นางยู่หน้า อยากจะบีบน้ำตา แต่กลับทำไม่ได้ ได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น พูดด้วยเสียงสะอื้นเหมือนคนได้รับความไม่เป็นธรรม “ข้าไม่ได้ขโมยจริงๆ ข้าสาบานได้ หากข้าโกหก ขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “หากเจ้าโกหก เป็นใครที่จะถูกฟ้าผ่าไม่ได้ตายดี? ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน”
นางหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หัวเราะแห้งๆ พูดว่า “ย่อมต้องเป็นข้าอยู่แล้ว ยังจะเป็นใครได้อีก?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”
เด็กหญิงค้อมตัวก้มหน้าลงต่ำ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเปลือกเมล็ดแตงโมเหล่านั้น “มีแซ่ แต่ว่าไม่มีชื่อ พ่อแม่ของข้าด่วนจากไป ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อให้ข้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มเจิดจ้า “แต่พ่อเคยบอกกับข้าว่า บรรพบุรุษของตระกูลเรามีเงินเยอะมาก เคยมีคนที่ได้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตสุดๆ ดูแลคนหลายพันคนเลยล่ะ”
เฉินผิงอันหยุดโบกพัด แต่หันมาแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าแทน “คิดถึงพ่อแม่ไหม?”
นางหลุดปากตอบมาว่า “จะคิดถึงพวกเขาไปทำไม หน้าตาพวกเขาเป็นยังไงก็จำไม่ได้แล้ว”
อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าพูดแบบนี้จะไม่ถูกใจเฉินผิงอัน นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “อันที่จริงข้าก็คิดถึงมาก ข้าถึงได้ฝันถึงพวกเขาบ่อยๆ ยังไงล่ะ น่าเสียดายที่ยังคงมองเห็นหน้าตาของพวกเขาไม่ชัด ทุกครั้งที่ฝันเห็นพวกเขา เวลาข้าตื่นมาตอนเช้า น้ำตาไหลอาบแก้มทุกที เจ็บปวดใจมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองนาง
เด็กหญิงชูฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง “ข้าสาบาน!”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่กลัวสวรรค์จริงๆ หรือ?”
เด็กหญิงเริ่มโมโห แต่ไม่กล้าเถียงเจ้าหมอนี่ รีบก้มหน้าลง ได้แต่พูดงึมงำ “สวรรค์กะผายลมอะไรล่ะ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วางพัดลง เดินออกไปนอกบ้าน มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอก
คนผู้นั้นสวมกวานดอกบัวสีเงิน มีโฉมหน้าและส่วนสูงเป็นเด็ก สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้เฉียงๆ
เฉินผิงอันเดินไปถึงมุมนั้น แต่คนผู้นั้นกลับถอยไปอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม ถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาเพื่อท้าทาย แต่มาเพราะมีเรื่องอยากปรึกษาหารือ
ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อคนผู้นี้ไม่ถือว่าดีนัก
อวี๋เจินอี้ เจ้าประมุขพรรคหูซาน ผู้นำฝ่ายธรรมะที่แอบสมคบคิดกับติงอิงอย่างลับๆ บุคคลอันดับสองในใต้หล้าที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน
อวี๋เจินอี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าย้อนกลับมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในครั้งนี้ หนึ่งเพราะเรื่องส่วนรวม และอีกหนึ่งเพราะเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวมก็คืออยากปรึกษากับจ้งชิว ให้เขามอบตำรารวบรวมแผนที่ห้าขุนเขาเล่มนั้นมาให้ ข้าและพรรคหูซานสามารถย้ายเข้ามาในแคว้นหนันเยวี่ยน อีกทั้งจะไม่ช่วงชิงตำแหน่งราชครูกับจ้งชิว ส่วนเรื่องส่วนตัวคืออยากจะถามเจ้าว่า ในตัวเจ้ามีเงินของเทพเซียนที่เจ๋อเซียนใช้กันอย่างเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยหรือเงินฝนธัญพืชบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ได้ทั้งนั้น ข้ายินดีเอาของมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า ขอแค่ของสิ่งนั้นมีอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็สามารถช่วยเจ้าหามาได้”
เฉินผิงอันถามกลับ “หากข้าต้องการจริงๆ ข้าจะหาเองไม่ได้งั้นรึ?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “เหตุใดเจ้าต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยเล่า ถึงอย่างไรข้าก็คุ้นเคยกับราชสำนักและยุทธภพของสี่แคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่าเจ้า สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”
