สรุปตอน บทที่ 350.2 – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 350.2 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่เทพภูเขาและแม่น้ำต่างก็ข้ามเขตแดนบุกไปยังเขตของผู้อื่นโดยพลการเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างมาก หากมีคนเอาไปฟ้องที่ว่าการกรมพิธีการของเมืองหลวง จุดจบของเทพอภิบาลเมืองอย่างเขาที่นั่งอยู่ในบ้าน หายนะกลับร่วงจากฟ้ามาเยือนนี้ย่อมไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าโง่ที่ไม่รู้หนักเบาทั้งสองคนนั้นสักเท่าไหร่
เทพอภิบาลเมืองมองเจ้าสารเลวทั้งสองที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวกลับจวนไป มองเห็นคนของตระกูลเหยาที่อยู่ริมลำคลอง ร่ายวิชาดูลมปราณแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกบาดตา ในใจสั่นสะท้าน คิดจะพลิ้วกายลงไปหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าข้ารับใช้ของคนเหล่านั้นช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ผู้ฝึกลมปราณสองคนถึงกับชักดาบออกมาโดยตรง ประกาศว่าห้ามเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นจะมองเป็นการลอบสังหาร เทพอภิบาลเมืองโมโหจนแทบจะเรียกองค์เทพใต้บังคับบัญชาสองคนนั้นกลับมาเล่นงานต่อ โชคดีที่ได้รับควันธูปมานานหลายปี ยังพอจะมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์อยู่บ้าง สุดท้ายจึงได้แต่จดจำใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้นไว้จนขึ้นใจ แล้วกลับไปยังเขตการปกครองของตนเองด้วยสีหน้ามืดทะมึน
ระหว่างที่ขบวนใหญ่เดินทางย้อนกลับมา เหยาเจิ้นขยับมาอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เหตุใดถึงไม่รับน้ำใจคนอื่นขนาดนี้?”
เหยาจิ้นจือกล่าวอย่างจนใจ “การเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพวกขุนนางท้องถิ่นตลอดทางที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากเกี่ยวพันไปถึงเทพอภิบาลเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งอธิบายได้ยาก ท่านปู่คงไม่อยากให้ยังไม่ทันไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งก็ถูกขุนนางทัดทานของหกกรมถวายฎีกาอย่างลับๆ แล้วกระมัง? ต่อให้ฮ่องเต้จะเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ทว่าตั้งแต่วงการขุนนางไปจนถึงพวกชาวบ้านจะต้องเกิดคลื่นลมมรสุมขึ้นอีกระลอกหนึ่งแน่นอน ถ้าเช่นนั้นใต้หล้ามีใครบ้างที่ไม่ชอบดูเรื่องสนุก? พวกเราเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะมาชมเรื่องสนุกหรอกหรือ? ยังจะต้องสนใจด้วยหรือว่าเทพภูเขาและพ่อปู่ลำคลองสองท่านนั้นใครถูกใครผิด?”
