กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 343

สรุปบท บทที่ 343.2 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 343.2 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 343.2 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 343.2 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน
ProjectZyphon
ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ โชคชะตาลำคลองและภูเขาของแคว้นเป่ยจิ้นถูกทำลายอย่างหนัก อีกไม่นานเจ้าเมืองเทพภูเขาจินหวงก็จะถูกคุมตัวส่งไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ส่วนศาลเทพวารีทะเลสาบซงหูที่ไม่ถูกกันมานานหลายร้อยปีก็ยิ่งพินาศเร็วกว่า พวกกากเดนที่เหลือของศาลเทพวารีมีเพียงพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากไม่ทำให้พื้นที่แถบนั้นวุ่นวายก็ถือว่าเป่ยจิ้นโชคดีแล้ว

แต่เส้ายวนหรานก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหลุดหัวเราะพรืด ฮูหยินเทพภูเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองจินหวงกลับต้องกลายเป็นนักโทษในชั่วพริบตา สตรีผู้นี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ เดิมนึกว่าสามีภรรยาจะได้ครองรักกันไปหลายร้อยปี น่าอิจฉายิ่งกว่าคู่ยวนยางชายหญิงในโลกมนุษย์ ไหนเลยจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะจัดการกับนางอย่างไร

แต่เรื่องหยุมหยิมไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องสนุกน่าสนใจบนเส้นทางของการฝึกตนเท่านั้น

สิ่งที่สายตาของเส้ายวนหรานมองเห็นคือความอิสระเสรีบนมหามรรคาของเหล่าผู้อาวุโสเซียนดินทั้งหลาย สิ่งที่ในใจของเขาคิดถึงคือความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย มีชีวิตยืนยาวเคียงคู่ฟ้าดิน

ความห้าวเหิมเอ่อล้นอยู่ในใจของเส้ายวนหราน เห็นว่าบนชายฝั่งทั้งสองด้านของลำคลองหมายเหอไร้ผู้คนจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์ ข้าจะลองเลียนแบบเจียวหลงลงแม่น้ำดูบ้าง!”

นักพรตหนุ่มแห่งอารามจินติ่งกล่าวจบก็พลิ้วกายไปที่ผิวน้ำ เอาเท้าเหยียบลงไปเบื้องล่าง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสกับน้ำก็จะมีสะเก็ดน้ำลูกใหญ่ยักษ์กระจายออกมา เพียงแต่ว่าบนชุดเต๋าของเขากลับไม่เปียกน้ำสักหยด

อิ่นเมี่ยวเฟิงยังคงทะยานตัวอยู่ริมลำคลอง เห็นท่าทางของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองแล้วก็ด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าเด็กบ้า วันหน้าเป็นเซียนพสุธาแล้วยังจะทำตัวแบบนี้อีกไหม?!”

……

เฉินผิงอันรู้แค่ระยะห่างและตำแหน่งคร่าวๆ ของศาลเทพวารีเท่านั้น แต่โชคดีที่แค่ล่องไปตามลำน้ำแล้วคอยจับตามองชายฝั่งทั้งสองข้างก็พอ

ตามคำบอกของเหยาเจิ้นและเหยาจิ้นจือ ตอนล่างของลำคลองซึ่งห่างจากจุดพักม้าไปสามร้อยลี้ก็คือที่ตั้งของศาลเทพวารีหมายเหอแล้ว ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็กไร้นาม เนินเขาราบเรียบ ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบห้าของเดือนสามของทุกปี งานจุดธูปบูชาเทพเจ้าจะมีคนมารวมตัวกันมากถึงหลายร้อยคน คึกคักมากเป็นพิเศษ ขุนนางและชนชั้นสูงของเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียงก็จะตั้งโรงทานแจกโจ๊กแจกน้ำชาระหว่างช่วงที่มีงานวัด

