หลังจากที่ห้าคนนั้นเดินออกมาจากในห้อง ลมหายใจของเด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็เริ่มหนักอึ้ง
นี่ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ
ความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นต้องเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เจือปนไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ประหนึ่งหญิงสาวผู้บอบบางเผชิญหน้ากับบุรุษที่มีความคิดชั่วร้าย ดั่งลูกน้องที่เคารพยำเกรงในอำนาจที่มองไม่เห็น ดั่งคนที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงพวกคนที่จิตใจชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิด
ทว่าอาการหายใจติดขัดที่เกิดขึ้นเมื่อเหยาหลิ่งจือมองไปยังคนห้าคนที่อยู่บนชั้นเดียวกันกลับเป็นการหยั่งรู้ที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
อยู่ในป่าผืนเดียวกัน ดั่งกระต่ายและกวางพบเสือกับหมี อยู่ในแม่น้ำสายเดียวกัน ดั่งกุ้งและปลาพบเจอเจียวกับมังกร
เหยาหลิ่งจือรับหน้าที่หน่วยสอดแนมของกองทัพชายแดนมานานถึงสามปีแล้ว มีอยู่สองครั้งที่ร่วมรบในศึกเป็นตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทว่าไม่เคยมีครั้งใดที่เหยาหลิ่งจือคิดอยากจะถอยหนี ตามหลักแล้วก็ไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้ถึงจะถูก
นางคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเหยารุ่นนี้ อายุแค่สิบสี่ปีก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อีกทั้งยังมีหวังว่าจะฝ่าคอขวดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตอนอายุสิบห้า หรือเป็นขอบเขตห้าตอนอายุสิบเจ็ด นางก็ล้วนคู่ควรกับคำว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์’ ทอดสายตามองออกไปทั่วราชวงศ์ต้าเฉวียน ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพหรือในยุทธภพ เหยาหลิ่งจือก็ถือเป็นหยกดิบชั้นเยี่ยม เพียงแค่ผ่านการเจียระไนเล็กน้อยก็สามารถส่องแสงเปล่งประกาย ไม่มีใครสงสัยว่าในอนาคตนางจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบังคับลมได้อย่างราบรื่น กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่พิชิตพื้นที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่
โดยเฉพาะในข้อที่ว่ายอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพ พลังพิฆาตจะรุนแรงมากพิเศษ นี่ก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย
ในยุทธภพ การเข่นฆ่าของปรมาจารย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการงัดข้อกับคนในระดับที่ฝีมือสูสีเท่าเทียมกัน บนสนามรบแสวงหาคำว่าหนึ่งคนคือด่านปราการอันแน่นหนา ร้อยศัตรู พันศัตรูมิอาจต่อกร
เหยาหลิ่งจือกำวัตถุชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนก้อนเงินไว้ในมือแน่น วัตถุชิ้นนี้ก็คือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังเป็นเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย (จินอูคือนกสามขาในตำนาน จิงเหว่ยหมายถึงเส้นแวงและเส้นรุ้ง) ที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเรียกเหน็บแนมว่า ‘เสื้อเกราะแอ่งน้ำ’ คือสมบัติตระกูลเซียนอย่างสมชื่อ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากองทัพชายแดนสกุลเหยาฝากความหวังไว้ที่เหยาหลิ่งจือสูงแค่ไหน
ผู้ติดตามหนุ่มมองห้าคนที่อยู่บนชั้นสองแล้วตบโต๊ะ แสร้งพูดอย่างโมโหว่า “อาศัยว่ามีคนมาก เลยคิดจะข่มขู่ข้างั้นหรือ?”
ตอนที่คนหนุ่มพูดประโยคนี้ คิ้วตาของเขากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
ในโรงเตี๊ยมมีคนนั่งอยู่เต็มสามโต๊ะ ด้านนอกยังมีทหารม้าอีกหลายร้อยนาย คงเพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองไร้ยางอายเกินไปหน่อย เขาจึงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ทหารกล้าในกองทัพซึ่งแต่งกายเป็นข้ารับใช้ที่นั่งอยู่อีกสองโต๊ะก็พากันหัวเราะตามอย่างครื้นเครง
พวกเขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวของคนบนชั้นสองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าพลังอำนาจของคนเหล่านั้นน่าเกรงขามมากพอ ถึงขั้นทำให้จิตใจคนสั่นสะเทือนได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า?
ก็แค่พวกคนบุ่มบ่ามในยุทธภพเท่านั้น
คนในยุทธภพของราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกตัดกระดูกสันหลังกันไปนานแล้ว เป็นได้แค่สุนัขกลุ่มหนึ่งที่นอนหมอบส่ายหางขอความสงสารเมตตาอยู่หน้าประตูราชสำนักเท่านั้น
และคนที่ลงมือตัด ทุบกระดูกสันหลังของทั้งยุทธภพให้แหลกละเอียดด้วยมือตัวเอง วันนี้ก็นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมพอดี
ผู้ที่เจตนาดีไม่มา ผู้ที่มาเจตนาไม่ดี
เถ้าแก่เนี้ยะที่มีฉายาว่าจิ่วเหนียงไม่ได้รู้สึกโล่งอกเพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน กลับกันยังหนักใจมากกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ท่านปู่สามแจ้งชื่อแซ่ของตัวเองไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังบีบบังคับกันถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจมาเพราะคำว่า ‘เหยา’
หากเกิดข้อพิพาทกันขึ้นมา กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะนำเรื่องนี้ไปสร้างความลำบากใจให้กับตระกูลเหยา
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ตรงผ้าม่านพยักหน้าให้สตรีแต่งงานแล้วเบาๆ
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มขื่น เดิมทีอีกฝ่ายก็เหมือนนักประพันธ์ร่ำสุรา แต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา (สุภาษิตที่มีความหมายเปรียบเปรยถึงว่าเจตนาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ แต่อยู่กับสิ่งอื่น หรือมีเจตนาอย่างอื่น) อยู่แล้ว พวกเขาอาจจะกลัวว่าใต้หล้ายังไม่วุ่นวายพอด้วยซ้ำ คงต้องการลากคนทั้งตระกูลเหยาลงน้ำ
ทั้งที่รู้ดีว่าทุกวันนี้ตระกูลเหยาอยู่ท่ามกลางมรสุมที่พัดแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่เงียบๆ ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร และนางกับโรงเตี๊ยมก็ได้แต่ทนแล้วทนอีก ทว่าเวลานี้นางกลับไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนบนชั้นสองถอยกลับไป คนเขาหวังดีออกหน้าช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับต้องการให้คนเขาทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดอง สตรีแต่งงานแล้วทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
บัณฑิตชุดเขียวกล่าวอย่างสงสัย “คนพวกนี้คือ?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเฝื่อน “ผู้สูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวง ไม่ควรมีเรื่องด้วย”
บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ขณะที่กำลังจะพูด สตรีแต่งงานแล้วก็เอ่ยอย่างระอาใจเสียก่อน “จงขุย ถือว่าข้าขอร้องเจ้า เลิกก่อกวนได้แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายมาก ข้าไม่มีอารมณ์มาสนใจเจ้าอีก”
บัณฑิตถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็ยอมปิดปากเงียบจริงๆ
เฉินผิงอันหลุบตามองต่ำมายังชั้นหนึ่ง ถามว่า “รังแกสตรีคนหนึ่งอย่างเถ้าแก่เนี้ยะ ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่กระมัง?”
ผู้ติดตามหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ออกมาทำการค้า รินเหล้าให้ลูกค้าแค่ไม่กี่จอก จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!