สะพานยาวที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำค่อยๆ หายไป เผยเฉียนรู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงหมดอารมณ์ท่องหนังสือ นางอยากเรียนวิชาหมัดกับเวทกระบี่ แต่น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่เต็มใจสอนนาง ส่วนพวกจูเหลี่ยน ต่อให้พวกเขาเต็มใจสอน เผยเฉียนกลับไม่เต็มใจจะเรียนด้วย
เฉินผิงอันยังคงอยู่ในสภาวะนั่งลืมตนที่มหัศจรรย์ ที่แปลกประหลาดไปมากกว่านั้นก็คือเขาค้นพบว่าร่างตัวเองเบาหวิว ดวงจิตหลุดพ้นจากกายมาลอยอยู่กลางอากาศ มองตัวเองที่นั่งขัดสมาธิ ในใจก็ให้รู้สึกแปลกๆ นี่ไม่เหมือนตอนที่หนึ่งดวงจิตแยกออกเป็นสามเมื่อครั้งประมือกับติงอิงและขันทีชุดหม่าง ดวงจิตออกจากร่างคราวนี้ จิตของเขาคล้ายคลึงกับเทพหยินในตำนาน เหมือนกับเทพหยินของวิญญูชนที่ออกไปจากโรงเตี๊ยมคืนนั้น เพียงแต่ว่าจงขุยมีทั้งเทพหยินและเทพหยาง แต่ ‘เฉินผิงอัน’ ในเวลานี้เมื่อถูกปราณวิญญาณและลมกรดที่ซุกซ่อนอยู่ในสายลมริมแม่น้ำหมายเหอพัดมาโดน ร่างของเขากลับไม่มั่นคง ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับการรวมตัวหนาแน่นมั่นคงของเทพหยินเทพหยางทั้งสองตนของจงขุยได้
หากจะบอกว่า ‘เฉินผิงอัน’ ผู้นี้เป็นแค่เด็กน้อยที่หัดเดิน ถ้าอย่างนั้นจงขุยก็คือชายฉกรรจ์ที่เดินขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนเดินบนทางราบแล้ว
ภาพเหตุการณ์ประหลาดในเวลานี้ ทั้งเผยเฉียนและจูเหลี่ยนต่างก็สัมผัสไม่ถึงแม้แต่น้อย
จิตของเฉินผิงอันสองคนขยับเคลื่อนเบาๆ แทบจะพร้อมกัน ในใจมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา วนเวียนไม่จางหาย เฉินผิงอันที่ล่องลอยไม่อยู่นิ่งหันหน้าไปมองตอนล่างของแม่น้ำหมายเหอแวบหนึ่ง จากนั้นเฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิก็ลืมตาขึ้นเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจำเป็นต้องฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ที่นี่ สถานการณ์ในคืนนี้แตกต่างออกไป ไม่อาจบอกอย่างละเอียดได้ เผยเฉียน จูเหลี่ยน พวกเจ้าอาจต้องช่วยเฝ้ายามแทนข้าสักสองสามชั่วยาม”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวเฒ่าอยู่แล้ว”
เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที ก่อนทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “ก็น่าจะบอกกันแต่แรก ข้าจะได้พกขนมมากินเป็นอาหารมื้อดึกด้วย”
เฉินผิงอันที่ออกจากร่างก้าวหนึ่งก้าวเข้าหาแม่น้ำหมายเหอ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง จนกระทั่งมาหยุดอยู่บนผิวน้ำ เขาก็คล้ายท่อนไม้ที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ ‘ในน้ำ’ เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง หลังจากปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดที่เหมือนยืนเหยียบอยู่กลางอากาศสูงว่างเปล่าได้แล้วก็ดีดปลายเท้าหนึ่งที ร่างของเขาลอยลิ่วไปไกลมาก เฉินผิงอันโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนกบที่กระโดดเตะอยู่บนผิวน้ำแม่น้ำหมายเหอ ราวกับเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานลมอยู่กลางอากาศ หรือไม่ก็ขอบเขตเดินทางไกลขอบเขตที่แปดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว
ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้ว ทะยานลมเดินทางไกล
ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวว่า ภายใต้โอกาสที่ประจวบเหมาะหลายอย่าง นี่คือเค้าโครงของเทพหยินของผู้ฝึกลมปราณแล้ว
ผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก เสินชี่รวบรวมเป็นหนึ่ง นอกร่างมีร่าง คือจิตหยาง ชื่นชอบแสงสว่าง
ความคิดปลอดโปร่ง ออกจากความมืดเข้าสู่ความมืด ไร้พันธนาการ คือจิตหยิน ชื่นชอบท่องเที่ยวยามค่ำคืน
ไปเยือนศาลเทพวารียามค่ำ
เฉินผิงอันรู้สึกว่าแค่ได้ไปเห็นสักครั้งก็ยังดี ไปแปบเดียวก็กลับแล้ว
ส่วนเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ริมตลิ่งนั้นกำลังหลับตา มือสองข้างทำท่ามุทราเจี้ยนหลู
แม้ว่าหนึ่งนั่งหนึ่งจิตล่องลอย แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผสานเป็นร่างเดียวกัน
