กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 338

บทที่ 338.2 หมัดแข็งเกินไป สุราลงทัณฑ์รสชาติดี
ProjectZyphon
เปรียบเทียบกับทุกหมัดปะทะเนื้อของเฉินผิงอันกับหลี่หลี่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้การทุบตีจากเทพหยินกลับยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่าเดิม

ยังดีที่สิ่งนี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันนัก ตอนที่อยู่บนภูเขากู่หนิวแล้วต้องรับมือกับกายธรรมร่างทองของติงอิงก็เป็นปรากฎการณ์ภูเขาถล่มพื้นดินปริแตกแบบนี้ไม่ใช่หรือ?

เพียงแต่ว่าคราวก่อนเฉินผิงอันได้แค่ฝืนทนรับเอาไว้ ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน ภูเขากู่หนิวทั้งลูกถูกร่างทองของติงอิงทุบตีเสียจนระเบิดแตกกระจาย

ตอนนี้เฉินผิงอันแค่ต้องต่อยตีกับเทพหยิน ‘เล็กๆ’ ตนหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีใครหลบเลี่ยงใคร

ชุดคลุมอาคมจินหลี่จากที่เป็นสีหิมะขาวโพลนเพราะถูกร่ายเวทบังตาก็กลับคืนสภาพเดิมกลายมาเป็นสีทองแล้ว

หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปสิบหมัด ประกายในดวงตาของหลี่หลี่หม่นมัวลงเล็กน้อย แต่เขากลับยังไม่สนใจ ปล่อยให้คนหนุ่มรัวหมัดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า

เทพหยินสามเศียรหกกรที่มีหน้าตาท่วงท่าเหมือนอริยะในศาลบู๊แหลกสลายดั่งไอหมอก ปราณวิญญาณแผ่กระจายไปสี่ทิศ

ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ปรากฏรอยกรีด รอยแตกยับเป็นริ้วๆ ตอนนี้ยังไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อีกทั้งปราณวิญญาณบนชุดยังกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิงด้วย

หลี่หลี่กระชากชุดหม่างสีแดงสดที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือดีตัวนั้นทิ้งไป มองคนหนุ่มที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ฝ่ามือและหลังมือทั้งสองข้างต่างก็เปรอะเลอะไปด้วยเลือด เขาพยายามฝืนเบิกตาสองข้างขึ้น ใบหน้ามีเลือดสดไหลนอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงใสสะอาดกระจ่างแจ้ง

หลี่หลี่เอ่ยกลั้วยิ้ม “น่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใบถงทวีปและสำนักกุยหยก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ”

เฉินผิงอันหลับตาลงข้างหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ร่างจำแลงสองร่างนี้ของเจ้าทนรับการทุบตีไม่ได้เลย เพิ่งจะสิบเจ็ดสิบแปดหมัดก็แตกสลายซะแล้ว เทียบติงอิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หลี่หลี่ยิ้มบางๆ “แล้วยังไง?”

เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “หลังจากนี้ขอแค่ข้าปล่อยไปอีกสามหมัดก็สามารถแลกชีวิตกับเจ้าได้แล้ว เจ้ากลัวหรือไม่?”

หลี่หลี่ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ

อีกอย่างในฐานะโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ผู้ที่สร้างโอสถทองได้ครึ่งเม็ดอย่างเขา จะไม่มีวิธีรับมืออื่นเตรียมรอไว้เลยได้อย่างไร ก็แค่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อยเท่านั้น

ค่าตอบแทนที่ว่ามากนั้น มากกว่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ

คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หลี่พลันขมวดคิ้ว พูดเสียงเฉียบว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เหตุใดถึงใช้วิธีการที่ตรงกันข้าม แอบดึงดูดปราณวิญญาณมาใช้?!”

