้อีกสักนิด ข้าย่อมต้องรั้งตัวเขาไว้ที่นี่ เพราะถึงอย่างไรเฉิงหยวนซานก็เป็นพวกมีแค้นต้องชำระ คราวนี้เขาต้องมาเสียเปรียบครั้งใหญ่ในแคว้นหนันเยวี่ยน จะต้องไปยุแยงให้พวกกองทัพม้าเหล็กของทุ่งกว้างลงใต้มาบุกด่านปล้นสะดมอย่างแน่นอน”

ตำราเซียนเล่มนี้ถือเป็นภัยร้ายซ่อนแฝงอย่างหนึ่ง แต่จ้งชิวกลับไม่มีวิธีที่จะทำลายมันลงได้ จึงได้แต่เก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง

หากอวี๋เจินอี้รู้เรื่องนี้เข้า เขาต้องอยากชิงมันไปครอบครองแน่นอน

ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อวี๋เจินอี้ที่เดิมทีไม่เคยใส่ใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เกิดความทะเยอทะยานอยากบงการหุ่นเชิดมาช่วงชิงใต้หล้าแห่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อสามารถใช้ตัวตนของผู้สืบทอดดั้งเดิมในใต้หล้าแต่งตั้งห้าขุนเขา จากนั้นเขาก็สามารถดึงเอาปราณวิญญาณจากห้าขุนเขามาใช้เอง และกลายเป็นเทพเซียนพสุธาที่แท้จริงในท้ายที่สุด

จ้งชิวเล่าเรื่องสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าให้เฉินผิงอันฟัง “นักพรตหญิงหวงถิงที่ต่อสู้กับอวี๋เจินอี้จนผลออกมาเสมอกันผู้นั้น ได้มอบตำแหน่งเจ้าหอจิ้งซินให้กับฮองเฮาแล้ว ตัวหวงถิงเองออกไปจากเมืองหลวง แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางบอกแค่ว่าจะไปตามหาพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษแห่งหนึ่งตั้งใจฝึกเวทกระบี่ให้ดี

อีกไม่นานฮองเฮาโจวซูเจินจะ ‘ป่วยตาย’ แล้วไปบัญชาการณ์หอจิ้งซิน สำหรับเรื่องนี้ฮ่องเต้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทางฝั่งของหอจิ้งหย่าง ช่วงนี้เกิดกบฏขึ้น พวกกบฏไปสมคบคิดกับคนของลัทธิมารที่เหลืออยู่ โจวซูเจินสูญเสียการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว หอจิ้งหย่างป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป หอจิ้งหย่างจะไม่เป็นผู้ตัดสินสิบคนในใต้หล้าอีก ส่วนถังเถี่ยอี้ แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นยังลังเลอยู่ว่าควรจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเราหรือไม่”

เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ

จ้งชิวกล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากเป็นเจ้าที่ยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น ไม่ใช่ติงอิงที่คิดแต่จะเอาชนะวิถีสวรรค์ ก็คงจะดี”

เฉินผิงอันไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย

จ้งชิวยิ้ม “รู้แค่ว่าเป็นคำชม ไม่จำเป็นต้องคิดจริงจังเกินไป”

เฉินผิงอันจึงยิ้มออก

แต่ไม่ใช่รอยยิ้มตามมารยาทเหมือนตอนที่พูดคุยกับฮ่องเต้เว่ยเหลียงในหอสุราคืนนั้น

เวลาอยู่กับจ้งชิวเหมือนเข้าไปในห้องอันเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ (ดอกกล้วยไม้เปรียบเปรยถึงคุณธรรมอันสูงส่งหรือสภาพแวดล้อมอันดีงาม กล่าวว่าเมื่ออยู่กับคนดีก็เหมือนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ นานวันเข้ากลิ่นหอมนั้นก็ติดตัวมาด้วย)

ที่พักของลูกศิษย์สองคนของจ้งชิวอยู่ห่างจากพื้นที่แถบนี้ไปสองช่วงถนน เรือนพักค่อนข้างใหญ่ แขวนป้ายว่าโรงฝึกวรยุทธ์ หันเข้าข้างใน ไม่หันออกนอก ลูกศิษย์ใหญ่ของจ้งชิวเป็นคนออกเงิน คนผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามายี่สิบปี ได้เป็นถึงแม่ทัพ แต่ภายหลังได้รับบาดเจ็บสาหัสบนสนามรบจึงลาออกจากกองทัพ ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ของจ้งชิวเข้ามาในเมืองหลวงจะไม่กล้ารบกวนอาจารย์ ส่วนใหญ่จึงมักจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ลูกศิษย์เหล่านี้อายุต่างกันค่อนข้างมาก คนที่อายุมากที่สุดเกือบร้อยปี ลูกศิษย์สองคนที่อายุน้อยที่สุดคือคู่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น