การมารวมตัวกันของปราณวิญญาณในแถบภูเขากู่หนิวเป็นเพราะนักพรตเฒ่าใช้วิชาอภินิหารค้ำฟ้าย้ายปราณวิญญาณทั้งหมดในพื้นที่มงคลดอกบัวมา นี่ไม่ใช่สภาพการณ์ที่ปกติ เรียกได้ว่าร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง แต่เงินเทพเซียนสามชนิดของเจ๋อเซียนกลับเป็นรูปธรรมของปราณวิญญาณฟ้าดิน อวี๋เจินอี้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นต่อการพิสูจน์ความเป็นอมตะรีบร้อนใช้ของสิ่งนี้ อีกทั้งยังมีแค่เขาที่สามารถให้ราคาได้ดีที่สุด
อวี๋เจินอี้ชี้ไปยังกระบี่บินแก้วที่สะพายอยู่ด้านหลัง “เฉินผิงอัน นอกจากกระบี่เล่มนี้ที่สามารถนำมาแลกกับเงินเทพเซียนของเจ้าได้แล้ว ข้ายังสามารถช่วยเจ้ารวบรวมวัตถุที่เจ๋อเซียนทิ้งไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว ถึงขั้นที่ว่าสามารถช่วงชิงสมบัติอาคมที่พวกถังเถี่ยอี้ ภิกษุอวิ๋นเพิ่งได้มาใหม่มาให้เจ้าได้ด้วย อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว สามลัทธิมารของติงอิงหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพอย่างหอจิ้งซินของถงชิงชิงล้วนเก็บวิชาลับในการเรียนวรยุทธ์ไว้เป็นจำนวนมาก ไม่แน่ว่าในบรรดานี้อาจมีของที่เจ้าถูกใจ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเข้าเมืองมาครั้งนี้ต้องมาหาข้าก่อนแน่นอน ข้ามั่นใจว่าเจ้าอวี๋เจินอี้คาดหวังให้การแลกเปลี่ยนครั้งนี้สำเร็จจริงๆ แต่เจ้าก็คิดจะอาศัยเรื่องนี้กำราบราชครูจ้งด้วยกระมัง? หากข้ายอมรับปาก ราชครูจ้งและแคว้นหนันเยวี่ยนก็จะถูกกดดัน อีกอย่างตำราลับวิถีวรยุทธ์ที่เจ้าบอกว่าจะรวบรวมมาให้ข้าด้วยตัวเอง ก็คงไม่พ้นใช้ชื่อเสียงอันดับหนึ่งในใต้หล้าและอันดับสองในใต้หล้ากดหัวคนทั้งยุทธภพ บีบพวกเขาให้ยอมปล่อยเจ้าไปค้นหาตำราวิชาลับของเจ๋อเซียนมาได้ตามใจชอบสินะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าอวี๋เจินอี้ตัวคนเดียว ต่อให้ศักยภาพจะสูงแค่ไหนก็คงไม่กล้าทำเรื่องมิชอบโดยไม่สนใจคนใต้หล้า เพราะถึงอย่างไรทั้งจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์และติงอิงเจ้าลัทธิมารก็ล้วนเป็นบทเรียนให้เห็นมาก่อน”
อวี๋เจินอี้ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้ายอมรับ “แต่เจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้า ปล่อยให้ข้าเป็นคนชั่วอยู่คนเดียวก็พอ”
เฉินผิงอันชักดาบแคบหยุดหิมะออกมา
กระบี่บินแก้วด้านหลังอวี๋เจินอี้สั่นสะท้านส่งเสียงดังหวึ่งๆ เตรียมจะออกจากฝักเช่นกัน
สีหน้าของเขามืดทะมึน นึกไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะไร้เหตุผลขนาดนี้
แต่เฉินผิงอันกลับใช้ปลายดาบจิ้มลงบนพื้นจนเกิดรูเล็กๆ สองรู จากนั้นก็วาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งระหว่างรูทั้งสอง หลังจากเก็บดาบเข้าฝักแล้วก็ถามว่า “ความตั้งใจเดิมนั้นดี ผลลัพธ์ที่เจ้าคาดหวังก็ดี แต่นี่ใช่เหตุผลที่เจ้าควรทำอะไรโดยไม่เลือกวิธีการหรือ?”
อวี๋เจินอี้ชำเลืองตามองเส้นโค้งใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน หลังถอนสายตากลับมาแล้วก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ผู้ที่ปรารถนาให้เรื่องใหญ่สำเร็จ ย่อมไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อย คำว่า ‘วันนี้ผิดพลาด วันหน้าย่อมทำสำเร็จ’ มีการแบ่งเล็กใหญ่ อีกทั้งยังแตกต่างกันอย่างมาก ข้าอวี๋เจินอี้ถามใจแล้วไม่ละอาย เหตุใดจะไม่ลองทำดูเล่า? ระหว่างนี้คนที่อยู่บนอันดับรายชื่อตายไปกี่คน กี่สิบคน? นับเป็นอะไรได้? เจ้ารู้หรือไม่ ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าแห่งนี้มีคนกี่หมื่นคนที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมเพราะเจ๋อเซียน? ไม่พูดถึงการรบที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ พูดถึงแค่คนสิบคนบนรายชื่อที่เจ้าเคยพบเจอมาแล้ว อย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์นั่น เขาทำร้ายคนไปกี่มากน้อย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าอ่านหนังสือมามากมาย ไม่กล้าพูดว่ารู้ทุกเรื่อง แต่ก็รู้มาไม่น้อย ลำพังแค่สงครามในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพราะเจ๋อเซียน ตอนนี้ข้าสามารถบอกได้ว่ามีมากถึงหกสิบกว่าครั้ง”
อวี๋เจินอี้ไม่พูดอะไรอีก
ปณิธานต่างมิอาจร่วมทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!