หลี่หลี่ถอยหลังไปหลายก้าว เข้าใจว่าคนผู้นี้จงใจเปิดประตูใหญ่ให้แก่ช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่ง ปล่อยให้ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่าง นี่ก็คือโอกาสที่เจ้าเด็กคนนี้ช่วงชิงมาทำให้เขาต้องพินาศวอดวายไปด้วย

เสียสติไปแล้วจริงๆ

บัณฑิตแซ่จงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวใช้ปราณวิญญาณหล่อหลอมจิตวิญญาณ ช่างใจกล้ายิ่งนัก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นหมัดที่สามก็มีโอกาสส่งออกไปแล้ว

หากหลี่หลี่ประมาทก็ต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่

ศึกครั้งนี้ถือว่าไม่เหนื่อยเปล่าสำหรับคนหนุ่ม ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้ากำลังตามหาดีแห่งวีรบุรุษก้อนหนึ่ง (ดีสามารถเปรียบเปรยได้ถึงความใจกว้าง ความกล้าหาญ) อย่างยากลำบาก จิตหยินที่แปลกประหลาดของโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้ก่อกำเนิดขึ้นจากการนิมิตถึงอริยะสามท่านในศาลบู๊พอดี แต่นิมิตนี้เป็นวิธีนอกรีต เป็นที่สงสัยว่าเป็นการหมิ่นประมาททวยเทพ อีกทั้งยังทำลายโชคชะตาฝ่ายบู๊ เท่ากับว่าหลี่หลี่เอาของส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เชื่อว่าคนในราชสำนักต้าเฉวียนก็อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ศึกระหว่างคนหนุ่มกับเทพหยิน เมื่อเขาคว้าชัยชนะมาได้แล้วเทพหยินเหล่านั้นก็แตกสลาย อริยะบู๊แห่งราชวงศ์สกุลหลิวสามท่านย่อมต้องสัมผัสได้ถึง ในอนาคตหากคนหนุ่มมีโอกาสเดินทางไปเมืองหลวงต้าเฉวียน เข้าไปในศาลบู๊แห่งนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการตอบแทนอย่างดีแน่นอน

แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ คนหนุ่มกับพวกผู้ติดตามท่าทางประหลาดของเขาต้องรอดชีวิตไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน

เขารับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะช่วยเก็บกวาดให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะช่วยปกป้องคนหนุ่มผู้นั้น

ขันทีหลี่หลี่กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเดินออกไปสิบกว่าก้าว มาหยุดข้างโต๊ะเหล้าตัวหนึ่ง หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้าแล้ววางลงเบาๆ มองผู้ติดตามหนุ่มทั้งหลายที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได คนหนึ่งในนั้นคือท่านโหวน้อย คนหนึ่งคือลูกหลานแม่ทัพหลงเซียง คนอื่นๆ ก็ถือเป็นทหารผู้กล้าแห่งกองทหารรักษาพระองค์ที่อนาคตกว้างไกล

เจ้าเศษสวะสวี่ชิงโจว ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดการกับเจ้าคนใช้ดาบผู้นั้นได้ กลับกันยังกลายเป็นคนป้อนกระบวนท่าดาบให้อีกฝ่ายดูโดยที่ตัวเองดันไม่รู้ตัว

สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ยังจมจ่อมอยู่กับพลังอำนาจของวิชาสายฟ้านอกรีตผายลมสุนัข นึกว่าตัวเองจะกุมชัยชนะไว้ได้อยู่มือ แต่กลับไม่รู้เลยว่านังผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อาจารย์กระบี่ เพียงแค่มีปณิธานแห่งกระบี่แตกหน่อขึ้นในใจประดุจต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่มีชีวิตชีวาเท่านั้น พรสวรรค์ของอีกฝ่ายดีเยี่ยมจนสมควรเรียกว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่แล้ว

ส่วนตรงนอกประตูก็ยิ่งตีกันอย่างครึกครื้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ก็แค่มองดูแล้วคึกคักเท่านั้น

