เฉินผิงอันที่เลื่อนสู่ขอบเขตห้า เมื่อผ่านศึกบนภูเขากู่หนิวของพื้นที่มงคลดอกบัวมาแล้วก็สามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกัน แบ่งหนึ่งเป็นสาม น่าเสียดายที่สามารถยืนหยัดได้แค่เวลาหนึ่งชั่วลมหายใจ แต่ว่าเมื่อนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ไร้เหตุผลแล้ว ขอแค่ปล่อยหมัดเดียวออกไปก็เพียงพอ และเห็นได้ชัดว่าเหลือเฟือ
เมื่อหมัดโจมตีโดนขันทีก็เหมือนเสียงรัวกลองที่ดังขึ้นบนสมรภูมิรบ พริบตาเดียวก็ปล่อยไปสิบกว่าหมัด ทุกหมัดปะทะเนื้อส่งเสียงดังอื้ออึง
จิตของเฉินผิงอันสองคนกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริง จิตวิญญาณแยกออกจากร่างได้ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายพลังต้นกำเนิด
หันกลับมามองการลงมือครั้งแรกของขันทีชุดหม่าง พวกจิ่วเหนียงและเหยาหลิ่งจือที่นอกจากจะตกตะลึงกับตบะที่สูงส่งของขันทีใหญ่ท่านนี้ที่สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกมาจากช่องโพรงลมปราณได้ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นตบะของเซียนดินแล้ว อันที่จริงคนสกุลเหยายังรู้สึกเหลือเชื่อด้วย ไหนบอกว่าโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้คือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างไรเล่า? ทำไมถึงกลายมาเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกวิชาอมตะขึ้นมาได้?
ขันทีผู้กุมตราประทับกองทหารม้าแห่งราชสำนักต้าเฉวียนคำนวณพลาดไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือคิดไม่ถึงว่าชุดคลุมบนร่างของเฉินผิงอันจะมีระดับขั้นสูงถึงเพียงนี้ ถึงขนาดต้านทานจิตหยินของตนไว้ได้ ท่าไม้ตายยื่นมือควักหัวใจทำให้ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพตายไปด้วยมือข้างนี้มาหลายคนแล้ว ไม่ได้มีภาพเลือดโชกไหลนองอย่างแท้จริง แต่ท่าไม้ตายนี้จะทำให้ ‘ผืนนาหัวใจ’ ของคนคนหนึ่งแตกระแหง เพียงชั่วพริบตาหลอดเลือดหัวใจก็ถูกตัดขาดการเชื่อมโยงกับช่องโพรงทั้งหมด หลังจากตายไปแล้ว เรือนกายจะเหมือนไม้แห้งเหี่ยว คล้ายคลึงกับวิชาหนึ่งหมัดต่อยสะพานอมตะขาดสะบั้น
การที่ขันทีถูกมองเป็นปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ หาใช่เพราะคนผู้นี้ใช้เวทอำพรางตาต่ำช้าจงใจตบตาคู่ต่อสู้ไม่ แต่เป็นเพราะคนผู้นี้มีเรือนกายของปรมาจารย์อย่างแท้จริง เลือดลมอุดมสมบูรณ์ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแกร่ง มากพอจะทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว การคุมเชิงกันโดยใช้วิชาอาคมบนภูเขา หรือการใช้สมบัติอาคมโจมตีกันอยู่ไกลๆ ขันทีชุดหม่างต่างก็เชี่ยวชาญทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กลัวการต่อสู้แลกชีวิตกับคนอื่นมากที่สุด
แต่พอโดนหมัดที่สองเข้าไป ขันทีก็ตระหนักได้แล้วว่าท่าไม่ดี ไม่ใช่เพราะพายุหมัดของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจอะไร แต่เป็นเพราะไม่ควรเลยที่เขาจะหลบไม่พ้น
ห้าหมัดผ่านไป ขันทีใหญ่ก็กระจ่างอยู่ในใจ พอจะไล่เรียงหลักการของหมัดนี้ออกมาได้คร่าวๆ
สิบหมัดผ่านพ้น ดูเหมือนขันทีจะล้มเลิกความคิดหลบเลี่ยงอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่ได้ถอยหนี
แต่เลือกจะใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยการบาดเจ็บ
ในช่วงเวลานี้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็แยกกันจับจ้องเทพหยินและเทพหยางของขันที