รอจนคนทั้งสองเดินไปถึงสนามประลองยุทธ์ จ้งชิวก็พลันหลุดหัวเราะพรืด เพราะตรงนั้นมีคนหลายสิบคนรวมตัวกันอย่างครึกครื้นซึ่งมีลูกศิษย์สองคนของเขาอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลานชายหลานสาวของแม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียว และสหายสนิทที่ลูกศิษย์สองคนรู้จักในเมืองหลวง ส่วนใหญ่คือเด็กของตระกูลชนชั้นสูงที่มีนิสัยซื่อสัตย์ อีกทั้งยังมีความฝันใฝ่ต่อยุทธภพ หลายคนนัดหมายกันมานานแล้วว่า วันหน้าจะใช้ข้ออ้างออกเดินทางไกลไปหาความรู้กับทางครอบครัว เพื่อออกไปท่องยุทธภพร่วมกับลูกศิษย์สองคนของจ้งชิว

สำหรับเรื่องพวกนี้ จ้งชิวไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

ความงดงามในช่วงวัยเยาว์ ต่อให้จะมีความเป็นเด็กแฝงอยู่ แต่ก็ไม่ควรใช้ประสบการณ์ในชีวิตของคนแก่ไปปฏิเสธสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งไม่ควรทำลายลงอย่างส่งเดช

จ้งชิวมองเด็กเหล่านี้ บางครั้งก็โมโหในความเกเรของพวกเขา แต่เวลาที่มากกว่านั้นกลับรู้สึกว่าพวกเขาน่ารัก นี่จึงทำให้เขารู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว ไม่มีเจ๋อเซียนอะไรทั้งนั้น

เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งจากในคนกลุ่มนั้น

นั่นก็คือหญิงสาวที่ควบม้าอยู่บนถนนใหญ่พร้อมกับสหายระหว่างที่เขาเดินเล่นในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเพื่อชดเชยความผิดพลาดของสหาย นางได้โยนถุงเงินใบหนึ่งให้แก่หญิงชราที่ตั้งร้านแผงลอย เพื่อแสดงฝีมือในการขี่ม้า ยังทำให้ตัวเองตกกระแทกลงพื้นแรงๆ หนึ่งที ร้องโอดโอยก่อนจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่นางก็ยังเชิดหน้าสูงอย่างทระนง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังยกนิ้วโป้งให้นาง เพียงแต่ว่าหญิงสาวไม่ได้สนใจเขา แถมยังกลอกตามองบนใส่เขาด้วย

แรกเริ่มทุกคนไม่มีใครรู้จักเฉินผิงอัน

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สวมชุดคลุมสีขาวและห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด

ทว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็เคารพยำเกรงจ้งชิว หลังจากจ้งชิวปรากฎตัว แต่ละคนก็เงียบกริบราวกับจักจั่นในหน้าหนาว ลูกศิษย์สองคนก็มีท่าทางร้อนตัว หลายวันมานี้พวกเขาไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์เลยจริงๆ ช่วยไม่ได้ สหายเหล่านี้พากันแห่มาหา แต่ละคนเล่าเรื่องราวของเซียนกระบี่ชุดขาวคนนั้นด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ต่างก็บอกกันว่าปรมาจารย์หนุ่มผู้นั้นที่สังหารติงอิงมีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ของพวกเขา ไม่แน่ว่ามาอยู่ที่นี่อาจเป็นการเฝ้าตอรอกระต่าย รอจนได้เจอคนผู้นั้นจริงๆ โดยเฉพาะหลานชายหลานสาวของแม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวที่ยิ่งพูดจาเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือว่า หลังจากท่านปู่กลับไปถึงบ้านก็หน้าแดงก่ำ เล่าว่าคืนนั้นที่อวี๋เจินอี้กับถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินเปิดศึกกันนอกเมือง เซียนกระบี่ที่ชื่อเฉินผิงอันได้ยืนอยู่ข้างกายเขา คนทั้งสองได้แต่เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป เพราะพูดคุยกันถูกคอจึงคบหากันเป็นสหายต่างวัยแล้ว น่าเสียดายที่เซียนกระบี่เฉินคือเทพเซียน จึงยุ่งมาก แต่ก็รับปากแล้วว่าขอแค่มีเวลาว่างจะต้องมาเยี่ยมเยือนถึงจวนแม่ทัพแน่นอน