สุดท้ายหลี่หลี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้วกับผู้เฒ่าหลังค่อม เขาไม่สนใจคนทั้งสองแม้แต่น้อย กลับเป็นบัณฑิตตกอับคนนั้นที่หลี่หลี่รู้สึกมองไม่ออก แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก

ในโรงเตี๊ยม ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือเป็นคนกันเอง ทุกคนล้วนต้องตายทั้งหมด

หลี่หลี่โบกมือหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมก็พลันปิดลงดังปัง

จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้า “ระวัง”

หลี่หลี่ยื่นมือมาวางทับไว้ตรงท้องนอกจุดตันเถียนแล้วเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

ทุกครั้งที่พ่นลมหายใจจะต้องมีไอสีแดงสดถูกพ่นออกมาด้วย

เฉินผิงอันกระโจนไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ

กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกปล่อยไปเป็นครั้งที่สาม

หมัดนั้นต่อยลงบนหลังมือที่วางแนบติดกับหน้าท้องของขันที

ส่วนหลี่หลี่ก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเฉินผิงอัน

แค่หมัดง่ายๆ สองหมัดเท่านั้น

หลี่หลี่หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด สภาพจิตใจของเขาเหมือนไม่ใช่จิตใจของเซียนดิน ขันทีในวังลึกผู้กุมกองทัพม้าคอยปกป้องเมืองหลวงอีกต่อไป สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ยกฝ่ามือตบฉาดลงบนจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน

ครึ่งร่างของเฉินผิงอันปลิวออกไป มีเพียงสองเท้าที่ปักตรึงอยู่กับพื้น นั่นก็เพื่อปล่อยหมัดครั้งต่อไป

แต่ละหมัดที่ปล่อยออกไปล้วนเร็วกว่าหมัดก่อนหน้า

ส่วนแต่ละหมัดของหลี่หลี่ก็ยิ่งมีพลังอำนาจดุจสายฟ้า

กระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่แทงเข้าไปในร่างของคนผู้นี้ แต่กลับเหมือนเข้าไปอยู่ในเขาวงกต พุ่งชนอยู่ท่ามกลางช่องโพรงลมปราณของอีกฝ่ายอย่างสะเปะสะปะ หาทางออกไม่เจอเสียที

กระดูกในร่างของเฉินผิงอันส่งเสียงลั่นแตกเป็นระลอก

บนใบหน้าของหลี่หลี่ที่ผ่านการบำรุงรักษาอย่างดีจึงยังเหมือนคนวัยกลางคนมีเส้นใยลอยขึ้นมา บางจุดปูดนูน บางจุดเว้ายวบลงไปราวกับว่าใบหน้านี้เป็นของปลอม

โอสถทองที่สร้างได้ครึ่งเม็ดระเบิดแตกดังโพล๊ะ

เพียงแต่วาเป็นเพียงชั้นผิวภายนอกเท่านั้นที่ระเบิดแตก เหมือนที่ก่อนหน้านี้หลี่หลี่ถอดชุดหม่างสีแดงคลุมกายทิ้งไป

จูเหลี่ยนถอนหายใจอยู่ในใจ ราวระเบียงใต้ฝ่าเท้าระเบิดแตก พื้นกระดานก็ปริร้าวตามไปด้วย เขาพลิ้วกายลงมายังชั้นหนึ่ง ความเร็วนั้นดั่งพายุลมกรด ย่างก้าวสองสามก้าวเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่หลี่แล้ว เขาดีดปลายเท้าเล็กน้อย ร่างก็ทะยานขึ้นสูง ก่อนจะตีศอกใส่ศีรษะของขันทีเฒ่าที่อายุมากถึงเก้าสิบปีผู้นี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งชักออกมาอย่างว่องไว ทำมือเป็นมีดที่แทงทะลุเข้าไปยังลำคอของหลี่หลี่

