กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 342

สรุปบท บทที่ 342.2 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 342.2 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 342.2 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 342.2 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ
ProjectZyphon
ออกจากร้าน เฉินผิงอันถือกล่องผ้าปักลายใบเล็กออกมาด้วย เขาขอบคุณเหยาจิ้นจือที่ช่วยต่อราคาให้ก่อน จากนั้นก็อดพูดพลางยิ้มเจื่อนไม่ได้ว่า “ได้ยินแม่นางเหยาพูดอย่างนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าปิ่นชิ้นนี้ไม่มีค่าพอถึงสามสิบตำลึงเลยเล่า?”

เหยาจิ้นจือเงียบงันไปพักหนึ่ง รอจนเดินออกจากร้านมาได้ไกลแล้ว นางถึงได้พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ปิ่นชิ้นนี้เป็นฝีมือของช่างทำหยกที่มีชื่อเสียงคนนั้นจริงๆ อย่าว่าแต่สามร้อยตำลึงเงินเลย ต่อให้ห้าร้อยตำลึงเงินก็คู่ควรให้ซื้อเก็บไว้ อีกอย่างคนผู้นี้ยังยึดหลักคุณภาพหยกไม่ดีไม่นำมาสร้างผลงาน หยกของเจ้าชิ้นนี้จึงทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ดีจนถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่า ‘หยกงามวัสดุยอดเยี่ยม มีดคุนอู๋ยังมิกล้าสัมผัสหน้าสาวงาม’ เพียงแต่ว่าหยกงามบนโลกใบนี้ ดีหรือไม่ดี ทุกคนล้วนดูออก แต่ว่ามันดีมากน้อยแค่ไหนกลับบอกได้ยากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะให้ข้อสรุปได้”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าชื่นชมในความรู้ของเหยาจิ้นจือ หรือเห็นด้วยกับท่าทีที่ช่างทำหยกผู้นั้นมีต่อหยกงามกันแน่

เฉินผิงอันเก็บกล่องผ้าไว้ในชายแขนเสื้อ ถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางเหยามีหยกสลักสุ่ยเซียนนั่นจริงๆ หรือ?”

เหยาจิ้นจือยิ้มตอบ “คำพูดพวกนี้ล้วนยกจากในตำรามาอ้างทั้งนั้น”

ก็แสดงว่าไม่มีสินะ

เผยเฉียนเหลือกตามองสูง เดิมทีนางยังคิดว่าหลังจากวันนี้จะประจบสอพลออีกฝ่ายให้มาก ไม่แน่ว่าวันใดเหยาจิ้นจืออารมณ์ดีอาจจะมอบหยกสลักรูปสุ่ยเซียนต้นนั้นให้นางก็ได้

เหยาจิ้นจือพูดอีกว่า “ถ้อยคำนี้มาจากในตำราก็จริง แต่หยกสลักชิ้นนั้นเป็นหนึ่งในสินเดิมของท่านอาน้อยคนหนึ่งของข้า”

เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มตามมารยาทให้นาง

ข้อนี้แม่นางเหยาเหมือนกับน้องชายอย่างเหยาเซียนจือมาก เพียงแต่ว่าตบะของนางลึกล้ำกว่าเขา สถานการณ์จึงไม่กระอักกระอ่วนเท่าใดนัก

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเหยาจิ้นจือไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก

เผยเฉียนเริ่มลงมือประจบยกยอ ถามอย่างออดอ้อนว่า “พี่หญิงเหยา เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าช่วยแบกห่อผ้าห่อนั้นให้ดีไหม? ข้าเชี่ยวชาญการแบกห่อผ้ามากเลยล่ะ ตลอดทางมานี้ข้าเป็นคนแบกเอง รับรองว่าจะไม่ทำให้สมบัติทั้งหลายในนั้นของเจ้าต้องเสียหายแน่”