ตอนนั้นเหยาเจิ้นพูดทอดถอนใจหนึ่งประโยค บอกว่าการเปิดจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคือธรณีประตูใหญ่แห่งที่หนึ่ง หากสามารถเลื่อนขั้นจวนให้เป็นตำหนักได้ นั่นถึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับที่สูงส่งอย่างแท้จริง

ไม่ต่างจากการที่ตระกูลเซียนบนภูเขาได้รับคำว่าจง (สำนัก) ใส่เข้ามาในชื่อ

ส่วนเหยาจิ้นจือกลับพูดถึงเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของศาลเทพวารี บอกว่าในห้องปีกข้างตั้งบูชาเทวรูปของเจ้าแม่หลิงก่านไว้องค์หนึ่ง ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องการประทานบุตรอย่างมากจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทิศ แทบทุกวันจะต้องมีสตรีแต่งงานแล้วจากแดนไกลเดินทางมาเยือน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยที่ตั้งครรภ์ได้ยาก เมื่อมาถึงจะมายังเรือนปีกข้างของศาลเทพวารีแห่งนี้ จุดธูปกราบไหว้ บริจาคเงินเล็กน้อยก็สามารถขอตุ๊กตาดินเหนียวตัวจิ๋วที่ตรงเอวผูกด้ายสีแดงจากหญิงชราที่เฝ้าศาลไปได้หนึ่งตัว เอาไปผูกไว้ที่ข้อมือ หากกลับบ้านเกิดแล้วมีลูกได้สมใจปรารถนาก็ไม่จำเป็นต้องเอากลับมาคืน แค่ห้ามทิ้งตุ๊กตาดินเหนียวที่เอากลับบ้าน ต้องเอาไปบูชา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าแม่หลิงก่านอยู่ไกลๆ

แต่สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการเห็นอย่างแท้จริงคือศิลาหยกขาวขนาดใหญ่สองร้อยกว่าก้อนที่อยู่ด้านหน้าศาลเทพวารีแห่งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนจารึกบทกวีและคำแซ่ซ้องสรรเสริญที่คนในราชสำนักและนักประพันธ์เขียนให้แก่เทพวารีลำคลองหมายเหอหลังจากที่เทพวารีลำคลองหมายเหอช่วยขจัดภัยแล้งให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน

ไม่ถึงสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่คอยเหลียวซ้ายแลขวา ‘ล่องลอย’ ไปตามกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ

ม่านราตรีมืดดำ ประตูใหญ่ของศาลเทพวารีปิดสนิท แต่เฉินผิงอันยังคงมองเห็นแสงโคมไฟที่ส่องสว่างแจ่มจ้าจากที่แห่งนั้นได้ไกลๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันมองเห็นศาลเทพวารีได้ในปราดเดียว

เฉินผิงอันพลันตระหนักได้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ แม้เผยเฉียนและจูเหลี่ยนจะมองไม่เห็น แต่หากในศาลเทพวารีมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางอยู่เล่า? เขาจะมองเห็นแล้วคิดว่าตนเป็นพวกภูตผีปีศาจที่ออกอาละวาดยามค่ำคืนหรือไม่?

นี่ทำให้เฉินผิงอันเริ่มลังเล

หรือระยะทางสามร้อยลี้ที่ล่องลอยมานี้จะเสียเที่ยว? หากบวกกับระยะทางกลับด้วยก็ตั้งหกร้อยลี้เชียวนะ

แต่คิดไปคิดมา เฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่ใจกลางลำคลองหมายเหอก็ยังตัดสินใจว่าจะลองขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งดู ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือได้แค่มองประตูศาลเทพวารีไกลๆ แล้วถูกคนเฝ้าศาลหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้จับได้ จากนั้นถูกไล่ฆ่าเป็นระยะทางสามร้อยลี้ คงต้องขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมช่วยออกหน้าอธิบายให้

และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู “จิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน? เฉินผิงอัน เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ? หัดมีเหตุผลบ้างได้ไหม?”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ห่างไปประมาณสามสิบก้าว มีบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนผิวน้ำ สองมือของเขาขยุ้มเส้นผมกำใหญ่ราวกับกำลังจะกระชากหัวใครออกมาจากในลำคลอง

เขาก็คือจงขุย

เฉินผิงอันขยับมาอยู่ข้างกายจงขุย ถามว่า “นี่คือ?”

จงขุยเงยหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังแย่งจองพื้นที่กับคนอื่นที่ศาลเทพวารี คิดว่าพอฟ้าสว่างแล้วจะได้จุดธูปเป็นคนแรก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้จิ่วเหนียงมองข้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาน้อยลงอีกนิด”

เฉินผิงอันชี้ไปยังเส้นผมที่อยู่ในมือจงขุย “ข้าหมายถึงเจ้านี่”

จงขุยเหลือกตามองบน “ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในน้ำน่ะสิ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีกแล้ว น่าจะถูกจิตหยินของเจ้าดึงดูดมา เมื่อกินเจ้าเข้าไปแล้ว รับรองว่าตบะของมันต้องเพิ่มขึ้นพรวดพราดแน่นอน ข้าเห็นมันโผล่หัวออกมา แต่หน้าตากลับไม่ได้เละเทะอัปลักษณ์เหมือนผีพรายทั่วไป กลับกันยังงดงามไม่น้อย ข้าเลยอยากจะมาปรึกษากับผีสาวตัวนี้ดูหน่อยว่ามันจะออกมาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”

เพราะจงขุยไม่ได้ปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากกายเหมือนอย่างคืนนั้น ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั่วร่างจึงไหลออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน คืนนี้เขาจงใจอำพรางลมปราณเหมือนยามปกติที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ดังนั้นเหล่าผีพรายใต้น้ำจึงไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มรีบจมดิ่งลงไปในจุดที่ลึกที่สุดใต้น้ำเหมือนอย่างคืนนั้น หาไม่แล้วต่อให้จงขุยแค่เข้าใกล้ศาลเทพวารี เกรงว่าวิญญาณของพวกผีพรายในลำคลองหมายเหอก็คงแหลกสลายกันไปหมดแล้ว

ในชายแขนเสื้อสองข้างของจงขุยยังมีลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยียบเย็น ซึ่งมันไม่มีทางสนใจว่าเจ้าจะเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมหรือผีร้ายที่สมควรโดนกรรมตามสนอง

เฉินผิงอันมองเส้นผมสีนิลของผีสาวที่อยู่ในมือจงขุย แล้วค่อยมองจงขุยที่กำลังชักคะเย่อกับผีสาว

เฉินผิงอันถามว่า “สนุกไหม?”

จงขุยพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองศาลเทพวารีที่อยู่ห่างไปไกล

จงขุยปล่อยเส้นผมในมือออก เงาหยินใต้น้ำเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบเผ่นแน่บหายวับไปทันที

จงขุยลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่จิตหยินของเฉินผิงอัน เอ่ยกลั้วยิ้ม “เพ่งมองให้ละเอียดก็จะรู้แล้วว่าสนุกหรือไม่สนุก”

ทันใดนั้นคนทั้งสองก็จมวืดลงไปใต้น้ำ

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในใจกระจ่างแจ้ง

การเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัวคราวนั้น เขาได้เห็นชีวิตสารพัดรูปแบบในโลกมนุษย์มาแล้ว

แค่จงขุยบอกว่ามีวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์ราชวงศ์ต้าเฉวียน เฉินผิงอันขบคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง คิดดูแล้วการแข่งขันกันของแต่ละสำนักก็มีอยู่ในสำนักศึกษาเช่นกัน

แต่คำพูดอันดับถัดมาของจงขุยทำให้เฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ เขาชี้ไปที่โคมไฟคู่ที่อยู่ใต้น้ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าลองถลึงตามองข้าอีกสักครั้งดูสิ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าส่งไปเป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่เทพวารีลำคลองหมายเหอ?”

ปีศาจใหญ่ตนนั้นค่อยๆ ถอยกลับไป

ผีพรายพวกนั้นก็แยกย้ายกันตามไปด้วย

เฉินผิงอันถาม “ของขวัญแสดงความยินดี?”