หลี่หลี่ที่เดิมทีควรต้องตายอย่างมิต้องสงสัยกลับยังคงออกหมัดต่อยเฉินผิงอัน พอเขาปล่อยหนึ่งหมัดไปแล้ว เลือดสดก็ไหลทะลักออกมาจากหูทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหมือนน้ำพุพุ่ง

ส่วนจูเหลี่ยนนั้นปลิวกระเด็นออกไปดังตูม ร่างกระแทกเข้ากับผนังที่อยู่ห่างไปไกลจนผนังแตกผัง แล้วหล่นตุ้บลงด้านนอก

หลี่หลี่ที่ลำคอถูกแทงทะลุสีหน้าเฉยเมย ใจคิดแต่ว่าต้องฆ่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นๆ หลังจากที่เขาเผยร่างแท้จริงแล้ว ต่อให้ร่วมมือกันมาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ร่างของจูเหลี่ยนลอยหวือไปตกท่ามกลางกองทัพทหารม้าที่อยู่ด้านนอก อยู่ดีๆ มีคนคนหนึ่งลอยออกมา ทำเอาพวกทหารตกใจขวัญกระเจิง ในขณะที่กำลังจะล้อมสังหารคนผู้นี้ จูเหลี่ยนกลับถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ กลิ้งตัวไปด้านหลัง พอลุกขึ้นยืนก็เหมือนวานรที่ปีนป่ายอยู่ในป่า และความดุร้ายอำมหิตของคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ก็ได้สำแดงออกมาอย่างไม่มีกักเก็บไว้ มือทั้งคู่ของเขาดึงแขนสองข้างของทหารม้าคนหนึ่งกระชากออก ฉีกแขนทั้งสองข้างของคนผู้นั้นไปโดยตรง

ครั้นแล้วจึงใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ศีรษะของทหารม้านายนั้น เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว

หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่หน้าอกทะลุเรือนกาย เพราะรังเกียจที่ศพนี้ขวางหูขวางตา จึงทำมือเป็นมีดฟันฉับเป็นแนวเฉียงตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้อง ศพของคนผู้นั้นถูกผู้เฒ่าหลังค่อมฟันผ่าออกเป็นสองท่อน เลือดสดและไส้ไหลทะลักนองเต็มพื้น

ในโรงเตี๊ยม

สวีถงและสวี่ชิงโจว สุยโย่วเปียนและหลูป๋ายเซี่ยง ต่างฝ่ายต่างหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เพราะการเปลี่ยนแปลงของขันทีหลี่หลี่น่าเหลือเชื่อเกินไป

สัญชาตญาณทำให้พวกเขาทุกคนมองหลี่หลี่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด

เผยเฉียนหันขวับมามองบัณฑิตด้วยสายตาเดือดดาล “ทำไมเจ้าต้องสาปแช่งให้พ่อข้าตายด้วย? พ่อเจ้าต่างหากที่ตาย!”

บัณฑิตทำสีหน้าไร้เดียงสา “พ่อข้าตายไปตั้งนานแล้วนี่นา ทุกปีพอถึงช่วงเทศกาลชิงหมิง (เชงเม้ง) ข้าก็ต้องไปเก็บกวาดสุสาน”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาจิบเหล้าบ๊วยคำเล็กๆ ตอนที่ยกมือขึ้น สภาพมือข้างนั้นน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ทำเอาเผยเฉียนที่เห็นเหงื่อแตกพลั่ก คิดเหมือนกับบัณฑิตข้างกายเลยว่า ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่กลัวเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไร?

