อ่านสรุป บทที่ 336.2 การคุมเชิงระหว่างราชสำนักกับป่าเขา จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 336.2 การคุมเชิงระหว่างราชสำนักกับป่าเขา คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
นักโทษผมเผ้ายุ่งเหยิง บนตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ก้มหน้าไม่พูดไม่จา มองเห็นหน้าตาไม่ชัด
ชุดคลุมสีทองขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี ตรงข้อมือและข้อเท้าต่างก็ถูกปักตรึงด้วยวัตถุลักษะคล้ายวัชระ
นอกจากนี้บนลำคอยังมีเชือกสีดำรัดพัน ปลายเชือกอีกฝั่งหนึ่งถูกนักพรตผู้เฒ่าถือไว้ในมือ
จุดที่น่าสังเวชที่สุดของนักโทษอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาที่ถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งแทงทะลุศีรษะ ปลายกระบี่โผล่ออกมาจากท้ายทอยด้านหลัง ปักคาหัวของเขาอยู่อย่างนี้
นักโทษคนนี้คือเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการคนหนึ่ง เคยเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด หากอยู่ในพื้นที่การปกครองของตัวเอง อย่างน้อยก็มีตบะเทียบเท่าขอบเขตแปด อยู่ในแม่น้ำและภูเขาของพื้นที่แถบหนึ่งสามารถเรียกตัวเองเป็นราชาเป็นอริยะ เมื่อเจอกับขอบเขตเก้าโอสถทองก็ยังมีพลังให้ต่อสู้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ในห้องโดยสารนอกจากผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าแล้วยังมีหญิงสาวอยู่อีกคน ดวงตาของนางที่มองนายทหารท่านนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในกลับฉายชัดโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
หน้าตาของหญิงสาวแค่เรียกได้ว่าหมดจดเกลี้ยงเกลาเท่านั้น เพียงแต่บุคลิกกลับโดดเด่น ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งยิ่งกว่าหิมะ เมื่อเทียบกับสาวงามในสายตาของมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ยิ่งคู่ควรกับคำว่า ‘นวลเนียนผุดผาด’ ถึงอย่างไรในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สาวงามในโลกมนุษย์ก็เป็นแค่เนื้อหนังมังสาที่เน่าเหม็น ผิวพรรณหยาบกระด้าง มีกลิ่นแตกต่างกันออกไป หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าเต็มไปด้วยจุดด่างพร้อย
ทหารม้าพลันหันหน้ามองไปทางโรงเตี๊ยมคล้ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สีหน้าของผู้เฒ่าเองก็เผยความตกตะลึง “ช่างเป็นพลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธ์ที่น่าตะลึงยิ่งนัก อีกทั้งยังมีจำนวนมากขนาดนี้ โรงเตี๊ยมเล็กๆ ริมชายแดนแห่งหนึ่งเป็นถ้ำพยัคฆ์บ่อมังกรได้ขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่ากั๋วกงน้อยทายถูกแล้ว เป็นยอดฝีมือของเป่ยจิ้นที่ทุ่มหมดหน้าตัก หมายจะมาชิงตัวนักโทษ?”
หญิงสาวถามหยั่งเชิง “จะให้ข้าไปเตือนท่านกั๋วกงสักหน่อยไหม?”
ทหารม้าส่ายหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราคือแผ่นดินแคว้นต้าเฉวียน เว้นเสียแต่ว่าตระกูลเหยาคิดจะก่อกบฏ ก็ไม่มีทางมีอันตรายอะไรได้”
ดวงตาของนักพรตเฒ่าชุดเต๋าเปล่งแสงวูบวาบ ไม่ได้เอ่ยคำใด
ครู่หนึ่งต่อมา เซียนซือผู้เฒ่ากำลังจะพูด ทหารม้าคนนี้กลับกระโดดลงจากรถม้า เดินตรงดิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว
หลังจากที่นายทหารม้าจากไป หญิงสาวที่มาจากตระกูลเซียนบนภูเขาคนนั้นก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ท่านกั๋วกงน้อยบีบบังคับคนตระกูลเหยาถึงเพียงนี้ อีกทั้งองค์ชายเองก็ไม่ทรงห้ามปราม จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ใต้หล้านี้ใครก็อาจก่อกบฏได้ มีแต่ตระกูลเหยาที่ไม่ทำเช่นนั้น เป็นขุนนางผู้ภักดีต่อแคว้นมานานแล้ว…”
มุมปากของผู้เฒ่าคลี่ยิ้มเย็นชา “ก็อาจจะเสพติดไปแล้วจริงๆ”
นักโทษคนนั้นยังคงก้มหน้า แต่กลับพูดกลั้วหัวเราะอย่างสาแก่ใจ “พูดถึงขุนนางผู้ภักดีและเสาหลักที่ช่วยค้ำยันชายแดน กลับใช้คำพูดดูแคลนเห็นเป็นเรื่องตลก ต่อให้ราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเจ้าจะเรืองอำนาจได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?”