เหยาจิ้นจือส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ผ้าโปร่งสีขาวที่คลุมใบหน้าจึงส่ายตามไปด้วย

เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังไม่ถอดใจ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ที่พี่หญิงเหยารู้สึกเหนื่อยต้องบอกข้านะ ตรอกแห่งนี้ห่างจากจุดพักม้าตั้งห้าพันหกร้อยกว่าก้าว พี่หญิงเหยาขายาวก็น่าจะต้องเดินประมาณสี่พันเจ็ดร้อยก้าว”

เหยาจิ้นจือได้แต่พยักหน้ารับ

ช่างเป็นเด็กหญิงที่ประหลาดจริงๆ

คนทั้งสี่เดินอยู่ในตรอกไหเอ๋อร์ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ จูเหลี่ยนก้มหน้าถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจดจำก้าวเดินได้แม่นยำขนาดนี้เชียวหรือ?”

เผยเฉียนถอนหายใจ “ก็มันน่าเบื่อนี่นา ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครให้เงินข้าซื้อของ ข้าก็ได้แต่หาเรื่องทำแก้เบื่อ ไม่งั้นจะให้ทำไงล่ะ”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

ท่ามกลางแสงสนธยา พวกเขาก็กลับไปถึงจุดพักม้าที่ใช้ค้างแรม ตอนที่เดินเล่นอยู่ในเรือนด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ว่าหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนไปหากระดานหมากล้อมมาจากไหน พวกเขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ในศาลาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเว่ยเซี่ยนยืนดูอยู่ด้านข้าง

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลาจึงเห็นว่าเพิ่งรู้ผลแพ้ชนะ คนที่ชนะคือหลูป๋ายเซี่ยง

พลังพิฆาตในการเล่นหมากล้อมของสุยโย่วเปียนสูงมาก พลังอำนาจก็เพียงพอ ขนาดหลูป๋ายเซี่ยงเป็นบุรุษก็ยังไม่มีความเด็ดขาดเท่าสุยโย่วเปียน

จูเหลี่ยนก็เดินตามมาด้วย สุยโย่วเปียนบอกลาเฉินผิงอันแล้วจากไป หลูป๋ายเซี่ยงจึงหันไปชวนจูเหลี่ยนเล่น ผู้เฒ่าหลังค่อมโบกมือพลางคลี่ยิ้ม บอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนห่วยมาก ไม่กล้าแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงมองมา เว่ยเซี่ยนจึงบอกว่าอย่างเขาไม่ได้เรียกว่าฝีมือห่วย แต่เล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงอยากจะมาดูว่าใครจะแพ้ใครจะชนะเท่านั้น

ไม่มีคนเล่นหมากล้อม เว่ยเซี่ยนจึงจากไป จูเหลี่ยนเองก็เดินตามหลังไปติดๆ

จึงเหลืออยู่แค่เฉินผิงอันกับหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังเก็บกระดานหมากล้อม

เฉินผิงอันเอนหลังพิงราวรั้ว ดื่มเหล้าบ๊วยในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายนิ้วสองข้างคีบเม็ดหมากเก็บใส่กล่องอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเพียงการกระทำที่ไม่สะดุดตา แต่เมื่อรวมกับเสียงใสกังวานยามที่ตัวหมากกระทบกันแล้ว กลับไม่เพียงแต่ไม่น่าเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามยังชวนให้คนมองตามอย่างเพลิดเพลินด้วย

ในใจเฉินผิงอันเกิดความเลื่อมใส

หากไม่เป็นเพราะตนไม่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นหมากล้อมจริงๆ บวกกับที่รู้สึกว่าการเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่เปลืองเวลาเกินไป จะถ่วงเวลาการฝึกหมัดและฝึกกระบี่ของเขา หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะลองศึกษาดูจริงๆ ว่าควรเล่นหมากล้อมอย่างไร

เหยาจิ้นจือเดินเยื้องย่างเข้ามา เมื่ออยู่ในจุดพักม้านางจึงถอดผ้าคลุมหน้า หลังจากนั่งลงแล้วก็พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงที่เก็บเม็ดหมากบนกระดานใกล้จะหมดแล้ว “ท่านหลู พวกเรามาเล่นด้วยกันสักตาดีไหม?”

