กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 335

บทที่ 335 โลกมนุษย์หนทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง
ProjectZyphon
หลังจากพระอาทิตย์ลับหายไปทางภูเขาทิศตะวันตกแล้ว แสงสนธยาก็ยิ่งเข้มข้น อาศัยช่วงที่แสงสุดท้ายยังอาวรณ์โลกมนุษย์ บุรุษชุดเขียวที่วิ่งไล่กวดอยู่กับเด็กหนุ่มขาเป๋พลันหยุดวิ่ง มองไปยังสุดปลายของถนนเส้นที่อยู่ทางทิศใต้ เด็กหนุ่มขาเป๋ฉวยโอกาสต่อยไหล่เขาหนึ่งที ร่างของบัณฑิตตกอับโงนเงน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจเขา เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกประหลาดใจจึงมองไปทางทิศใต้ตามสายตาของบัณฑิตผู้นี้ แต่เขามองไม่เห็นอะไร เลยนึกว่าบัณฑิตจงใจทำให้เขาเสียสมาธิจึงเตรียมจะป้อนหมัดให้อีกฝ่ายต่ออีกครั้ง วันหน้าเขาจะได้ไม่กล้ามาลามปามเถ้าแก่เนี้ยะของตนอีก

ทว่าทันใดนั้นเด็กหนุ่มพลันใจสั่น รีบทรุดตัวลงนอนหมอบ เอาหูแนบพื้นสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเป็นเสียงของทหารม้ากองหนึ่ง แถมจำนวนยังไม่น้อย เมืองหูเอ๋อร์นอกจากทหารของจุดพักม้าที่อาจจะผ่านทางมาเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่เคยมีกองทัพใหญ่ปรากฎตัวมาก่อน พวกคนหนุ่มสาวในเมืองหูเอ๋อร์ชื่นชมบารมีของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาจึงมักจะรวมกลุ่มกันไปยังเมืองกว้าเจี่ยจวินที่อยู่ห่างไปไกล พวกเขาถึงจะพอมีโอกาสได้เห็นกองทัพใหญ่อยู่ไกลๆ บ้าง

ในสายตาของลูกหลานตระกูลคนยากจนในเมืองหูเอ๋อร์ เกราะเหล็ก ม้าศึก หน้าไม้ มีดดาบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงความองอาจของบุรุษได้ดีที่สุดในใต้หล้า

เด็กหนุ่มขาเป๋เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าคนวัยเดียวกันในเมืองหูเอ๋อร์ไม่ชอบพาเขาไปเล่นด้วย

เวลานี้เด็กหนุ่มขาเป๋ทิ้งลูกค้าชุดเขียวให้อยู่คนเดียว ส่วนตัวเองเข้าไปแจ้งข่าวกับเถ้าแก่เนี้ยะในห้องโถงใหญ่ สตรีแต่งงานแล้วที่กำลังอ้าปากหาวตอบแค่ว่ารู้แล้ว ทหารพวกนี้ไม่มีทางสนใจโรงเตี๊ยมของพวกเราและเมืองหูเอ๋อร์แน่นอน มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นทหารที่เร่งเดินทางยามค่ำคืน มุ่งหน้าไปยังเมืองกว้าเจี่ยจวินที่อยู่ทางเหนือ ไม่จำเป็นต้องสนใจ

เด็กหนุ่มขาเป๋ร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วรีบวิ่งออกจากโรงเตี๊ยม ปีนขึ้นไปบนหลังคา ยกมือบังไว้ตรงหว่างคิ้ว เขม้นสายตามองไปไกล ฉวยโอกาสตอนที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง เขาคิดอยากจะมองการแต่งตัวของกองทัพม้าเหล็กชายแดนในระยะใกล้สักหน่อย วันหน้าที่เถ้าแก่เนี้ยะสั่งให้เขาไปซื้อพวกข้าวสาร น้ำมันในเมืองหูเอ๋อร์จะได้เอาไปโอ้อวดกับคนวัยเดียวกัน

ห่างออกไปไกลบนเส้นทางพอจะมองเห็นฝุ่นคลุ้งตลบได้รางๆ แรงสั่นสะเทือนอื้ออึงส่งมาจากพื้นดิน ยิ่งนานก็ยิ่งชัดเจน

