แต่เส้ายวนหรานก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหลุดหัวเราะพรืด ฮูหยินเทพภูเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองจินหวงกลับต้องกลายเป็นนักโทษในชั่วพริบตา สตรีผู้นี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ เดิมนึกว่าสามีภรรยาจะได้ครองรักกันไปหลายร้อยปี น่าอิจฉายิ่งกว่าคู่ยวนยางชายหญิงในโลกมนุษย์ ไหนเลยจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะจัดการกับนางอย่างไร
แต่เรื่องหยุมหยิมไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องสนุกน่าสนใจบนเส้นทางของการฝึกตนเท่านั้น
สิ่งที่สายตาของเส้ายวนหรานมองเห็นคือความอิสระเสรีบนมหามรรคาของเหล่าผู้อาวุโสเซียนดินทั้งหลาย สิ่งที่ในใจของเขาคิดถึงคือความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย มีชีวิตยืนยาวเคียงคู่ฟ้าดิน
ความห้าวเหิมเอ่อล้นอยู่ในใจของเส้ายวนหราน เห็นว่าบนชายฝั่งทั้งสองด้านของลำคลองหมายเหอไร้ผู้คนจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์ ข้าจะลองเลียนแบบเจียวหลงลงแม่น้ำดูบ้าง!”
นักพรตหนุ่มแห่งอารามจินติ่งกล่าวจบก็พลิ้วกายไปที่ผิวน้ำ เอาเท้าเหยียบลงไปเบื้องล่าง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสกับน้ำก็จะมีสะเก็ดน้ำลูกใหญ่ยักษ์กระจายออกมา เพียงแต่ว่าบนชุดเต๋าของเขากลับไม่เปียกน้ำสักหยด
อิ่นเมี่ยวเฟิงยังคงทะยานตัวอยู่ริมลำคลอง เห็นท่าทางของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองแล้วก็ด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าเด็กบ้า วันหน้าเป็นเซียนพสุธาแล้วยังจะทำตัวแบบนี้อีกไหม?!”
……
เฉินผิงอันรู้แค่ระยะห่างและตำแหน่งคร่าวๆ ของศาลเทพวารีเท่านั้น แต่โชคดีที่แค่ล่องไปตามลำน้ำแล้วคอยจับตามองชายฝั่งทั้งสองข้างก็พอ
ตามคำบอกของเหยาเจิ้นและเหยาจิ้นจือ ตอนล่างของลำคลองซึ่งห่างจากจุดพักม้าไปสามร้อยลี้ก็คือที่ตั้งของศาลเทพวารีหมายเหอแล้ว ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็กไร้นาม เนินเขาราบเรียบ ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบห้าของเดือนสามของทุกปี งานจุดธูปบูชาเทพเจ้าจะมีคนมารวมตัวกันมากถึงหลายร้อยคน คึกคักมากเป็นพิเศษ ขุนนางและชนชั้นสูงของเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียงก็จะตั้งโรงทานแจกโจ๊กแจกน้ำชาระหว่างช่วงที่มีงานวัด
ตอนนั้นเหยาเจิ้นพูดทอดถอนใจหนึ่งประโยค บอกว่าการเปิดจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคือธรณีประตูใหญ่แห่งที่หนึ่ง หากสามารถเลื่อนขั้นจวนให้เป็นตำหนักได้ นั่นถึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับที่สูงส่งอย่างแท้จริง
ไม่ต่างจากการที่ตระกูลเซียนบนภูเขาได้รับคำว่าจง (สำนัก) ใส่เข้ามาในชื่อ
ส่วนเหยาจิ้นจือกลับพูดถึงเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของศาลเทพวารี บอกว่าในห้องปีกข้างตั้งบูชาเทวรูปของเจ้าแม่หลิงก่านไว้องค์หนึ่ง ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องการประทานบุตรอย่างมากจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทิศ แทบทุกวันจะต้องมีสตรีแต่งงานแล้วจากแดนไกลเดินทางมาเยือน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยที่ตั้งครรภ์ได้ยาก เมื่อมาถึงจะมายังเรือนปีกข้างของศาลเทพวารีแห่งนี้ จุดธูปกราบไหว้ บริจาคเงินเล็กน้อยก็สามารถขอตุ๊กตาดินเหนียวตัวจิ๋วที่ตรงเอวผูกด้ายสีแดงจากหญิงชราที่เฝ้าศาลไปได้หนึ่งตัว เอาไปผูกไว้ที่ข้อมือ หากกลับบ้านเกิดแล้วมีลูกได้สมใจปรารถนาก็ไม่จำเป็นต้องเอากลับมาคืน แค่ห้ามทิ้งตุ๊กตาดินเหนียวที่เอากลับบ้าน ต้องเอาไปบูชา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าแม่หลิงก่านอยู่ไกลๆ
แต่สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการเห็นอย่างแท้จริงคือศิลาหยกขาวขนาดใหญ่สองร้อยกว่าก้อนที่อยู่ด้านหน้าศาลเทพวารีแห่งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนจารึกบทกวีและคำแซ่ซ้องสรรเสริญที่คนในราชสำนักและนักประพันธ์เขียนให้แก่เทพวารีลำคลองหมายเหอหลังจากที่เทพวารีลำคลองหมายเหอช่วยขจัดภัยแล้งให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน
ไม่ถึงสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่คอยเหลียวซ้ายแลขวา ‘ล่องลอย’ ไปตามกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ
ม่านราตรีมืดดำ ประตูใหญ่ของศาลเทพวารีปิดสนิท แต่เฉินผิงอันยังคงมองเห็นแสงโคมไฟที่ส่องสว่างแจ่มจ้าจากที่แห่งนั้นได้ไกลๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันมองเห็นศาลเทพวารีได้ในปราดเดียว
เฉินผิงอันพลันตระหนักได้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ แม้เผยเฉียนและจูเหลี่ยนจะมองไม่เห็น แต่หากในศาลเทพวารีมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางอยู่เล่า? เขาจะมองเห็นแล้วคิดว่าตนเป็นพวกภูตผีปีศาจที่ออกอาละวาดยามค่ำคืนหรือไม่?
