กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 330

สรุปบท บทที่ 330.3 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 330.3 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 330.3 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 330.3 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา
ProjectZyphon
เฉินผิงอันปลุกเผยเฉียนตั้งแต่เช้า คนทั้งสองกินอาหารแห้งง่ายๆ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ตั้งใจเดินอ้อมผ่านทิศทางที่ตั้งของจวนจินหวงแห่งนั้น

เฉินผิงอันดีดตัวกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ตนหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

งานเลี้ยงฉลองแต่งงานของเทพภูเขา เหตุใดถึงกลายเป็นการเข่นฆ่าที่เหมือนไฟลามทุ่งแบบนี้ไปได้?

สนามรบที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้มีบุรุษเกราะทองคนหนึ่งกำลังร่ายเวทคาถา ไอน้ำแผ่อบอวลไปทั่วพื้นดิน เขายืนอยู่บนกระดูกสันหลังสีเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ของสัตว์ตัวหนึ่ง ในมือถือทวนเหล็ก

มือกระบี่โครงกระดูกขาวเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว ต่อให้มันจะพยายามทุ่มอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังเรียกรวมผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งมาอย่างลับๆ แต่เมื่อเจอกับปีศาจใหญ่แห่งสายน้ำที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตนนี้ มันและผู้ใต้บังคับบัญชามากมายของเจ้าเมืองก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี เพียงแต่ว่าจวนจินหวงได้เปรียบในเรื่องของชัยภูมิ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างจึงล้มตายเสียหายไม่ต่างกัน

บุรุษชุดคลุมสีทองคนหนึ่งเดินออกจากตำหนักหลักที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว พอเดินออกจากประตูก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ร่างของเขาพลันขยายใหญ่ สองจั้ง สามจั้ง ห้าจั้ง รอจนกระทั่งไปถึงปากทางเข้าหุบเขา ร่างสีทองอร่ามของเขาก็สูงถึงสิบจั้งแล้ว เขาพลันกระโดดตัวขึ้นสูง พริบตาเดียวก็ก้าวผ่านสนามรบที่การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ปล่อยหมัดต่อยไปบนศีรษะของสัตว์ประหลาดที่มีร่างเป็นปลาสีเขียวตัวนั้น

เฉินผิงอันไม่ชมศึกต่ออีก พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “ไปกันเถอะ”

เผยเฉียนถามหยั่งเชิง “เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง ในหูมีเสียงดังครืนๆ อยู่ตลอดเวลาเลย”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนเสร็จนานแล้วออกมา เอามาคีบไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วตบลงบนหน้าผากของเผยเฉียนเบาๆ โดยเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย จึงไม่บดบังการมองเห็นของนาง พลางเอ่ยเตือนว่า “ตั้งใจเดินทางอย่างเดียวก็พอ มันไม่มีทางร่วงลงมา แต่ก็อย่าฉีกมัน เมื่อมีมันอยู่ ภูตผีปีศาจทั่วไป หากเห็นเจ้าแล้วจะถอยห่างไปด้วยตัวเอง”

ทว่าเวลานี้เอง เสียงคำรามดังสะเทือนเลือนลั่นราวฟ้าผ่าพื้นดินแตกแยกก็ดังขึ้น

นางตกใจสะดุ้งโหยง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกขาอ่อนเดินไม่ไหว พูดเสียงสั่น “ข้ากลัว ขาไม่เชื่อฟัง เดินไม่ไหวแล้ว”

สำหรับภูตผีปีศาจในป่าเขาที่กินเนื้อคนในความรู้สึกของนางเหล่านั้น นางกลัวจริงๆ ตอนนี้จึงไม่ได้แกล้งสำออยให้เฉินผิงอันสงสาร

เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย ครั้นจึงหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาอีกแผ่นหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนถือไว้ในมือ “ยันต์สองแผ่นนี้ล้วนเป็นสิ่งของของเทพเซียน ปกป้องเจ้าได้แน่นอน”

เผยเฉียนชำเลืองตามองยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องหน้า แล้วค่อยมองยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ในมือแผ่นนั้น พูดเสียงสะอื้น “ให้ยันต์ข้าเพิ่มอีกสักแผ่นเถอะ ข้าจะได้ถือไว้ทั้งสองมือ”

เฉินผิงอันจึงได้แต่หยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาให้นางอีกหนึ่งแผ่น เผยเฉียนที่ถือยันต์ไว้มือละหนึ่งแผ่นเดินไปได้สองก้าวก็โซเซ ยังคงไม่มีเรี่ยวแรง นางตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ

เฉินผิงอันพูด “ยันต์สองแผ่นบนมือมีราคามาก ถือไว้ให้ดี แผ่นที่อยู่บนหน้าผากก็ยิ่งล้ำค่า เอาไปซื้อบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้เลย หากเจ้าสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง เดินตามข้าไปได้ทัน ข้าก็จะลองพิจารณาดูว่าจะมอบให้เจ้าหนึ่งแผ่น”