ทว่าสีท้องฟ้าไม่รอคอยคน เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เขารีบปีนลงมาจากหลังคา เข้าไปในห้องโถง ถามเถ้าแก่เนี้ยะว่าแขวนโคมไฟเลยได้ไหม สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ แขวนโคมไฟเร็วขนาดนี้ ใครจะเป็นคนจ่ายค่าเทียน? เด็กหนุ่มขาเป๋ตบอกบอกว่าข้าจ่ายเอง หากไม่ไหวจริงๆ ก็จดไว้ในบัญชีของผู้เฒ่าหลังค่อมก่อน สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มขาเป๋จึงเอาโคมใหญ่สองดวงไปแขวนไว้นอกโรงเตี๊ยมด้วยความเบิกบาน เพิ่งจะเตรียมปีนขึ้นไปบนหลังคาก็สังเกตเห็นว่ามีม้าตัวหนึ่งอ้อมออกจากทางหลวงมาปรากฏอยู่นอกโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ คนบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะแวววาวที่งดงามอย่างยิ่ง ไม่ใช่เสื้อเกราะรูปแบบธรรมดาทั่วไปที่ทหารชายแดนตระกูลเหยาสวมใส่กัน ทหารม้านายนั้นปลดหมวกเกราะลงมาถือไว้ตรงหน้าอก ถามด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “มีเหล้าบ๊วยขายใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มขาเป๋กลืนน้ำลาย ตอบด้วยความอกสั่นขวัญแขวน “ตอบท่านทหาร มีเหล้าบ๊วยขาย”

ทหารม้าคนนั้นกล่าวเสียงหนัก “ภายในหนึ่งก้านธูป บอกให้เถ้าแก่ทำโรงเตี๊ยมให้ว่าง จากนั้นเตรียมอาหารห้าโต๊ะ เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดออกมา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะจ่ายให้พวกเจ้าโดยไม่ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว หากเหล้าบ๊วยอร่อยจริงสมคำเล่าลือยังจะมีรางวัลก้อนโตให้อีก! จำไว้ว่าเมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเราจะส่งคนไปตรวจสอบห้องทั้งหมด หากยังมีคนตกค้างอยู่ในห้องจะถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อพวกเราจากไปแล้ว แขกที่เข้าพักทุกคนสามารถกลับเข้าไปพักได้ใหม่”

ทหารม้าสวมหมวกเกราะกลับลงไปบนศีรษะอีกครั้ง แล้วจึงหันหัวม้ากลับหลังควบตะบึงจากไป

เด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าแข็งทื่อ แขกชุดเขียวนั่งยองอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมเพียงลำพัง หมาตัวนั้นกลับบ้านของตัวเองไปแล้ว แต่เขากลับยังไม่มีที่พักค้างแรม เห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนเหม่อก็เอ่ยเตือนว่า “รีบไปบอกจิ่วเหนียงเร็วเข้า หากทำให้คนสูงศักดิ์ในเมืองหลวงพวกนี้โมโห โรงเตี๊ยมคงเปิดกิจการต่อไปไม่ได้อีก”

เด็กหนุ่มขาเป๋รีบวิ่งแผล็วเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วไปหาผู้เฒ่าหลังค่อม กำลังปรึกษากันอยู่ พอเด็กหนุ่มขาเป๋ไปถึงเลยต้องรับหน้าที่เป็นทัพหน้า ให้เขาเป็นคนไปแจ้งสถานการณ์ให้พวกแขกรู้อย่างชัดเจน รบกวนให้พวกเขารีบออกจากโรงเตี๊ยมไปก่อน จะได้ไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อ

เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สตรีแต่งงานแล้วโบกมือหนึ่งครั้ง บอกว่าจะไม่คิดค่าเทียนทั้งหมดแล้ว เด็กหนุ่มขาเป๋รีบพุ่งไปที่ชั้นสองทันที ห้องพักแรกเป็นห้องของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มขาเป๋แจ้งข่าวแก่แขกที่มาเปิดประตู เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังบอกด้วยรอยยิ้มว่าแขกในอีกสองห้องที่เหลือเขาจะไปบอกเอง ให้เด็กหนุ่มไปแจ้งคนที่พักอยู่ห้องอื่นได้เลย เด็กหนุ่มขาเป๋เอ่ยขอบคุณแล้วรีบร้อนจากไป

เผยเฉียนเปิดประตู ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะถูกจุดแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งวางแบไว้ด้านข้าง นางยิ้มพูดว่าข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่น่ะ

เฉินผิงอันไม่ได้เปิดโปงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของนาง อันที่จริงเผยเฉียนกำลังเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องของจูเหลี่ยนกับเว่ยเซี่ยน พอได้ยินเสียงเคาะประตูถึงรีบหยิบหนังสือออกมาจากห่อสัมภาระ แล้วเอามาจัดวางให้เฉินผิงอันเข้าใจว่านางกำลังอ่านหนังสือ

เฉินผิงอันบอกให้นางเก็บสัมภาระ เพราะจำเป็นต้องออกไปจากโรงเตี๊ยมชั่วคราว

ห้องที่อยู่ติดกัน จูเหลี่ยนเปิดประตูห้องออกมาแล้ว เขาพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากเว่ยเซี่ยนมาเปิดประตูให้ก็หลับไปอีกครั้ง ข้าไปปลุกเขาให้นายน้อยดีไหม?”

