ตลอดทางมีหญิงสาวมากมายที่อยู่บนหอส่งเสียงหยอกเย้าเกี้ยวพา และยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้ามาให้เฉินผิงอันโดยตรง แถมยังตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายน้อยผู้หล่อเหลา ขึ้นมานั่งเล่นข้างบนหน่อยไหม พี่สาวจะเลี้ยงน้ำชาเจ้าเอง มานั่งบนตักพี่สาวนี่เป็นไง”
คนในหอโคมเขียวที่นางอยู่และหญิงคณิกาในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ช่วยกันผสมโรง คำพูดหยาบโลนมีมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย เฉินผิงอันหลบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ยังหันกลับไปมองผ้าเช็ดหน้าที่ร่วงตกพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปหยิบขึ้นมา ม้วนเป็นก้อนโยนไปให้หญิงสาวคนนั้นเบาๆ พวกหญิงสาวบนหอโคมเขียวพากันเงียบเสียงลงก่อน จากนั้นก็หัวเราะครืนเสียงดัง
จิตใจของเฉินผิงอันนิ่งสนิทดุจน้ำนิ่ง เขาเดินกลับเข้าไปในตรอกเส้นนั้น ตรงหัวมุมมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่สวมชุดของชาวบ้านธรรมดายืนอยู่ อายุไม่มาก ยังไม่ถึงสามสิบปี แต่ลมหายใจกลับหนักแน่นมั่นคงและทอดยาว เมื่ออยู่ในใต้หล้าอย่างพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้น่าจะถือว่าเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่พรสวรรค์ดี และปูพื้นฐานมาดี แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับคนมีพรสวรรค์อย่างใบหน้ายิ้ม หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแล้วยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก
คนทั้งสองบอกชื่อแซ่แนะนำตัว พวกเขาคือสายลับในเมืองหลวงที่ราชครูจ้งชิวเป็นผู้ดูแล ชายหนุ่มมอบห่อสัมภาระสองห่อให้แก่เฉินผิงอัน ด้านในบรรจุตำราที่พวกเขาขโมยมาจากร้านขายหนังสือในบริเวณใกล้เคียง และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นตำราเกี่ยวกับการสร้างสะพานซึ่งเลือกมาจากที่ว่าการกรมโยธา ส่วนหญิงสาวส่งเอกสารลับฉบับหนึ่งให้เฉินผิงอัน เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบัณฑิตแซ่เจี่ยงและสตรีอุ้มผีผา
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ตอนที่ทั้งสองมอบของให้กับตน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือมือทั้งคู่ของพวกเขาต่างก็ไม่มั่นคง
เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้มให้พวกเขา หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็เดินไปทางบ้านของเฉาฉิงหล่าง
สังหารหม่าเซวียนจินกังชมพูกับสตรีอุ้มผีผาตายคาที่ หลังจากนั้นก็เกือบจะสังหารลู่ฝ่างจากยอดเขาเหนี่ยวคั่น เอาชนะราชครูจ้งชิว สุดท้ายปลิดชีพติงอิงเจ้าลัทธิไท่ซ่างของลัทธิมารได้
สำหรับสายลับแคว้นหนันเยวี่ยนที่ท่องไปทั่วราชสำนักและยุทธภพแล้ว ก็เหมือนตอนนั้นที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวอยู่บนหัวกำแพงเมือง พอได้เห็นศึกสุดยอดระหว่างอวี๋เจินอี้และนักพรตหญิงหวงถิงแล้วก็อดพูดอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า ‘สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ’ ทุกวันนี้เฉินผิงอันที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ยังเหนือกว่าติงอิงในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดด้วยซ้ำ
รอจนเฉินผิงอันเดินช้าๆ ไปถึงหน้าประตูบ้าน ผลักประตูเข้าไป หญิงสาวที่อายุน้อยถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ที่แท้นางก็กลั้นหายใจเอาไว้ตลอดเวลา นางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ที่แท้เขายังหนุ่มอยู่มากจริงๆ”
บุรุษผู้นั้นรู้สึกจนใจเล็กน้อยจึงไม่ได้พูดอะไร
นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หน้าตาดีจริงๆ”
กล่าวจบ แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกเขินอาย
และเวลานี้เอง คนผู้นั้นพลันถอยออกมาจากลานบ้าน เอนตัวมาด้านหลัง ชูนิ้วโป้งให้หญิงสาว พูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “สายตาดี”
หญิงสาวคนนั้นอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่พูดไม่เก่งก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
รอจนประตูปิดลงเบาๆ แล้ว หญิงสาวพลันยกมือปิดหน้า กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที
บุรุษถอนหายใจ อันที่จริงเวลาปกตินางไม่เคยทำตัวโง่งมแบบนี้ เจ็ดปีที่ทำหน้าที่เป็นสายลับมา นางเชี่ยวชาญการอำพรางตัว อีกทั้งยังเป็นคนสุขุมและรอบคอบมาโดยตลอด สร้างคุณความดีให้แก่ราชสำนักหนันเยวี่ยนมากมาย แม้แต่ราชครูจ้งก็ยังโปรดปรานนาง ครั้งนี้คนทั้งสองทำหน้าที่รับผิดชอบจับตามองถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่แคว้นเป่ยจิ้น นี่มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจที่จ้งชิวมีต่อพวกเขา
ในลานบ้าน เฉาฉิงหล่างและเด็กหญิงที่ยังไม่รู้ชื่อแซ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก คนวัยเดียวกันทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เด็กหญิงกำลังแทะเมล็ดแตง น่าจะขอมาจากเฉาฉิงหล่าง เปลือกเมล็ดแตงถูกนางโยนไปทั่วพื้น พอเห็นเฉินผิงอัน นางก็ลนลานเล็กน้อย พอเฉินผิงอันชำเลืองตามองพื้นบ้าน นางก็รีบเก็บเมล็ดแตงในมือใส่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เริ่มเก็บกวาดเมล็ดแตงพวกนั้น
หลังจากทักทายเฉาฉิงหล่างแล้ว เฉินผิงอันก็เข้าไปในห้อง จุดตะเกียงน้ำมัน เปิดห่อสัมภาระทั้งสองห่อออก หนังสือทั้งหมดที่ถูกเด็กหญิงขโมยไปขายไร้ซึ่งความเสียหาย เขาเอากลับมาวางเรียงลงบนโต๊ะอีกครั้ง ส่วนตำราที่ได้มาจากที่ว่าการกรมโยธาถูกวางไว้อีกด้าน ภูเขาหนังสือสองลูกเล็ก หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประหนึ่งเทพทวารบาลที่เฝ้าพิทักษ์ประตู เฉินผิงอันเปิดจดหมายลับฉบับนั้นออก ด้านในบันทึกเรื่องราวในอดีตของทั้งบัณฑิตเจี่ยงและสตรีอุ้มผีผา
เฉินผิงอันพับจดหมายสอดใส่ไว้ในตำราเล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันเริ่มทบทวนสถานการณ์บนกระดานหมากที่แปลกประหลาดนี้ซ้ำอีกรอบ
ครั้งนี้เข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัว แม้ว่ารอบด้านจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล
การต่อสู้กับจ้งชิวปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาฝ่าคอขวดขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ ตอนนั้นการประมือในครั้งที่สอง จ้งชิวยังยอมลดสถานะของตัวเอง เป็นฝ่ายช่วยป้อนหมัดให้กับเขา ช่วยทำให้ขอบเขตห้าของเขามั่นคง แม้ว่าจ้งชิวเองก็มีการพิจารณาเป็นของตัวเอง ด้วยคาดเดาเอาว่ามีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าติงอิงและอวี๋เจินอี้จะร่วมมือกันวางแผน จ้งชิวจึงไม่ยอมให้พวกเขาได้สมใจปรารถนา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จะเป็นด้านบุคลิกลักษณะ ศักยภาพ ด้านวรยุทธ์หรือสภาพจิตใจของจ้งชิวก็ล้วนทำให้เฉินผิงอันเคารพเลื่อมใสได้จากใจจริง
หลังจากนั้นก็ได้ต่อสู้กับติงอิงอย่างสาแก่ใจ อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุพลิกผัน เฉินผิงอันยังได้กุมกระบี่รับมือกับศัตรูเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง แล้วก็จริงดังคาด ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องขัดเกลาร่างกายและจิตใจระหว่างเส้นความเป็นความตายจริงๆ ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าขอบเขตห้าของชาวยุทธ์ในใต้หล้าคนอื่นๆ เป็นเช่นไร แต่เขาคิดว่ารากฐานขอบเขตห้าของตนปูมาได้ไม่เลวเลย
นี่คือรากฐานการหยัดยืนของเขา ต่อให้เฉินผิงอันจะหลงใหลในทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องนี้ต่อให้เอาทองนับหมื่นมาแลก เขาก็ไม่ยอม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!