ในสายตาของเหล่าชนชั้นสูงและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองหลวง คลื่นมรสุมจากการตีกันของเทพเซียนยังคงทิ้งริ้วคลื่นกระเพื่อมแผ่ไว้ไม่หยุด ตอนนั้นเฉินผิงอันช่วยสอนหมัดให้แก่พวกเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์ของจ้งชิว พวกสหายของเด็กหนุ่มที่มาร่วมชมเรื่องสนุกก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเหล่านั้น หลังจากที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวเดินลงจากหัวกำแพงเมือง แล้วกลับบ้านมาคุยโวให้หลานชายหลานสาวฟังว่าตัวเองเป็นสหายต่างวัยของเฉินผิงอันก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเช่นกัน การย้ายบ้านของคนมากมายที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตรอกจ้วงหยวนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ติงอิงตายไปแล้ว อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่จากไป ทิ้งเศษซากอันเละเทะไว้ให้จ้งชิวเก็บกวาดคนเดียว
หลังจากส่งเฉาฉิงหล่างถึงโรงเรียนแล้ว เฉินผิงอันก็ย้อนกลับมาทางเดิม เขาถือร่มเดินบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ เมื่อราชสำนักเริ่มคลายการป้องกันอันเข้มงวดที่มีต่อเมืองแห่งนี้จึงพอจะมองเห็นผู้คนมาเดินบนถนนได้อย่างบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในยุทธภพที่ค่อนข้างใจกล้า มาที่นี่เพื่อชมสนามรบ จุ๊ปากชื่นชมร่องลึกที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นแหวกผ่าเอาไว้
ส่วนแถบภูเขากู่หนิวยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้าม ถูกล้อมอาณาเขตห้ามคนเข้าออก ราชสำนักออกคำสั่งว่าผู้ที่ละเมิดกฎสามารถสังหารได้ทันที รอบด้านมีเงาร่างของขุนนางกองดาราศาสตร์ให้เห็นอยู่หลายคน กระท่อมที่สร้างขึ้นหยาบๆ ซึ่งอวี๋เจินอี้ทิ้งไว้หลังนั้นก็ถูกรื้อทิ้งเช่นกัน
จอมยุทธ์ในยุทธภพบางส่วนที่เห็นเฉินผิงอันก็คิดแค่ว่าเขาคือคนที่เดินทางมาที่นี่เพราะชื่นชมเลื่อมใสมาดของปรมาจารย์เช่นเดียวกับพวกเขา
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะแวะไปเยี่ยมเยือนที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ คนเฝ้าประตูเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่ ‘มาหาเรื่อง’ อีกทั้งบุคลิกยังดูไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบไปแจ้งข่าวแก่เจ้าของศูนย์อย่างรวดเร็ว อาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นผู้สอนหมัดออกมาต้อนรับเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ได้ยินว่าฝ่ายหลังมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของศูนย์ฝึกพวกเขาก็ให้ภาคภูมิใจ ลูกศิษย์ที่ติดตามมาด้วยก็รู้สึกได้หน้าได้ตา ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังสามารถพูดถึงวิชาหมัดของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ได้เป็นฉากเป็นตอนและมีเหตุผล พูดคุยกันไม่กี่คำก็ได้ใจผู้เฒ่าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์แห่งนี้มาจริงๆ รายได้ที่แท้จริงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ในเมืองหลวงนั้นมาจากการตกปลาตัวใหญ่ที่ฝันใฝ่ในยุทธภพอีกทั้งในกระเป๋ายังมีเงินมาก มีลูกหลานคนรวยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่พวกนี้ช่วยหนุนหลัง ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ถึงได้มีกำไร ลูกศิษย์ที่ทนกับความลำบากได้และมีพรสวรรค์คือส่วนใน คุณชายที่มาเรียนในศูนย์ฝึกวรยุทธ์เพราะหวังความบันเทิงคือหน้าตาส่วนนอก สองอย่างนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