“ยังกล้าปากดี!”
เซียนซือผู้เฒ่าสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง เชือกเส้นนั้นพลันรัดคอนักโทษแน่น นักโทษสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กัดฟันแน่น ให้ตายก็ไม่ยอมส่งเสียงใดออกมา
ในโรงเตี๊ยม ภาพเหตุการณ์ประหลาดพลันเกิดขึ้น
คนชุดขาวมาโผล่กลางห้องโถงใหญ่อย่างไม่มีลางบอกเหตุ
กั๋วกงน้อยเกาซู่อี้สัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี ขณะที่กำลังจะก้าวถอยหลังอย่างตกใจ กลับรู้สึกว่าตาลายในฉับพลัน และไหล่ก็ถูกคนคว้าจับเอาไว้
คนอีกสามโต๊ะที่เหลือ นอกจากขันทีที่ยังคงดื่มเหล้าอยู่เหมือนเดิม ทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว
เซียนซือกวานสูงและแม่ทัพเกราะเงินต่างลุกขึ้นยืน คิดจะช่วยเกาซู่อี้ แต่กลับต้องหยุดชะงัก
เพราะมีกระบี่ยาวสีแดงสดเล่มหนึ่งพุ่งจากชั้นสองมาหยุดลอยอยู่ระหว่างโต๊ะสองตัว ปลายกระบี่ชี้ไปที่เซียนซือกวานสูง
ส่วนแม่ทัพเกราะเงินคนนั้น หลังจากหยุดชะงักแล้วก็หันไปมอง เห็นว่ามีคนบนชั้นสองเดินขยับออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มือจับด้ามดาบ หยุดหิมะดาบแคบในมือเหมือนจะหลุดมิหลุดจากฝัก
บุรุษร่างเล็กเตี้ยพลิกตัวข้ามราวระเบียง พลิ้วกายลงตรงธรณีประตูของชั้นหนึ่ง ราวกับว่าจะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางทหารม้าหลายร้อยนายที่อยู่ข้างนอก
ขันทีวัยกลางคนที่สวมชุดหม่างสีแดงมองเหมือนคนอายุสามสิบ แต่ในความเป็นจริงกลับอายุมากถึงแปดสิบปีแล้ว คือหนึ่งในปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเฉวียน ได้รับการขนานนามให้เป็นโส่วกงไหว (ชื่อของต้นไหวชนิดหนึ่ง ตอนกลางวันใบจะหุบ ตอนกลางคืนใบจะขยายออก) แห่งวังหลวงต้าเฉวียน หลังจากที่เขามีชื่อเสียงขึ้นมา วังหลวงต้าเฉวียนที่แต่เดิมมักมีข่าวว่าภูตผีออกอาละวาดก็ไม่เคยมีข่าวลือที่แปลกประหลาดอีกเลย ทุกเรื่องเหมือนหายเข้ากลีบเมฆไปหมด
แต่ว่าจุดที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงของขันทีใหญ่ท่านนี้อยู่ที่ปีนั้นเขาสามารถซื้อใจพวกลูกสมุนในยุทธภพมาได้กลุ่มใหญ่ ไล่ตัดรากถอนโคนพรรคอันดับต้นๆ ในยุทธภพหลายสิบพรรคที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉวียน ตลอดเวลาสามปี ทั่วทุกหนแห่งในยุทธภพมีแต่ลมคาวฝนเลือด ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมก็ล้วนส่งคนมาลอบฆ่าขันทีเฒ่าผู้นี้อยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนกลับไปมือเปล่าเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น
คนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับขันทีเฒ่า เซียนซือกวานสูงชื่อว่าสวีถง คือประมุขคนปัจจุบันของอารามฉ่าวมู่ซึ่งเป็นตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในอาณาเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้า สามารถออกคำสั่งแก่ภูตผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกตัวมาให้ตัวเองใช้งาน อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือด้านวิชาแพทย์ เชี่ยวชาญการหลอมยา ยาที่หลอมออกมาคือสิ่งที่เหล่าผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์ต้าเฉวียนแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
แม่ทัพเกราะเงินสวี่ชิงโจว คือยอดฝีมือสูงสุดที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในกองทัพต้าเฉวียน อายุไม่ถึงสี่สิบปี ทว่ากลับฝึกวิชาเลี่ยนเหิงได้ถึงขั้นสูงสุดแล้ว ‘ต้าเฉี่ยว’ ดาบเล่มใหญ่ที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นอาวุธหนักชิ้นสำคัญของสำนักการทหาร ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน ทุกครั้งที่ลงสนามรบจะต้องบุกนำเป็นทัพหน้า รุดโจมตีศัตรูอย่างห้าวหาญ
เกาซู่อี้โคจรลมปราณดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ไร้ประโยชน์
เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัว กลับยังกดยิ้มลึกกว่าเดิม “ตระกูลเหยาของพวกเจ้าคิดจะก่อกบฏจริงๆ งั้นรึ?”