หลูป๋ายเซี่ยงมองสีท้องฟ้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คาดว่าคงเป็นศึกที่ดุเดือดน่าดู เล่นหมากล้อมหลังจากฟ้ามืด ข้าไม่มีปัญหา เพียงแต่ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นคุณหนูเหยาจะมองเห็นหมากบนกระดานชัดหรือไม่?”

เหยาจิ้นจือพยักหน้ารับ “ขึ้นสิบห้าค่ำพระจันทร์เต็มดวง อาศัยแสงจันทร์น่าจะพอมองเห็นได้ชัด ท่านหลูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”

จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการเดาก่อน

หลูป๋ายเซี่ยงถือหมากสีขาว เหยาจิ้นจือถือหมากสีดำ

จนกระทั่งเหยาเจิ้นและหลานสาวอย่างเหยาจิ้นจือเดินมา เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เห็นว่าสีหน้าผู้เฒ่าไม่ค่อยดีนัก เหยาจิ้นจือเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเจ้าเมืองของที่แห่งนี้พูดคุยแต่เรื่องในอดีตตอนอยู่บนสนามรบกับท่านปู่ ท่านปู่จึงดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ ทว่าหลังจบงานเลี้ยงเขากลับส่งคนนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ที่จุดพักม้า ความหมายก็คือหวังว่าเมื่อท่านปู่ไปถึงเมืองหลวงแล้วจะช่วยดูแลเขาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาในราชสำนักบ้าง ทำเอาท่านปู่โมโหไม่น้อย”

เหยาเจิ้นตบเข่าเบาๆ สีหน้าผิดหวัง พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คิดถึงปีนั้นเขาช่างเป็นคนหนุ่มที่ดียิ่งนัก มีชีวิตชีวา ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรม ยามลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูก็ไม่เคยขลาดกลัว เหตุใดเมื่อมาอยู่ในวงการขุนนางได้แค่สิบกว่าปีถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”

เหยาจิ้นจือเอ่ยยิ้มๆ “ท่านปู่ สิบปีก็ไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว เพิ่งสวมหมวกดำลงบนศีรษะ ปณิธานก็พลันแปรเปลี่ยน เพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในที่ว่าการ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน” (หมวกสีดำเปรียบเปรยถึงตำแหน่งขุนนาง กลอนสองท่อนนี้คล้ายสุภาษิตคางคกขึ้นวอของไทย)

เหยาเจิ้นแค่นเสียงเย็น “วาดงูเติมหาง! อยู่ในราชสำนัก อย่าหวังเลยว่าข้าจะช่วยเจ้าเด็กนี่พูดในสิ่งที่ผิดต่อความตั้งใจเดิมแม้แต่ครึ่งคำ”

เหยาจิ้นจือถามยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เขาไม่มอบของขวัญ แล้วท่านปู่ก็จะยอมช่วยเขาพูดดีๆ เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตอย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ ในเมื่อไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรท่านปู่ก็ไม่มีทางช่วย เขาก็ไม่สู้ลองเดิมพันดูสักตั้ง ลองเดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่รู้แล้วว่าการอยู่ในวงการขุนนางทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านก็จะต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม เดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่เข้าไปอยู่ในที่ว่าการของกรมกลาโหมแล้วจะรวบรวมสมัครพรรคพวกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกขุนนางในเมืองหลวงผลักไส ถึงเวลานั้นเมื่อท่านต้องเดียวดายไร้คนช่วยเหลือ อีกทั้งสถานการณ์ยังบีบบังคับ ไม่แน่ว่าชื่อแรกที่ท่านปู่นึกถึงอาจจะเป็นชื่อของเจ้าเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้”