อาจารย์ผู้เฒ่ารับรองเฉินผิงอันอยู่ในห้องรับแขก เขาบอกให้ลูกศิษย์ไปยกน้ำชามา แล้วเริ่มพูดคุยกัน
พอคุยถึงเรื่องการปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนวรยุทธ์ ผู้เฒ่าไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเพิกเฉยเสียเลย ยังคงพูดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถบอกแก่คนนอกได้ เพียงแต่ทอดถอนใจเอ่ยว่าไหนเลยจะหาต้นกล้าที่ดีเยี่ยมได้ง่ายขนาดนั้น หากโชคดี ใช้เวลาสี่ห้าปีก็คงได้เจอลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจนี้ หากโชคไม่ดี สิบปีก็อาจจะไม่เจอเลยสักคน
อาจารย์ผู้เฒ่ายังพูดอีกว่าการฝึกหมัดไม่ใช่แค่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งเท่านั้น ยังเหมือนการส่งอาวุธคมกริบให้แก่คนที่เรียนวิชาหมัดด้วย พวกเขาให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์การใช้วรยุทธ์เป็นอันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นยิ่งลูกศิษย์ที่สอนมามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่หากจิตใจไม่ดีงาม ชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่นก็จะยิ่งสร้างภัยร้ายได้มากเท่านั้น พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ต่อยตีคนอื่นให้ตาย สุดท้ายยังจะทำให้สำนักและศูนย์ฝึกวรยุทธ์เดือดร้อนไปด้วย
เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหลักการของวิชาหมัดนอกอีกเล็กน้อย ตอนแรกอาจารย์ผู้เฒ่ายังอึกๆ อักๆ สีหน้าลำบากใจ เฉินผิงอันแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง บอกว่าตัวเองลืมเรื่องสำคัญไป ก่อนจะหยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมาวางไว้บนโต๊ะชาที่อยู่ด้านข้าง บอกว่าช่วงนี้คิดจะมาเรียนวิชาหมัดที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ แต่ไม่รับรองว่าจะมาทุกวัน ดวงตาของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นประกายวาบ แล้วถึงได้พูดถึงหลักการของวิชาหมัดที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีให้เฉินผิงอันฟังอย่างหมดเปลือก
เฉินผิงอันจดจำทุกเรื่องไว้ในใจแล้วลองเอามาเปรียบเทียบกับ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ เมื่อได้ฟังหลักการวิชาหมัดอย่างหยาบๆ เหล่านี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็ตัดสินใจได้แล้วว่า วิชายุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ที่จะรวบรวมมาควรเริ่มจากต่ำไปสูง ไม่ต้องมากเกินไป วันหน้าเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถเอามาพลิกเปิดอ่านได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเกิดขึ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เอาการเดินนิ่งหกก้าวมาผสานรวมเข้ากับท่าหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิว จึงทำให้เฉินผิงอันฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ อีกทั้งเมื่อน้ำมาคลองก็เสร็จ (เปรียบเปรยว่าเมื่อเงื่อนไขสุกงอม เรื่องต่างๆ ก็สำเร็จลงด้วยดี) เป็นไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะ ‘พลังอำนาจ’ ตอนที่ติงอิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของวัดป๋ายเหอ และตอนที่จ้งชิวปรากฎตัวครั้งแรกแล้วเดินเข้ามาหาตน คำว่าฟ้าและคนผสานรวมกันเป็นหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงใต้หล้าไพศาลอาจจะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นมาเพิ่มเติม