เหยาเจิ้นคิดตามนิดเดียวก็กระจ่าง แล้วก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ในใจแม่ทัพผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง หากเหยาจิ้นจือเป็นผู้ชาย ให้นางอยู่ต่อที่ชายแดน เขาก็วางใจแล้ว
เผยเฉียนเก็บปลาแม่น้ำมาได้กองใหญ่ ผลคือเฉินผิงอันไม่ยอมรับไว้ นางจึงได้แต่จับหางปลาแล้วทยอยขว้างลงไปในลำคลองทีละตัว ทำเอานางเหนื่อยจนเหงื่อแตกเต็มหลัง
มาถึงเมืองฉีเฮ้อที่เป็นทั้งเขตการปกครองและเป็นมณฑลแห่งหนึ่งก็ถือว่าอยู่ใกล้กับเมืองหลวงต้าเฉวียนในระยะประชิดแล้ว
เขตการปกครองแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ชื่อของเขตการปกครองมาจากตำนานเล่าลือว่ามียอดฝีมือผู้ฝึกตนท่านหนึ่งขี่นกกระเรียน (ฉีเฮ้อ ชื่อของเมือง) บินทะยานไปจากที่นี่ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือ ในเขตการปกครองมีภูเขาลูกเล็กอยู่แห่งหนึ่งที่ทัศนียภาพไร้ซึ่งความมหัศจรรย์ใดๆ แต่เพียงเพราะเป็นสถานที่ที่เซียนผู้นั้นขี่กระเรียนบินทะยาน ทุกปีจึงมีนักประพันธ์และปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ บริเวณโดยรอบภูเขาล้วนเป็นเรือนพักที่คนมีเงินและมีอำนาจของเมืองหลวงซื้อที่ดินไว้แล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นมา พื้นที่ทุกชุ่นล้วนเป็นเงินเป็นทอง
เทพอภิบาลเมืองคนก่อนหน้านี้น่าจะอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ เพียงแต่เหยาเจิ้นยังไม่ถึงขั้นต้องกริ่งเกรงเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง
เจ้ากรมพิธีการที่ควบคุมเรื่องการเคลื่อนย้าย การลดขั้นและเพิ่มขั้นของเทพอภิบาลเมืองในหนึ่งแคว้นมีระดับขั้นและเงินเดือนไม่ต่างจากเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าเฉวียนยังให้ความสำคัญกับฝ่ายบู๊ เจ้ากรมกลาโหมไม่ใช่ตำแหน่งว่างเปล่าจอมปลอมอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เป็นเก้าอี้อันดับหนึ่งที่แม่ทัพฝ่ายบู๊ทุกคนหวังจะได้นั่งยามแก่ชรา
ยังคงหยุดพักที่โรงเตี๊ยมของจุดพักม้า นี่ก็คือกฎของราชสำนัก จุดพักม้าในเมืองกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก ถึงขั้นไม่เป็นรองจวนของโหวหรืออ๋องเลย เพื่อต้อนรับเหยาเจิ้น คนสนิทของจวนผู้ว่าฯ และเจ้าเมืองต่างก็วิ่งวุ่นไปเยือนจุดพักม้าอยู่หลายรอบ เก็บกวาดจุดพักม้าจนแทบจะสะอาดเอี่ยม
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เหยาเจิ้นก็ได้แต่รับน้ำใจไว้ แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น คำที่ว่าน้ำใสเกินไปปลาก็อยู่ไม่ได้ใช้ได้ดีเป็นพิเศษในวงการขุนนาง
โดยทั่วไปแล้ว ในราชสำนักสามารถยอมรับขุนนางตงฉิน ขุนนางกังฉิน ขุนนางผู้มีความสามารถ ขุนนางผู้โง่เขลาและพวกหญ้ายอดกำแพงมากมาย มีเพียงอย่างเดียวที่ยอมรับไม่ได้ก็คือบุคคลที่เป็นดั่งอริยะผู้มีคุณธรรม
นั่นก็เหมือนการเอากระจกส่องมารมาแขวนไว้เหนือราชสำนัก ข้อบกพร่องหลากหลายชนิดของเหล่าเสาหลักแห่งแคว้นจะเปิดเผยสู่สายตาผู้คนอย่างแจ่มชัด
ในใจของแม่ทัพเฒ่าเต็มไปด้วยความปลงอนิจจัง หลักการการอยู่ร่วมกับคนบนโลกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลานสาวเหยาจิ้นจือของเขาพูดให้ฟังตอนอายุสิบสี่สิบห้าปี
บางครั้งเหยาเจิ้นก็จะเย้ยหยันตัวเอง ตนสู้อุตส่าห์สั่งสมประสบการณ์ในชีวิตที่มาจนอายุปูนนี้ หรือจะต้องกลายเป็นหญ้าเลี้ยงม้าที่ใช้เลี้ยงม้าศึกจริงๆ?