บัณฑิตยิ้มถาม “เพื่อตระกูลเหยา เกือบต้องมาตายอยู่ที่นี่ ไม่รู้สึกกลัวในภายหลังบ้างเลยรึ?”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เพื่อตระกูลเหยา”

บัณฑิตยิ้มชั่วร้าย “ตระกูลเหยาเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ อันที่จริงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความงาม เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ ขนาดบุรุษยึดมั่นในรักที่จิตใจแข็งแกร่งดุจหินผาอย่างข้าก็ยังเกือบจะไขว้เขวไป ความงามของสตรีผู้นั้น แค่คิดก็พอจะรู้ได้”

หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน คนหนึ่งสองมือกุมด้ามดาบ อีกคนหนึ่งสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ต่างก็มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน

คนหนึ่งใช้เงินฝนธัญพืชสองเหรียญ อีกคนหนึ่งกลับใช้เงินฝนธัญพืชแค่เหรียญเดียว

สี่คนรวมกันก็ใช้เงินฝนธัญพืชที่เฉินผิงอันเก็บสะสมไว้หมดพอดี

นักพรตเฒ่าช่างผลักคนลงหลุมได้ลึกนัก

บัณฑิตพลันถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้ถึงการดำรงอยู่ของข้า ก็เลยมองศึกเป็นตายครั้งนี้เป็นตัวขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์หรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามยิ้มๆ กลับมาว่า “เจ้าคือ?”

บัณฑิตโบกมือ “ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง”

เฉินผิงอันจึงไม่ถามอะไรต่ออีก

บัณฑิตหันมามองเผยเฉียนที่เบิกตากว้าง เขาจ้องดวงตาคู่นั้นของนาง ดั่งตะวันลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา ดั่งดวงจันทราลอยเหนือภูเขาทักษิณ งดงามจริงๆ

ทว่านิสัยแบบนี้กลับไม่น่าชื่นชอบเอาเสียเลย

บัณฑิตหันไปมองทางประตูใหญ่ “เหยาเจิ้นและคนขององค์ชายอีกท่านหนึ่งใกล้จะมาถึงแล้ว”

สุดท้ายเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าพักรักษาตัวให้สบายใจก็พอ หลังจากนี้มอบให้ข้าจัดการเอง”

เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขากุมหมัดคารวะบัณฑิต เห็นมือทั้งคู่ของเขา บัณฑิตก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สุดท้ายเฉินผิงอันหันไปพูดกับหลูป๋ายเซี่ยง “ขอบคุณมาก หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะได้ออกมาเป็นคนแรก”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังสุยโย่วเปียน ฝ่ายหลังมองตาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เผยเฉียนตามติดมาด้านหลัง

ข้ารับใช้หนุ่มเหล่านั้น แต่ละคนหน้าไร้สีเลือด

บัณฑิตมองแผ่นหลังของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่แล้วก็เกาหัว คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยไม่คิดให้เปลืองแรงอีก

พอเขาคิดได้ว่าหลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปจะไม่สามารถมาขอกินฟรีอยู่ฟรีที่นี่ได้อีกแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย

ดังนั้นอันดับต่อมาบัณฑิตจึงนั่งลงแล้วเริ่มดื่มเหล้า บัณฑิตคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยหยกประดับเดินออกจากประตูไป สำหรับเขาแล้วทุกคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมคล้ายไม่มีตัวตน เขาเงื้อฝ่ามือข้างหนึ่งตบจนองค์ชายคนนั้นพลิกตัวกลิ้งตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบ บัณฑิตอีกคนหนึ่งพกกระบี่จำแลงร่างกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งจากไปไกล ไปหาองค์ชายต้าเฉวียนอีกคนหนึ่งแล้วเตะอีกฝ่ายจนกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ก่อนจะกระทืบลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรง

หลังจากที่จิตหยินและจิตหยางของบัณฑิตออกจากช่องโพรงไปแล้ว ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ขอแค่เป็นวัตถุหยินหรือภูตผีปีศาจ ต่อให้เป็นทวยเทพของศาลเถื่อนทั้งหลายก็ล้วนก้มลงกราบกรานตัวสั่นอย่างที่มิอาจห้ามตัวเองได้

หมื่นผีบนโลก พบข้าจงขุย ต้องโขกศีรษะให้

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!