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่า โอกาสในการฝ่าขอบเขตห้าสู่ขอบเขตหกในอนาคตก็อยู่ในความลี้ลับที่ว่านี้ เฉินผิงอันเดาเอาว่าเมื่อเขาออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณบางเบาแล้ว ตัวเองก็จะตกอยู่ในสภาพจมโคลนซึ่งคล้ายคลึงกับตอนที่ฝานกว่านเอ่อร์อยู่นอกตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอ นั่นคือความรู้สึกอืดอาดชักช้าเหมือนบนร่างแบกหินหนักอึ้ง แล้วก็เหมือนตอนที่หยางเหล่าโถวฝังยันต์ปราณที่แท้จริงสี่แผ่นลงบนข้อมือและข้อเท้าของตน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันมีชีวิตนับตั้งแต่ฝึกวิชาหมัดมา เขาเริ่มนึกถึงผลได้ผลเสียของตัวเอง ระหว่างที่รับมือกับศัตรูแล้วบรรลุวิชาหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิวก็คือตัวอย่าง
ตอนแรกที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาก็เพื่อต่อชีวิต นั่นเป็นการตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างยากลำบาก ทำไปตามขั้นตอน ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทางแม้แต่น้อย เดินนิ่งหกก้าวและยืนนิ่งเจี้ยนหลูถูกฝึกครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระบวนท่าหมัดเกือบจะถูกเขาต่อยให้เละละเอียด จดจำได้ขึ้นใจ ผสานรวมเข้าไปยังจิตวิญญาณ ภายหลังผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้ หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าสอนอะไร เฉินผิงอันก็เรียนสิ่งนั้น
ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่ฝึกหมัดมาจนถึงก้าวนี้ หากอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยแล้วเรียกว่าร่อแร่เกือบตาย ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอ หากคิดจะพัฒนาไปอีกก้าวก็ต้องทนรับความลำบากให้ได้มากกว่าเก่าถึงจะทำสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับโอกาสในการเปิดสติปัญญาของตัวเองให้โล่งกว้าง คนอื่นไม่อาจบอกได้ เพราะบอกแล้วกลับจะทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์
แต่เฉินผิงอันกลับตระหนักไม่ได้ว่า เขาฝึกท่าหมัดหนึ่งล้านครั้งถึงจะเริ่มมีความคิดความอ่านเช่นนี้ ทว่ากับเรื่องการฝึกกระบี่ เขากลับเรียนรู้แล้วเอามาปฏิบัติใช้จริงได้ตั้งนานแล้ว กระบี่ที่อาจารย์ฉีทำลายค่ายกลของหลิ่วชื่อเฉิงชุดชมพูในวัดร้าง กระบี่ที่วิญญาณกระบี่ ‘ชักออกจากฝัก’ ในภาพวาดภูเขาและแม่น้ำ กระบี่ที่ตนฟันไปยังภูเขาสุ้ยซาน
ล้วนเป็นกระบี่ของเขาเฉินผิงอันทั้งสิ้น
อาเหลียงเคยบอกว่าหากเขาเฉินผิงอันฝึกวิชากระบี่ต้องได้ดีกว่าวิชาหมัดอย่างแน่นอน
ซึ่งก็คือเหตุผลข้อนี้
คนที่สอนวิชาหมัดหรือสอนวิชากระบี่ วิชาหมัดสูงส่งเกินไป วิชากระบี่เลิศล้ำเกินไป คนที่เรียนวิชาหมัดและวิชากระบี่ก็ยิ่งยากจะเปลี่ยนจากตายตัวมาเป็นมีชีวิต
อุปสรรคและความยากลำบากระหว่างเส้นทางที่ก้าวไป เจิ้งต้าเฟิงก็คือตัวอย่างที่ชัดเจน พรสวรรค์ดีพอ ขอบเขตสูงมากพอ เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าพอไปอยู่นครมังกรเฒ่า เมื่อคาบเกี่ยวอยู่ตรงเส้นระหว่างความเป็นความตาย กลับต้องอาศัยประโยคจากคนที่มองอยู่ด้านข้างอย่างเฉินผิงอัน ที่บอกว่า ‘ศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าครูเสมอไป’ ถึงจะฝ่าทะลุคอขวดได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!