ตอนที่จูเหลี่ยนกำลังจะหมุนตัวกลับ เว่ยเซี่ยนที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วร่างก็ลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขานวดคลึงหว่างคิ้ว พูดกับคนทั้งสองว่า “ตื่นแล้ว”

มือปราบสามคนของเมืองหูเอ๋อร์ซึ่งรวมถึงตัวหม่าผิงเอง พอได้ยินว่าจะมีกองทัพทหารม้าผ่านมาก็เอะอะโวยวาย แต่สุดท้ายก็ยอมออกไปจากห้องพักแต่โดยดี

เด็กสาวผูกผมหางม้ายืนอยู่ตรงระเบียงนอกห้อง นางพักห้องที่ตั้งอยู่สุดปลายทางของระเบียงชั้นสอง เวลานี้กำลังถลึงตามองไปยังสตรีแต่งานแล้วที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง “โรงเตี๊ยมของเจ้ารับรองแขกกันแบบนี้หรือ? ช่างเปิดหูเปิดตาให้ข้าจริงๆ ไม่นึกเลยว่าในชายแดนแห่งนี้จะยังมีคนที่กล้าทำตัวไร้เหตุผลภายใต้เปลือกตาของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา ข้าอยากจะเห็นนักว่าเป็นเทพเซียนจากที่ใด ถึงได้สามารถไล่คนทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมด้วยคำพูดประโยคเดียว!”

เด็กสาวใช้มือข้างเดียวเท้าราวระเบียงแล้วกระโดดลงไปจากชั้นสองโดยตรง ทำเอาพวกหม่าผิงสามคนที่มองอยู่หนังตากระตุก นังหนูบ้านไหนถึงมีฝีมือได้ขนาดนี้

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเจื่อน ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด

ผู้เฒ่าหลังค่อมถือกระบอกสูบยา คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าไปคุยให้เองแล้วกัน พวกเราเปิดโรงเตี๊ยมต้อนรับแขก จะแบ่งแยกคนจนคนรวยได้อย่างไร”

ผู้เฒ่าเดินดิ่งออกจากโรงเตี๊ยม เรือนกายหายไปท่ามกลางแสงราตรีอันกว้างใหญ่

สตรีแต่งงานแล้วหันไปเอ่ยขออภัยแขกสองกลุ่มที่อยู่บนชั้นสอง “อีกเดี๋ยวพวกเจ้าแค่อยู่ในห้องของตัวเองก็พอ เรื่องในคืนนี้เป็นโรงเตี๊ยมของพวกเราที่ผิดต่อทุกท่าน หลังจบเรื่องจะมอบเหล้าบ๊วยหมักห้าปีให้พวกเจ้าคนละหนึ่งไห”

เด็กสาวทะยานตัวกลับมาที่ชั้นสอง ปิดประตูห้องตามหลังดังปัง

พวกหม่าผิงสามคนก็กลับห้องไปอย่างขุ่นเคือง

เฉินผิงอันบอกให้เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนไปนั่งที่ห้องเขาก่อนสักครู่หนึ่ง ส่วนเผยเฉียนก็แน่นอนว่าไม่ต้องพูดให้มากความ

สตรีแต่งงานแล้วบอกให้เด็กหนุ่มขาเป๋ออกไปข้างนอก ไปบอกให้บัณฑิตแซ่จงคนนั้นเลือกห้องพักที่ชั้นสอง อย่าป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอกให้เกะกะสายตาของคนอื่น

บัณฑิตชุดเขียวเลือกห้องพักที่ชั้นสองได้แล้วก็มายืนฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง สตรีแต่งงานแล้วยื่นนิ้วชี้มาทางเขา “ไสหัวเข้าไปในห้อง”

บัณฑิตกล่าวอย่างเป็นกังวล “จิ่วเหนียง เจ้าหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ ทหารนิสัยหยาบกระด้างพวกนั้นจะคิดชั่วกับเจ้าหรือไม่ พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ยิ่งง่ายที่จะทำตัวเหลวไหล…”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้เป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามพอดีไม่ใช่หรือ หากข้าตาบอดขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะมอบชีวิตตอบแทนเจ้าก็ได้”