นี่ทำให้เฉินผิงอันเริ่มลังเล
หรือระยะทางสามร้อยลี้ที่ล่องลอยมานี้จะเสียเที่ยว? หากบวกกับระยะทางกลับด้วยก็ตั้งหกร้อยลี้เชียวนะ
แต่คิดไปคิดมา เฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่ใจกลางลำคลองหมายเหอก็ยังตัดสินใจว่าจะลองขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งดู ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือได้แค่มองประตูศาลเทพวารีไกลๆ แล้วถูกคนเฝ้าศาลหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้จับได้ จากนั้นถูกไล่ฆ่าเป็นระยะทางสามร้อยลี้ คงต้องขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมช่วยออกหน้าอธิบายให้
และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู “จิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน? เฉินผิงอัน เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ? หัดมีเหตุผลบ้างได้ไหม?”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ห่างไปประมาณสามสิบก้าว มีบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนผิวน้ำ สองมือของเขาขยุ้มเส้นผมกำใหญ่ราวกับกำลังจะกระชากหัวใครออกมาจากในลำคลอง
เขาก็คือจงขุย
เฉินผิงอันขยับมาอยู่ข้างกายจงขุย ถามว่า “นี่คือ?”
จงขุยเงยหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังแย่งจองพื้นที่กับคนอื่นที่ศาลเทพวารี คิดว่าพอฟ้าสว่างแล้วจะได้จุดธูปเป็นคนแรก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้จิ่วเหนียงมองข้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาน้อยลงอีกนิด”
เฉินผิงอันชี้ไปยังเส้นผมที่อยู่ในมือจงขุย “ข้าหมายถึงเจ้านี่”
จงขุยเหลือกตามองบน “ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในน้ำน่ะสิ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีกแล้ว น่าจะถูกจิตหยินของเจ้าดึงดูดมา เมื่อกินเจ้าเข้าไปแล้ว รับรองว่าตบะของมันต้องเพิ่มขึ้นพรวดพราดแน่นอน ข้าเห็นมันโผล่หัวออกมา แต่หน้าตากลับไม่ได้เละเทะอัปลักษณ์เหมือนผีพรายทั่วไป กลับกันยังงดงามไม่น้อย ข้าเลยอยากจะมาปรึกษากับผีสาวตัวนี้ดูหน่อยว่ามันจะออกมาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”
เพราะจงขุยไม่ได้ปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากกายเหมือนอย่างคืนนั้น ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั่วร่างจึงไหลออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน คืนนี้เขาจงใจอำพรางลมปราณเหมือนยามปกติที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ดังนั้นเหล่าผีพรายใต้น้ำจึงไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มรีบจมดิ่งลงไปในจุดที่ลึกที่สุดใต้น้ำเหมือนอย่างคืนนั้น หาไม่แล้วต่อให้จงขุยแค่เข้าใกล้ศาลเทพวารี เกรงว่าวิญญาณของพวกผีพรายในลำคลองหมายเหอก็คงแหลกสลายกันไปหมดแล้ว
ในชายแขนเสื้อสองข้างของจงขุยยังมีลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยียบเย็น ซึ่งมันไม่มีทางสนใจว่าเจ้าจะเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมหรือผีร้ายที่สมควรโดนกรรมตามสนอง
เฉินผิงอันมองเส้นผมสีนิลของผีสาวที่อยู่ในมือจงขุย แล้วค่อยมองจงขุยที่กำลังชักคะเย่อกับผีสาว
เฉินผิงอันถามว่า “สนุกไหม?”
จงขุยพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองศาลเทพวารีที่อยู่ห่างไปไกล
จงขุยปล่อยเส้นผมในมือออก เงาหยินใต้น้ำเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบเผ่นแน่บหายวับไปทันที
จงขุยลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่จิตหยินของเฉินผิงอัน เอ่ยกลั้วยิ้ม “เพ่งมองให้ละเอียดก็จะรู้แล้วว่าสนุกหรือไม่สนุก”
ทันใดนั้นคนทั้งสองก็จมวืดลงไปใต้น้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!