จงขุยพยักหน้ารับ “การที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพราะได้ข่าวว่าจวนปี้โหยวของลำคลองหมายเหอจะได้แหกกฎเลื่อนเป็นตำหนักปี้โหยวแล้ว การตัดสินใจนี้ของสกุลหลิวต้าเฉวียน สำนักศึกษาของพวกเราให้การยอมรับโดยปริยาย ซึ่งอันที่จริงราชวงศ์ต้าเฉวียนไม่มีคุณสมบัติจะแต่งตั้ง ‘ตำหนัก’ นี้ คาดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือล้อมคอกหลังวัวหายของวิญญูชนในเมืองเซิ่นจิ่งผู้นั้น”

เทพวารีแห่งลำคลองท่านหนึ่งที่ได้รับคำว่า ‘สืบทอดระบบดั้งเดิม’ นั้นจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักเสียก่อน จากนั้นกษัตริย์จะออกราชโองการแต่งตั้ง กรมพิธีการมอบหนังสือทองป้ายหยกหรือสัญญาเงินตำราเหล็กให้ พอได้รับการบันทึกชื่อลงในผังรายชื่อของราชสำนักแล้วก็จะมีคุณสมบัติสร้างศาล สร้างร่างทองคำ ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันยังต้องได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาในทวีปที่อยู่ใกล้เคียงด้วย ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นได้แค่ศาลที่ถูกต้องของแคว้น แต่กลับเป็นศาลเถื่อนของในทวีป ศาลเล็กๆ ของเทพภูเขาในท้องถิ่นบางแห่งอาจไม่ต้องให้ความสนใจก็ได้ แต่หากเป็นศาลเทพวารีขนาดใหญ่ จะถูกมองว่ามีมรรคายิ่งใหญ่แต่ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะต้องพยายามขอร้องให้ฮ่องเต้ขอตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งมาจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ เอามาตั้งบูชาเพื่อให้ได้รับควันธูปร่วมกัน

ส่วนข้อที่ว่าตำราลัทธิขงจื๊อนั้นเป็นผลงานของอริยะท่านไหนจะถูกกำหนดตามที่เห็นสมควร โดยทั่วไปแล้วสำนักศึกษาจะตัดสินใจให้โดยดูตามสถานการณ์ แต่ก็มีเทพวารีส่วนน้อยที่นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างหรือมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้องการตำราเล่มไหนของอริยะท่านใด

แต่สถานการณ์เช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ในใบถงทวีปก็ยิ่งหายาก พันปีถึงจะพานพบสักครั้ง เทพวารีที่กล้าแข็งข้อกับสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลจะมีมากได้อย่างไร?

จงขุยไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เฉินผิงอัน การที่เขาออกจากเมืองหูเอ๋อร์ชั่วคราว มาเข้าร่วมเรื่องครึกครื้นในครั้งนี้ก็เพราะเจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดเป็นที่เลื่องลือคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลต่อสำนักศึกษาต้าฝูและสกุลหลิวต้าเฉวียนกับการที่จวนของตัวเองจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก กลับกันยังป่าวประกาศว่านางต้องการตำราของอริยะเล่มหนึ่งมาวางไว้ในตำหนักเทพวารี หาไม่แล้วนางก็ยอมแขวนป้าย ‘จวนปี้โหยว’ ต่อไป

ซึ่งทุกวันนี้ตำราอริยะปราญ์เล่มนั้นกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘อริยะปราชญ์’ เลยแม้แต่นิดเดียว

นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้สกุลหลิวต้าเฉวียนรวดร้าวมากที่สุด

เพราะตำราเล่มนั้นเขียนโดยเหวินเซิ่งในอดีต

พอจงขุยได้ยินว่ามีเรื่องวุ่นวายนี้เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าตนต้องเดินทางมาเยือนจวนปี้โหยวให้ได้

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเฉินผิงอันที่ปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางยามค่ำคืนก็เท่านั้น

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!