คนชุดขาวเพิ่มแรงอีกเล็กน้อย เกาซู่อี้ปวดไหล่แปลบเป็นระลอก แต่ก็ยังฝืนรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้
เมื่อหยกแตกเป็นผุยผง เกาซู่อี้กลับคืนสติ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดด้วยสีหน้าดุดัน “ไอ้ลูกหมา ข้าจะต้องทำให้เจ้าและตระกูลเหยาไร้ที่ฝังร่าง!”
ขันทีชุดหม่างสีแดงสดลุกพรวดขึ้นยืน คำรามเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น กี่ปีมาแล้ว ยังมีคนกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าตนแบบนี้อีกหรือ?
เถ้าแก่เนี้ยะกรีดร้องเสียงแหลม “หยุดนะ!”
เฉินผิงอันหันกลับไปมอง สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้าเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยความร้อนใจ อยากจะพูดแต่กลับไม่กล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ได้แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “คุณชายมีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันเถอะ เชื่อว่ากั๋วกงน้อยแค่ล้อพวกเราเล่นเท่านั้น”
ขันทีวัยกลางคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธพูดสรุปเหมือนตอกปิดฝาโลง “ไม่ต้องคุยแล้ว ตระกูลเหยาของพวกเจ้าร่วมมือกับคนของเป่ยจิ้นก่อกบฏ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ระหว่างที่พูดขันทีก็ประกบนิ้วสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดลงไปบนโต๊ะหนึ่งครั้ง
ชูอีสืออู่พุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน แยกกันไปทำลายตะเกียบคู่นั้นให้แหลกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
หมัดที่สามต่อยจนร่างทั้งร่างของเกาซู่อี้ปลิวกระเด็นออกไป เว่ยเซี่ยนที่อยู่ตรงหน้าประตูขยับเบี่ยงหลบ ปล่อยให้ศพของกั๋วกงน้อยผู้นี้หล่นไปนอกโรงเตี๊ยม
ทหารม้าผู้นั้นเพิ่งจะเดินมาถึงตำแหน่งที่ห่างจากประตูไปไม่ไกล เห็นศพที่ตกมาอยู่บนพื้น เขาก็ยังไม่ทันคืนสติ เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าเชื่อว่านี่คือความจริง
เฉินผิงอันหันไปพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “รู้หรือไม่ว่าทำไมแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาถึงเกือบถูกลอบสังหารจนตาย? เพราะพวกเจ้าพูดง่ายเกินไป เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนรู้สึกว่าต่อให้แม่ทัพผู้เฒ่าตายไป ลูกหลานสกุลเหยาทุกคนก็ไม่มีใครกล้าพูด กล้าโมโห”
ดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วจะไม่ได้ยินคำพูดของเฉินผิงอัน สีหน้าของนางเหม่อลอย พูดพึมพำว่า “ตายแล้ว ถูกเจ้าฆ่าตายทั้งอย่างนี้แล้ว เซินกั๋วกงต้องเป็นบ้าแน่ และฮ่องเต้ก็ต้องพิโรธอย่างหนัก สกุลเหยาจบเห่แล้ว”
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวของโรงเตี๊ยมก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
เด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็ยิ่งมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
ในโรงเตี๊ยม มีเพียงเสียงท่องหนังสืออย่างใส่อารมณ์จากเด็กหญิงที่อยู่บนชั้นสองเท่านั้น
และเวลานี้เอง บัณฑิตตกอับพลันยกมือตบไหล่สตรีแต่งงานแล้ว ทั้งๆ ที่หันหลังให้เฉินผิงอัน แต่กลับมีเสียงของเขาดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน “เจ้าฆ่าให้เต็มที่ ข้าจะช่วยฝังเอง”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!