นักพรตเฒ่ามักจะชอบปรากฎตัวและหายตัวไปอย่างลึกลับเสมอ เฉินผิงอันเองก็จนใจมากเหมือนกัน
ฟ้าเริ่มสว่างน้อยๆ เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งพิงประตูห้องครัวตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าคนมีเงินที่สวมชุดขาวผู้นั้นกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน เขาหลับตาเหมือนคนตาบอด ฝ่ามือข้างหนึ่งแบออก หงายฝ่ามือขึ้นด้านบน วางไว้ประมาณหน้าท้อง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าอก เท้าที่ก้าวเดินออกไปไม่ยาวนัก อีกทั้งยังเดินช้ามาก
คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะใช้หมัดต่อยไปที่หัวใจดีหรือไม่ นางรอคอยอย่างเบื่อหน่าย รู้สึกว่าเขาน่าจะปล่อยหมัดต่อยไปจริงๆ
หากไอ้หมอนี่ตาบอดจริงๆ ก็ดีน่ะสิ แล้วหากต่อยหมัดทะลุหน้าอกตัวเองดังกร๊อบก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
พอคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา แต่กลัวว่าเขาจะมองออกจึงรีบตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นหาว
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น หยุดทำท่าประหลาดนั้น นั่นคือท่าที่เขาเลียนแบบมาจากติงอิง การที่วันนี้ลองทำตามก็เพราะรู้สึกว่าวิชาสายฟ้าของนักพรตเฒ่าตาบอดที่พาลูกศิษย์สองคนมาเจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานจำเป็นต้องใช้หมัดทุบตีลงบนช่องโพรงแรงๆ
ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกับติงอิง
เฉินผิงอันไม่ได้มองไปยังเด็กหญิง แล้วก็ไม่ได้หยุดเดิน เขายังคงเอาปณิธานหมัดของทั้งร่างจ่อมจมอยู่ในท่าหมัดใหญ่ขั้นสูงสุดที่จ้งชิวบรรลุมา แต่พูดว่า “เจ้าไปดูที่โรงเรียนของเฉาฉิงหล่างสิว่าเปิดหรือยัง หากอาจารย์ยังไม่กลับมาสอนก็ถามพวกเพื่อนบ้านแถวนั้นว่าเมื่อไหร่ถึงจะเปิดเรียน”
เด็กหญิงถามต่อรอง “กินข้าวเช้าก่อนค่อยไปได้ไหม ข้าหิว เดินไม่ไหวหรอก”
เฉินผิงอันพูดเสียงเรียบ “หลังกลับมา เติมน้ำใส่ถังน้ำในห้องครัวให้เต็มก็จะมีข้าวกิน”
เด็กหญิงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันนิ่ง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนล้อเล่นจึงร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วแสร้งลุกขึ้นยืนโงนเงน เดินแนบติดผนังอ้อมผ่านเฉินผิงอันไป จนกระทั่งเดินออกจากบ้านและออกจากตรอกแล้วก็ไปนั่งยองอยู่ตรงหัวเลี้ยว นั่งอยู่นานถึงได้วิ่งตะบึงกลับไปที่หน้าประตูบ้าน หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม นางก้มตัวลง เอาสองมือเท้าเอว หอบหายใจเสียงดังพลางพูดกับเจ้าคนที่ยังเดินอยู่ในบ้านว่า “โรงเรียนยังไม่เปิดเลย ข้าถามท่านป้าคนหนึ่ง นางบอกว่าอาจารย์ตกใจกลัวเรื่องที่มีคนทะเลาะกันก่อนหน้านี้ ช่วงนี้จึงยังไม่เปิดสอน”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เพียงชี้นิ้วไปที่ห้องครัว
เด็กหญิงหน้าม่อย เดินไปที่ห้องครัว หิ้วถังน้ำใบเล็กที่สุดขึ้นมา โชคดีที่ในอ่างน้ำยังมีน้ำอยู่อีกเกินครึ่ง หากในอ่างว่างเปล่า นางคงไม่มีทางเต็มใจทำ หลังออกจากบ้านไปต้องโยนถังน้ำทิ้งแล้วเผ่นหนีแน่นอน ตอนที่นางเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินเสียงท่องหนังสือของเฉาฉิงหล่าง นางที่หันหลังให้ประตูบ้านกลอกตามองบน แยกเขี้ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