ทุกสิ่งที่จิตหยินซึ่งออกจากช่องโพรงได้เห็นได้สัมผัส เฉินผิงอันที่หลับตาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูก็ล้วนเห็นและสัมผัสอย่างชัดเจนเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง
ความมหัศจรรย์ของมหามรรคานั้นลี้ลับสุดจะหยั่ง
จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดคนที่ฝึกตนถึงพากันออกห่างจากโลกมนุษย์ มุ่งมั่นตั้งใจฝึกตนเพียงอย่างเดียว มุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปไกล คิดดูแล้วคงเป็นเพราะทัศนียภาพในสายตาของผู้ฝึกลมปราณคือจุดสูงของนอกโลกแล้ว
เวลานี้เฉินผิงอันที่อยู่ริมแม่น้ำมองดูเหมือนฝึกท่าเจี้ยนหลู แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับจินตนาการถึงสะพานยาวอยู่ในใจตัวเองอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับสองครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถือว่ามั่นคงขึ้นเยอะมาก แม้ลางสังหรณ์ของเขาจะบอกว่ายังไม่อาจเดินขึ้นสะพานเพื่อข้ามผ่านแม่น้ำ
แต่หากคิดจะขึ้นไปบนสะพานเพื่อมองแม่น้ำกลับทำได้แล้ว หากไม่เป็นเพราะข้างกายมีจูเหลี่ยน เฉินผิงอันก็อยากจะลองเดินขึ้นไปดูจริงๆ
การที่คืนนี้เขามีนิมิตเช่นนี้เป็นเพราะคิดถึงคำกล่าวว่าวิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย และยังคิดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างช่วยคนอื่นและช่วยตัวเอง
พาเผยเฉียนมาไว้ข้างกาย เฉินผิงอันแค่อยากจะให้นางท่องหนังสืออ่านหนังสือ แต่ไม่เคยพูดถึงหลักการหรือเหตุผลใดๆ ที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้กับนาง แต่ขอแค่ได้เห็นการกระทำ เห็นคำพูดคำจาแต่ละอย่างของเผยเฉียนกลับเหมือนการส่องกระจกดูตัวเอง เฉินผิงอันจึงอดหันกลับมาทบทวนตัวเองไม่ได้ เนื้อหามากมายในตำรา เฉินผิงอันมักจะสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริง แต่เมื่อมีเผยเฉียนอยู่ เฉินผิงอันก็จะคิดให้มากขึ้นอีกนิด ยกตัวอย่างเช่นวิญญูชนต้องหมั่นทบทวนตัวเอง ควบคุมตัวเองให้อยู่ในมารยาทพิธีการ สำรวมตน…
อ่านตำราหมื่นเล่ม เขียนตัวอักษรจึงมีท่วงทำนอง
ประเสริฐยิ่ง
เผยเฉียนท่องตำราเล่มที่หนึ่งได้จนแตกฉานขึ้นใจแล้ว ดูท่าคืนนี้หลังจากเขาไปเที่ยวชมศาลเทพวารีกลับมาก็น่าจะให้เผยเฉียนเริ่มอ่านตำราเล่มที่สองได้แล้ว
การอ่านหนังสือไม่ได้ดูว่าอ่านมากกี่เล่ม แต่ต้องดูว่าอ่านเข้าท้องตัวเองไปกี่ตัวอักษรกันแน่
หลักการที่ไม่ใช่หลักการนี้สามารถพูดกับเผยเฉียนได้ แต่คาดว่านางน่าจะเห็นเป็นลมที่พัดผ่านข้างหูเสียมากกว่า
เล่าลือกันว่ามีภิกษุรูปหนึ่ง รู้จักตัวอักษรไม่มาก แต่พออ่านคัมภีร์หนึ่งบทกลับบรรลุพระธรรม
……
ริมแม่น้ำหมายเหอ มีคนสองคนพุ่งทะยานผ่านมาราวกับสายรุ้ง เรือนกายของพวกเขาพร่าเลือน ทะยานร่างไปยังตอนปลายของแม่น้ำอย่างเร่งร้อน
พอเห็นสามคนที่อยู่ริมน้ำพวกเขาก็พยักหน้าให้เบาๆ ถือเป็นการทักทายแล้ว
รอจนพวกเขาหายไปท่ามกลางม่านราตรี จูเหลี่ยนถึงดึงสายตากลับมา
ที่แท้หลังจากกลับไปถึงจุดพักม้า อาจารย์และศิษย์สองคนที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าก็บอกกับเหยาเจิ้นว่าคืนนี้พวกเขาต้องออกไปทำธุระข้างนอก ก่อนฟ้าสว่างจะกลับมาที่โรงเตี๊ยม
เหยาเจิ้นไม่ขัดขวาง และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ขวางไว้ไม่อยู่ คนทั้งสองคือข้ารับใช้สกุลหลิวที่ปักหลักอยู่ชายแดน แม้แต่เหยาเจิ้นที่เป็นเจ้าประมุขตระกูลเหยา เป็นผู้คุมกองทัพม้าเหล็กก็ยังไม่รู้ภูมิหลังหรือต้นกำเนิดสำนักของคนทั้งสอง เหยาเจิ้นถึงขั้นสงสัยว่าอาจารย์และศิษย์จากลัทธิเต๋าคู่นี้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้เลยหรือเปล่า ทั้งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของเป่ยจิ้นมาลอบสังหารตนจนเกิดความวุ่นวายขึ้นในกองทัพ ขณะเดียวกันก็จับตามองความเคลื่อนไหวของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาด้วย ถึงอย่างไรเขาก็มีญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานซึ่งเพิ่งจะปลดระวางจากตำแหน่งเจ้ากรมขุนนางไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!