ขันทีชุดหม่างที่มองดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ฝึกลมปราณ กับเฉินผิงอันที่มองดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว
ในพื้นที่แคบๆ เพียงแค่สองช่วงแขน คนทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่หยาบมาก เมื่อเทียบกับการบังคับกระบี่รับมือศัตรูของสุยโย่วเปียนที่อยู่บนชั้นสอง ประกายแสงดาบวาววับของหลูป๋ายเซี่ยงและสวี่ชิงโจว เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูโรงเตี๊ยมที่ต่อสู้อย่างฮึกเหิมห้าวหาญ รอบกายมีแต่สมบัติอาคมที่ทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ สร้างภาพปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลายแล้ว
การเข่นฆ่าระหว่างเฉินผิงอันกับขันทีแห่งต้าเฉวียน นอกจากคำว่าเร็วแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่าย แต่กลับอันตรายอย่างถึงที่สุด
ส่วนผู้ติดตามที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทั้งสองตัวต่างก็ไปหลบอยู่ตรงทางขึ้นบันไดหมดแล้ว พวกเขารู้ดีว่าศึกวุ่นวายในโรงเตี๊ยมครั้งนี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะสอดมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ
สำหรับคนเหล่านี้ จูเหลี่ยนที่เป็นคนเดียวที่อยู่ว่างไม่ได้ขัดขวาง แม้แต่จะมองให้เต็มตาสักครั้งยังไม่ทำ
บัณฑิตแซ่จงยืนเอนพิงโต๊ะคิดเงิน สายตาจับจ้องมองเฉินผิงอัน
เขาเดินทางท่องไปทั่วทิศ ไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนไหนปล่อยกระบวนท่าหมัดหนึ่งได้…คล่องแคล่วเหมือนเมฆคล้อยน้ำไหลเช่นนี้มาก่อน
ในเมื่ออายุยังไม่มากก็แสดงว่าคงต้องเคยเดินทางมาไกล เห็นภูเขาสูงและแม่น้ำสายใหญ่มามากมายแล้วกระมัง?
ปราณสังหาร ปราณดุดัน ปราณแห่งความเหี้ยมหาญล้วนไม่มีเลย แม้แต่กลิ่นอายของการช่วงชิงชัยชนะก็ยังไม่เข้มข้น
ทว่าพลังอำนาจของเขากลับเพียงพออย่างมาก
บัณฑิตรู้สึกใคร่รู้นักว่า จุดประสงค์ของวิชาหมัดนี้ของคนหนุ่มคืออะไรกันแน่
แต่คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ร่างกายและจิตวิญญาณต้องแบกรับการสะท้อนกลับของปณิธานหมัด เดิมทีนี่ก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว สำหรับหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้ หากคนหนุ่มหยุดวิชาหมัดไว้เพียงเท่านี้ ต่อให้ยอมทนรับอาการบาดเจ็บ หมัดสุดท้ายสามารถ ‘สังหาร’ หลี่หลี่ได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่พอ ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ได้รับความสำคัญจากคนในโลก ไม่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในราชสำนัก แต่ผู้คนกลับกราบไหว้เลื่อมใสพวกผู้ฝึกตน นั่นเพราะมีเหตุผล
พันหมื่นคาถาอาคม หนึ่งกระบี่ทำลายสิ้น
ประโยคนี้ได้รับความนิยมอย่างมากบนภูเขา หลายคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคนี้บอกถึงความกริ่งเกรงที่มีต่อพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วไม่ถือว่าถูกทั้งหมด คำว่าพันหมื่นนั้นได้บอกให้รู้ถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกตนแล้ว
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายของเฉินผิงอันสามารถต่อยให้ร่างของขันทีชุดหม่างแหลกสลายได้จริงๆ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ชุดหม่างสีแดงก็คล้ายกลายเป็นวัตถุมายาเลื่อนลอยไปด้วย