เหยาเจิ้นยิ้มจืดเจื่อน

เฉินผิงอันไม่ได้พูดแทรก แต่การที่ปู่หลานสองคนยินดีพูดถึงกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางที่สลับซับซ้อนเหมือนไส้พันกันหลายขดต่อหน้าคนนอกอย่างเขา เฉินผิงอันย่อมมองเป็นความรู้ที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ จึงตั้งใจรับฟังเอาไว้

ขอแค่ข้ามผ่านแม่น้ำหมายเหอที่ทอดขวางอาณาเขตของต้าเฉวียนเส้นนั้นมาได้ก็เท่ากับว่าเดินขึ้นเหนือไปได้ครึ่งทางแล้ว

ยามสนธยาของวันนี้ขบวนเดินทางตระกูลเหยาหยุดพักค้างแรมที่จุดพักม้าชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำหมายเหอ ห่างจากแม่น้ำหมายเหอแค่ครึ่งลี้เท่านั้น เหยาเจิ้นจึงชวนเฉินผิงอันไปเดินเล่นชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำด้วยกัน

อาหารที่กินบนโต๊ะเมื่อครู่ ปลาหลีแม่น้ำหมายเหอรสชาติสุดยอด ปลาหลีในแม่น้ำใหญ่สายนี้มีเกล็ดสีทองหางสีแดง ไม่ว่าจะเอามานึ่ง ผัดเปรี้ยวหวานหรือตุ๋นก็ล้วนไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย สดใหม่หวานนุ่มอย่างถึงที่สุด คือหนึ่งในของบรรณาการของราชวงศ์ต้าเฉวียน

น่าเสียดายที่ศาลเทพวารีของแม่น้ำหมายเหอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักอยู่ห่างจากจุดพักม้าและท่าเรือไปค่อนข้างไกล ห่างจากที่นี่ถึงสามร้อยกว่าลี้ นักประพันธ์ของหลายแคว้นในประวัติศาสตร์ล้วนเคยทิ้งลายน้ำหมึกอันล้ำค่าไว้บนผนังของศาลเทพวารีแห่งนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดสามารถย้อนไปเมื่อหกร้อยปีก่อน อีกทั้งยังมีบทกลอนบทขับร้องของนักประพันธ์ในยุคสมัยที่แตกต่างกันจำนวนมากที่เขียนถามตอบก่อนหลัง เติมเต็มซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการงัดข้อกันอย่างลับๆ ในหัวข้อเดียวกัน บวกกับคำวิจารณ์ของปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงในรุ่นหลัง ทำให้ศาลเทพวารีส่องแสงรุ่งโรจน์ เปี่ยมไปด้วยประกายสีสันแห่งบทประพันธ์ ชะตาบุ๋นเข้มข้นจนเหนือกว่าศาลบุ๋นของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ

คนที่ออกมาเดินเล่นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เหยาเจิ้นที่เป็นผู้นำเดินเคียงบ่าอยู่กับเฉินผิงอัน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าตามมาด้านหลัง

ข้ารับใช้ต้าเฉวียนสองคนที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเดินอยู่กับ ‘สามจือ’ แห่งสกุลเหยา

ผู้ฝึกตนสองคนนี้คืออาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง เนื่องจากครั้งนี้แฝงตัวมาในขบวนจึงไม่ได้สวมชุดลัทธิเต๋าที่สะดุดตา แต่กลับพกดาบของทหารในกองทัพเพื่ออำพรางสายตาคนอื่น ตลอดทางมานี้อาจารย์และศิษย์สองคนวางตัวห่างเหินจากทุกคน นักพรตหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก บุคลิกสุภาพอ่อนโยนคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ที่เดินออกมาจากตระกูลเศรษฐีร่ำรวย

เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสี่คนต่างก็เผยตัวพร้อมกันอย่างที่หาได้ยาก

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!