ตักน้ำทำให้คนเหนื่อยตายได้จริงๆ
ตอนที่ใช้มือทั้งสองข้างหิ้วถังน้ำกลับมาบ้าน นางยังคงเดินแนบกำแพงอ้อมผ่านคนผู้นั้น แล้ววิ่งพรวดเข้าไปในห้องครัว ตอนตักน้ำมาจากบ่อ นางก็ตักมาไม่ถึงครึ่งถัง ระหว่างที่เดินมาเพราะไม่อยากเหนื่อยจึงทำหกไปไม่น้อย อันที่จริงรอจนนางกลับมาถึงบ้าน น้ำก้นถังก็เหลือความสูงแค่ประมาณชุ่นกว่าเท่านั้น นางหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นคนผู้นั้นจึงรีบยกถังน้ำจ้วงวักน้ำในอ่างไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็กระชากถังขึ้นมาแล้วเทน้ำลงไปในอ่างดังพรวด
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนการมองแสงไฟในถ้ำ (เปรียบเปรยว่าเห็นอย่างชัดเจน) สำหรับเฉินผิงอัน เขาก็แค่ไม่ได้เปิดโปงนางต่อหน้าเท่านั้น
ยอมสิ้นเปลืองความคิดเพื่อแอบขี้เกียจ แต่กลับไม่ยอมออกแรงแม้แต่นิดอย่างนั้นหรือ?
เฉาฉิงหล่างท่องบทเรียนของตำราชั้นประถมไปแล้วหลายบทจึงเริ่มไปทำอาหารที่ห้องครัว เฉินผิงอันบอกว่าวันนี้เขาอาจจะกลับมาดึก เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันออกไปจากตรอก เดินผ่านบ้านหลังที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนซึ่งก่อนหน้านี้ติงอิงและยาเอ๋อร์มาพักอาศัย ในบ้านเต็มไปความอึมครึม เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งร้างแล้ว ควันธูปของวัดซินเซียงยิ่งนานก็ยิ่งเบาบาง ทว่าการฝึกซ้อมตอนเช้าของศูนย์วรยุทธ์แห่งนั้นกลับครึกครื้นยิ่งกว่าเก่า เสียงตะโกนดังขึ้นๆ ลงๆ โดยเฉพาะเสียงตะเบ็งจากอาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ่งดังเป็นพิเศษ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว รู้สึกโลกไม่สงบสุข แต่กลับทำให้พวกคนในยุทธภพเกิดความเลื่อมใสฝันใฝ่หา หากไม่มีคลื่นลมมรสุมซะบ้าง จะเรียกว่ายุทธภพได้อย่างไร?
ครั้งนี้เฉินผิงอันออกจากบ้านโดยสวมชุดคลุมยาวสีเขียวตัวใหม่เอี่ยม ไม่ได้สวมชุดจินหลี่ หนึ่งเพราะคนจิ๋วดอกบัวยังไม่หายดี ยังจำเป็นต้องใช้ชุดคลุมอาคมที่เป็นเหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็ก สองเพราะเฉินผิงอันไม่อยากทำตัวโดดเด่นเกินไปนัก แม้แต่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เขาก็ยังเก็บไว้ในห้อง ให้ชูอีกับสืออู่คอยปกป้องคนจิ๋วดอกบัวที่กำลังรักษาตัว เพียงแต่ว่าตรงเอวห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมองดูเหมือนจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพที่ชอบรำดาบใช้ทวนเท่านั้น
เฉินผิงอันไปหาจ้งชิว เพราะต้องการรบกวนราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนอีกหนึ่งเรื่อง
แม้ว่าหนังสือกองใหญ่ที่เด็กหญิงขโมยไปจากในห้องจะเป็นหนังสือธรรมดาทั่วไป เพราะหนังสือเทพเซียนสองเล่มที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวล้วนถูกเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น แต่เฉินผิงอันก็ยังอยากได้พวกมันกลับคืนมา เพราะบนหน้าปกในของหนังสือทุกเล่ม เฉินผิงอันล้วนเขียนตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กระบุไว้ว่าแต่ละเล่มซื้อมาจากที่ไหน และซื้อมาเมื่อไหร่ ตำราที่เก็บรวบรวมมาจากทั่วทิศเหล่านี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้วถือว่ามีความหมายที่แตกต่างออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!