แต่เมื่อเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่มีเลือดสดสาดกระเซ็นออกมา ในใจเขาก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดีจึงรีบใช้กระบวนท่าสยบเสินโถวในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเปลี่ยนมาเป็นท่าหมัดป้องกัน ถอยแล้วถอยอีก โชคดีที่ชูอีซึ่งโจมตีพลาดอย่างน่าแปลกใจมาโผล่อยู่ตรงหน้า บวกกับชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็น่าจะสามารถช่วงชิงเวลาผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เฮือกใหม่ได้
ใต้หล้าไพศาลไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกัน รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณทุกคนต่างก็พากันจับจ้องช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่เขม็ง
การกระทำนี้ของขันทีหลี่หลี่คล้ายการใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนของอาจารย์ผู้จัดวางค่ายกลที่อยู่นอกป้อมอินทรีบินคนนั้น เพียงแต่ว่าหลี่หลี่ใช้การสลายจิตหยางเข้าไปแทนที่เรือนกายที่แท้จริง เปลี่ยนไปอยู่ในตำแหน่งที่กระบี่บินชูอีคุมเชิงอยู่ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ปล่อยไปอย่างไม่มีกักเก็บพลังครั้งนี้ของเฉินผิงอันจึงกลายมาเป็นม้าตีนปลายแรงแผ่วแล้ว
และการสลายจิตหยางก็แค่ทำให้โอสถทองที่ยังไม่สมบูรณ์แบบเม็ดนั้นของหลี่หลี่หม่นแสงลงเล็กน้อยเท่านั้น
เทพหยินตนนั้นใช้วิธีควักหัวใจ กางห้านิ้วเป็นตะขอยื่นเข้ามาอีกครั้ง ประหนึ่งหมัดต่อยลงบนกระดาษ ชุดคลุมอาคมจินหลี่เหมือนกระดาษเซวี่ยนจื่อที่มีความยืดหยุ่นทนทานอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันไม่ถึงขั้นแหลกสลายไปในคราวเดียว ยังคงปกป้องผืนนาหัวใจเอาไว้ได้ ทว่าด้วยเหตุนี้จินหลี่เองก็ถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันก็เหมือนจมลงในบ่อโคลน ถูกกักอยู่ในร่างของจิตหยิน
หลี่หลี่มาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้ว เขาฝาดฝ่ามือหนึ่งตบสลายปณิธานหมัดของท่าสยบเสินโถว เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประกบสองนิ้วทิ่มเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน
ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันไถลปลิวออกไปในแนวขวาง
ความแข็งแกร่งของหลี่หลี่ไม่ได้อยู่ที่เขาคือเซียนดินครึ่งตัวซึ่งเหยียบอยู่บนธรณีประตูของขอบเขตโอสถทอง แต่เป็นเพราะเขาได้ทั้งรุกและรับโดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุนอกกาย
ส่วนข้อที่ว่าหลี่หลี่มีสมบัติอาคมก้นกรุหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยาก
หลี่หลี่ไม่ได้ฉวยโอกาสตามไปโจมตีต่อ เขายืนอยู่ที่เดิม ฝ่ามือที่ก่อนหน้านี้สลายท่าสยบเสินโถวกำเป็นหมัดแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว รอจนฝ่ามือแบออก เส้นลายมือบนฝ่ามือก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเส้นด้ายสีแดงสด สุดท้ายกลายมาเป็นยันต์สีชาดแผ่นหนึ่ง ใช้สองนิ้วที่ประกบกันแล้วทิ่มลงตรงจุดไท่หยางของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ปาดผ่านฝ่ามือ พร้อมกับที่หลี่หลี่ท่องในใจสองคำว่า ‘เปิดยันต์’
เฉินผิงอันที่พยายามจะผลัดเปลี่ยนลมปราณรู้สึกเพียงว่ามีขุนเขากดทับลงมาเหนือศีรษะ ชายแขนเสื้อสองข้างและไหล่แต่ละฝั่งของชุดคลุมอาคมจินหลี่ปรากฎยันต์หนึ่งแผ่นที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
ตรงจุดของไท่หยางของเฉินผิงอันก็มีเลือดสดไหลลงมาเป็นสาย
“ข้าเองก็มีหนึ่งหมัด ถือซะว่านี่คือของขวัญรับแขกของราชวงศ์ต้าเฉวียนเราก็แล้วกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!