เขาโบกมือปฏิเสธ “ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นอ่อนแอ มิใช่การกระทำของวิญญูชน จิ่วเหนียงเจ้าวางใจเถอะ บัณฑิตอย่างพวกเรามีปราณแห่งความเที่ยงธรรมอยู่เต็มร่าง บวกกับหลักการอริยะปราชญ์ที่มีอยู่เต็มท้อง ขอแค่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ เชื่อว่าต่อให้พวกเขาจะดื่มมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเกิดความคิดชั่วร้ายได้แน่นอน…”

ไม่รอให้สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอะไร เด็กสาวแซ่เหยาที่อยู่ในห้องห่างไปไกลก็เปิดประตูออกมา ชักดาบออกจากฝักมาครึ่งหนึ่งจนเกิดเสียงโลหะเสียดสีดังกังวาน ตวาดใส่บัณฑิตเสียงกร้าว “เจ้าบ้ากาม หุบปากเดี๋ยวนี้!”

เห็นได้ชัดว่าดาบของเด็กสาวใช้ได้ผลกว่าหมัดและเท้าของเด็กหนุ่มขาเป๋มาก บัณฑิตรีบเดินเข้าไปในห้องทันที ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ

ยิ่งเป็นเช่นนี้ เด็กสาวยิ่งผิดหวังในตัวของสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ชั้นล่าง ตลอดทั้งปีเอาแต่มั่วสุมอยู่กับผู้ชายพวกนี้ นั่งดื่มนั่งกิน แตกต่างจากสตรีในหอโคมเขียวตรงไหน?

เข้าไปในห้อง เด็กสาวนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ อารมณ์เศร้าใจตีตื้นขึ้นมาจึงเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

สตรีแต่งงานแล้วยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ถอนหายใจหนึ่งที เทเหล้าบ๊วยให้ตัวเองหนึ่งชาม

เสียงตุ้บดังขึ้น

สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าบัณฑิตกระโดดจากชั้นสอง ร่วงตกลงมาบนพื้น พอลุกขึ้นยืนก็เดินมาทางโต๊ะขึ้นเงินแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง คิดซะว่าข้าเป็นคนทำบัญชีก็แล้วกัน อยู่ห่างเจ้าเกินไป ข้าไม่วางใจ”

บัณฑิตคลี่ยิ้มอ่อนโยน

สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “แต่เจ้าขี้เหร่ขนาดนี้ อยู่ใกล้เจ้าเกินไป ข้าสะอิดสะเอียน”

บัณฑิตรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ทรุดตัวนั่งยอง ยกมือกุมหัว

ที่แท้คำพูดออดอ้อนกระหนุงกระหนิงของบุรุษมากความสามารถกับสตรีงดงามในนิทาน คำรักรื่นหูของชายหญิงที่เคยเห็นเคยอ่านมาล้วนเป็นเรื่องโกหก ใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว

ผู้เฒ่าหลังค่อมเดินนำเข้ามาในโรงเตี๊ยมก่อน

ด้านหลังมีคนกลุ่มหนึ่งติดตามมา น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างมีเหตุผลจึงไม่ได้ไล่แขกที่พักบนชั้นสองออกไป แล้วก็ไม่ได้กรูกันเข้ามานั่งเต็มโต๊ะห้าตัวในคราวเดียว

คนที่เป็นผู้นำคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีแดงหลายหม่าง (ชุดลายงูเหลือมหรือมังกรสี่เล็บ) ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา พลังอำนาจเฉียบคมน่ายำเกรง

คนสองคนด้านหลังบุรุษชุดหม่าง คนหนึ่งสวมเสื้อเกราะสีเงินที่สลักลายเมฆ เวลาก้าวเดินเกราะเหล็กบนร่างจะส่องแสงแวววาว และยังมีอีกคนหนึ่งที่อายุประมาณเจ็ดสิบปี สวมชุดผ้าแพร บนศีรษะสวมกวานสูง ลักษะท่าทางเหมือนเซียน

คนเจ็ดแปดคนด้านหลังน่าจะเป็นข้ารับใช้คนสนิท

พวกบุรุษชุดหม่างสามคนนั่งลงตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ข้ารับใช้คนอื่นๆ นั่งลงบนโต๊ะอีกสองตัว ในบรรดาผู้ติดตามมีคนหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาอยู่คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยหยกประดับหนึ่งชิ้น พอเห็นสตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม

นอกโรงเตี๊ยมคือทหารม้าเจ็ดแปดร้อยนาย ยังมีรถม้าอีกหลายสิบคัน ในรถม้าทุกคันต่างก็มีนักโทษอยู่หนึ่งคน รวมไปถึงคนสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง ทุกคนที่เฝ้ายามล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางของราชวงศ์ต้าเฉวียนโดยไม่มีข้อยกเว้น

ผู้เฒ่าหลังค่อมยู่หน้า

ผู้เฒ่านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นคนพวกนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!