เด็กหญิงผอมแห้งน้ำตาคลอเจียนจะหยด ใบหน้าดำเกรียมยับยู่ เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่หลอกข้านะ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เสียงสวบดังทีหนึ่งก็วิ่งพุ่งออกไป กางแขนทั้งสองข้างออกเหมือนคนหาบน้ำ ในมือกำยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นนั้นไว้แน่น หน้าผากยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแปะอยู่ มองดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง

นางวิ่งไปได้ระยะทางหนึ่งยังไม่เห็นว่าเฉินผิงอันตามมาก็รีบหันหน้ามาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าวิ่งเร็วๆ หน่อยสิ! หากพวกเราถูกจับได้ขึ้นมา เจ้าตัวใหญ่ พวกมันต้องกินเจ้าก่อนแน่…”

เฉินผิงอันลูบหน้าตัวเองแล้วเดินตามไปเงียบๆ

ดีนักนะ ชื่อเผยเฉียนนี้ไม่ได้ตั้งมาอย่างเสียเปล่าจริงๆ

คราวนี้เด็กหญิงผอมแห้งไม่กล้าแอบอู้อีก นางวิ่งเร็วมาก แล้วก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย

เฉินผิงอันเอาชือซินออกมาห้อยไว้ตรงเอว อีกฝั่งหนึ่งของเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาตรงข้ามกันพอดี

สะพายห่อสัมภาระไว้เฉียงๆ ในมือยังถือเบ็ดตกปลา ก้าวเดินไปตามฝีเท้ายามวิ่งของเผยเฉียน เดินเคียงข้างนางไปตลอดเวลา

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กังวลถึงความอันตราย ขอแค่ไม่เอาตัวไปไว้ในใจกลางของสนามรบก็ไม่เสี่ยงแล้ว

เผยเฉียนก้าวเดินถี่กระชั้น ความเร็วในการวิ่งเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว แต่เพื่อหนีเอาชีวิตรอดก็ดูเหมือนว่านางจะดึงเอาความคล่องแคล่วและสติปัญญาทั้งหมดมาใช้แล้ว ถึงวิ่งไปบนทางภูเขาได้ไกลถึงสองสามลี้ในรวดเดียว ต้องรู้ว่าเส้นทางภูเขานั้นเดินได้ยากกว่าเส้นทางในเมืองมาก หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้หยุดพัก แต่เปลี่ยนเป็นท่าก้าวเดินปกติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน รอจนคืนสติกลับมาถึงชักขาออกวิ่งอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา

นี่ทำให้เฉินผิงอันที่แอบสังเกตเด็กหญิงอยู่เงียบๆ อึ้งตะลึงไปนาน

จำต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของนางดีมากจริงๆ

นี่ไม่ใช่สายตาของเฉินผิงอันตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู

แต่เป็นสายตาของเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าหลังจากสังหารติงอิง

ทว่าเรื่องการฝึกตนนี้ก็เหมือนท่าทีที่หร่วนฉงเคยปฏิบัติต่อเฉินผิงอัน ขอแค่ไม่มองว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันก็ไม่มีทางถ่ายทอดวิชาให้แม้แต่คำเดียว ไม่อาจเป็นอาจารย์และศิษย์กันได้ ต่อให้เป็นศูนย์ฝึกวรยุทธ์ที่ตั้งอยู่ข้างตรอกจ้วงหยวนพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้น แม้อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่ก็ยังยืนกรานว่าหากลูกศิษย์ฝ่ายในไม่มีคุณธรรมในการฝึกวรยุทธ์ก็จะไม่มีทางถ่ายทอดวิชาหมัดอันสูงส่งให้เด็ดขาด แค่ให้ลูกศิษย์สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ก็พอแล้ว

เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีความคิดที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดให้เผยเฉียนเลยแม้แต่น้อย

เพราะสภาพจิตใจของนางตามตบะของตัวเองไม่ทัน ฝึกวิชาหมัด เรียนมรรคกถาระดับสูง นอกจากรังแกคนอื่น ก่อกรรมทำชั่ว ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นตามใจตัวเองปรารถนาแล้ว จะยังทำอะไรได้อีก? อวี๋เจินอี้ถูกเขาด่าคำเดียวว่าฟักเตี้ยก็คิดจะสังหารคนแล้ว ผู้สูงส่งอยู่ในตำแหน่งสูง การกระทำง่ายๆ อย่างแค่ดีดนิ้วหรือสะบัดปลายแขนเสื้อของพวกเขา อาจกลับกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ล่างภูเขา

คนเราย่อมมีเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ว่าเผยเฉียนจะมีพรสวรรค์ดีมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กอายุเก้าขวบ ร่างกายยังอ่อนแอ พอวิ่งออกไปได้เจ็ดแปดลี้ก็สิ้นเรี่ยวแรง ขยับเดินต่อไม่ไหวอีกแม้แต่ก้าวเดียว นางยืนอยู่ที่เดิม เริ่มคร่ำครวญด้วยความเสียใจ มองชุดคลุมสีขาวของเฉินผิงอันด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ความคิดแรกของนางก็คือเจ้าหมอนี่ต้องทิ้งนางไว้ ไม่สนใจนางอีกแล้วแน่ๆ

เอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น

เผยเฉียนพูดไม่ออกแล้ว

แต่นางกลัวมากว่าคนผู้นี้จะเดินหนีไป

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายนาง เผยเฉียนก็รีบฟุบตัวลงบนหลังเขา พอเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นางก็กอดคอเขาไว้ ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา

เฉินผิงอันเดินไปบนทางเส้นเล็กระหว่างต้นไม้อย่างเชื่องช้า พูดเสียงเบาว่า “ขอแค่เจ้าไม่ทำเรื่องชั่วร้าย ก็ไม่มีทางที่ข้าจะไม่สนใจเจ้า”

เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง ไม่ต้องวิ่งเองแล้วก็เริ่มมีความกล้า สีหน้าท่าทางของเผยเฉียนดีขึ้นมาหลายส่วน พูดถอนสะอื้น “ตกลง นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นคนดี”

กล่าวจบนางก็เช็ดใบหน้าเล็กๆ ลงบนไหล่ของเฉินผิงอันอย่างแรง พลิกกลับไปกลับมาสองรอบ ในที่สุดก็เช็ดน้ำมูกน้ำตาออกจากใบหน้าได้อย่างหมดจด

เฉินผิงอันแยกเขี้ยว

ฉวยโอกาสที่ตอนนี้เด็กหญิงวางการป้องกันในใจลงชั่วคราว เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “เจ้ามักจะคิดว่าข้ามีเงินแล้วก็ต้องให้เจ้าด้วย นี่เป็นเพราะอะไร? ข้ามีหรือไม่มีเงินเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ข้ามีภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งก็ต้องให้เงินเหรียญทองแดงเจ้าหนึ่งเหรียญอย่างนั้นหรือ?”

เด็กหญิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็ใช่น่ะสิ! ทำไมถึงจะไม่ให้ข้าล่ะ เจ้าเป็นคนดีไม่ใช่หรือ? เจ้าให้เงินข้าแค่ไม่กี่สิบเหรียญ ก็เหมือนว่าถอนเส้นผมบนหัวไปแค่ไม่กี่เส้นไม่ใช่หรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คนดีก็สมควรต้องทำเรื่องดีสิ”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลองเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “หากเจ้ามีเงินมากๆ แล้ววันหนึ่งข้าไม่มีเงินแล้ว เจ้าก็จะยอมให้เงินข้าฟรีๆ โดยไม่คิดอะไรอย่างนั้นหรือ?”

นางเงียบไม่ยอมตอบ

มองดูเหมือนว่าวาสนาและหายนะอยู่บนปลายฝั่งสองด้านที่ห่างไกลกัน แต่อันที่จริงกลับอยู่ใกล้กันแค่ชั่วนกจิกอาหารเท่านั้น

เจ้าเมืองเทพภูเขาท่านนั้นกล่าวอย่างอับอาย “ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจำไว้แล้ว”

เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนเดินไปได้อีกหลายสิบลี้ก็วางนางลง หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยจ้องมองตากัน

นางทำหน้าเลื่อนลอยแกล้งโง่

เฉินผิงอันยื่นมือออกมา

นางยู่หน้าเล็กๆ ตบยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน “ยกให้ข้าแผ่นหนึ่งไม่ได้หรือ? ข้าวิ่งอยู่บนทางภูเขามาตั้งไกลขนาดนั้น สุดท้ายก็วิ่งไม่ไหวจริงๆ นี่นา”

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต้องทำให้ดีกว่านี้หน่อย”

เด็กหญิงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินตามมาด้านหลังเขาเงียบๆ

คนใจไม้ใส้ระกำ

คนดีอะไรกัน ถุย ข้ามันตาสุนัขมืดบอดจริงๆ

เฉินผิงอันบิดหูของนาง “วันๆ เอาแต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องดี”

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องโอ้ยๆๆ เสียงดัง “ไม่กล้าแล้วๆ”

เฉินผิงอันถึงได้ยอมปล่อยมือ

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็บิดหูนางอีก

เด็กหญิงตาแดงก่ำ พูดสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ครั้งนี้ไม่กล้าแล้วจริงๆ!”

เดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว เฉินผิงอันเพิ่งจะยื่นมือออกมา เผยเฉียนก็นั่งแปะลงไปบนพื้น ร้องไห้จ้าเสียงดัง

เฉินผิงอันไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป

นางเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดินก็รีบหยุดร้อง ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองด่าเจ้าหมอนั่นในใจ นางจึงหาวิธีที่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ นั่นคือเริ่มท่องเนื้อหาในตำราที่ได้เรียนมา สภาพตอนนี้เรียกว่าน่าอนาถจริงๆ

เฉินผิงอันไม่สนใจนางอีก

เดินอยู่ท่ามกลางผืนป่ากว้างขวางที่มีต้นไม้รกครึ้ม

นึกถึงตราประทับตัวอักษรภูเขาชิ้นนั้น เฉินผิงอันก็ยิ่งเงียบงัน

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!