หลานชายคนเล็กของลวี่เซียวอายุแค่สิบสองสิบสามปี เขาเล่าเรื่องนี้ซ้ำแทบจะทุกวัน แถมเวลาเล่ายังหน้าบานเป็นกระด้งด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติ

แต่พี่สาวของเขาไม่ได้ผัดข้าวเย็นซ้ำไปซ้ำมาแบบเขา (เปรียบเปรยถึงการพูดเรื่องเก่าซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่มีเนื้อหาแปลกใหม่) เพียงแต่ว่าสีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความรอคอยและเลื่อมใสศรัทธา

จ้งชิวหันกลับมามองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้

เพียงแค่สามก้าวอย่างเรียบง่ายของเฉินผิงอัน พลังอำนาจของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง

สี่ก้าวต่อมา คนทั้งสองก็ถอยกรูดไม่เป็นท่า เหงื่อรินลงมาตามสันหลัง สีหน้าซีดขาว

เฉินผิงอันหยุดเดิน ถามว่า “ทั้งๆ ที่รู้ว่าต่อให้ออกหมัดก็ไม่มีทางตาย แล้วทำไมถึงไม่ออก? หากมีวันหนึ่งต้องต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับคนอื่นจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายก็จะไม่กล้าออกหมัดแม้แต่ครั้งเดียวเหมือนกันน่ะหรือ? ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพวกเจ้าจะออกหมัดก็ต่อเมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมกันหรือศัตรูที่อ่อนแอกว่าพวกเจ้าใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มนั่งแปะลงไปบนพื้น

เด็กสาวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ผู้อาวุโสคือปรมาจารย์ขั้นสูงสุด มาถึงก็ใช้พลังอำนาจข่มคนอื่น ใต้หล้ามีการแลกเปลี่ยนความรู้ สอนวิชาหมัดแบบนี้เสียที่ไหน…”

เฉินผิงอันยังคงถามว่า “ทำไมถึงไม่ยอมออกสักหมัด?”

เด็กหนุ่มก้มหน้า

เด็กสาวดวงตาแดงก่ำ ถึงขั้นร้องไห้ออกมา เพียงแต่ว่าพยายามประสานสายตากับคนแปลกหน้าที่ชอบรังแกผู้อื่นคนนี้อย่างดุดัน

เฉินผิงอันตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะทำเกินไป จึงหันหน้าไปเอ่ยขอโทษจ้งชิว “ข้าไม่ค่อยได้แลกเปลี่ยนความรู้กับใคร จึงไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ของยุทธภพเท่าใดนัก”

จ้งชิวส่ายหน้า ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยเบาๆว่า “เป็นเพราะกลัวว่าพวกเขาจะทำผิดพลาด วิชาหมัดที่ข้าถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์จึงใช้หลักสี่คำว่า ‘เจอหมัดสูงไม่ออกหมัด’ ความตั้งใจเดิมคือหวังว่าเวลาอยู่ในยุทธภพพวกเขาจะไม่ใช้อารมณ์นำทาง ไม่คิดอยากแต่จะเอาชนะ ไม่รังแกคนอื่น ออกหมัดไม่รู้จักหนักเบา ที่มากกว่านั้นคือหวังว่าในอนาคตเมื่อพวกเขาไปอยู่บนสนามรบ อย่างน้อยต้องใช้เวลาตอบแทนบ้านเมืองสิบปี ดังนั้นลูกศิษย์ฝ่ายในจึงถูกข้าข่มสภาพจิตใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว คงพูดไม่ได้ว่าผิด แต่ก็อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะเป็นสีครามที่เด่นกว่าสีน้ำเงิน (มาจากประโยคว่าสีครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน เปรียบเปรยว่าครูอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์เก่งกว่าครู)”

จ้งชิวถอนหายใจหนึ่งที ยิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “ควรจะต้องแก้ไขได้แล้ว”

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่เดิมทียอมฝืนทนรับความอับอายต่อหน้าคนนอกได้แล้ว กลับไม่สามารถรับการ ‘ยอมรับผิด’ จากอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ตัวเองมองเป็นเหมือนบิดาแท้ๆ ได้ อีกทั้งการยอมรับผิดนี้ยังทำเพื่อพวกเขา ในใจของเด็กหนุ่มเหยียนสือจิ่ง จ้งชิวผู้เป็นอาจารย์คือปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้ข้อบกพร่องมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นอริยะด้านวรรณกรรมด้วย

ด้วยความโมโห เด็กหนุ่มพลันลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่ได้ลอบโจมตีคนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น แค่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้ามาใหม่!”

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!