ยังดีที่ในขบวนเดินทางมีเฉินผิงอัน
การเดินทางขึ้นเหนือของเหยาเจิ้นครั้งนี้ เขาชอบที่จะคุยเล่นกับคนหนุ่มผู้นี้ที่สุด
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ประลองฝีมือกับเหยาเซียนจือตามสัญญาและให้คำชี้แนะเขาไปบ้างแล้ว เหยาเซียนจือเห็นคำพูดของเฉินผิงอันเป็นมาตรฐานหลัก ตอนที่กลับไปพูดคุยกับท่านปู่จึงรู้สึกเศร้าโศกอย่างมาก บอกว่าวรยุทธ์ที่ตนเล่าเรียนมาชั่วชีวิตนี้ล้วนไปอยู่บนร่างสุนัขหมดแล้ว เหยาเจิ้นจึงถามเขาว่า คำว่า ‘ชั่วชีวิตนี้’ ของเจ้าหมายถึงกี่ปีกันล่ะ เหยาเซียนจืออึ้งงันพูดไม่ออก ทำเอาเหยาจิ้นจือที่นั่งต้มชาอยู่ด้านข้างขำขัน แม้ว่าเหยาจิ้นจือจะเล่นหมากล้อมไม่ชนะหลูป๋ายเซี่ยง แต่เรื่องการต้มชานี้ นางถือว่ามีฝีมือระดับแคว้นเลยทีเดียว
ในสถานที่ที่มีแต่เม็ดทรายหยาบกระด้างอย่างชายแดน ตระกูลเหยาที่ชายหญิงแต่ละรุ่นล้วนเป็นวีรบุรุษผู้องอาจห้าวหาญ สามารถอบรมสั่งสอนสตรีที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร?
อยู่ดีๆ เหยาเซียนจือก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “พี่หญิงจิ้นจือ ข้าไม่ชอบเส้ายวนหรานผู้นั้น ข้าชอบเฉินผิงอัน”
เหยาจิ้นจือยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าชอบหรือไม่ชอบ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
เหยาเซียนจือยังจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกเหยาจิ้นจือถลึงตาใส่ ทำเอาเขาตกใจจนรีบกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไป
เหยาเจิ้นหัวเราะชอบใจอย่างไม่มีมาดเจ้าประมุขตระกูลเหยาเลยแม้แต่น้อย
เหยาจิ้นจือพูดด้วยประโยคเรียบง่ายประโยคหนึ่งว่า “ท่านปู่ หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานราชสำนักจะต้องส่งทูตมาเยือนเมืองฉีเฮ้ออย่างลับๆ ถึงเวลานั้นท่านปู่ค่อยหัวเราะก็ยังไม่สาย”
คราวนี้เหยาเจิ้นหัวเราะไม่ออกแล้ว
อยู่ในวงการขุนนางที่เหมือนแช่ตัวอยู่ในบ่อย้อมสีมาหลายสิบปี กลอุบายลึกลับซับซ้อนของพวกคนที่ฝึกวิชาการใช้อำนาจอย่างเชี่ยวชาญจนกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำให้ผู้เฒ่าปวดหัวไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องของตัวเอง ใช้ท่าจับกระบี่เสมือนจริง หลับตาจินตนาการภาพการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนที่มีมาดแตกต่างกันออกไป
บนโต๊ะวางกระบอกไม้ไผ่ไว้อันหนึ่ง กระบอกไม้ไผ่ทำมาจากไม้ไผ่สีเขียวธรรมดาซึ่งเขาใช้มือผ่ามาจากป่าไผ่บนภูเขาเขียวระหว่างทาง
เฉินผิงอันคิดว่าจะสลักกระบอกใส่พู่กันให้เป็นของขวัญจากลา มอบให้แก่ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา
เผยเฉียนวิ่งมาบอกว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก เฉินผิงอันบอกให้นางไปถามหลูป๋ายเซี่ยงว่ายินดีจะพานางออกไปข้างนอกหรือไม่ หากเขาไม่ยินดี นางก็ต้องอ่านหนังสืออยู่ในห้องอย่างว่าง่าย ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมอบตำราลัทธิขงจื๊อเล่มที่สองให้นางแล้ว เผยเฉียนท่องจำจนขึ้นใจ มีครั้งหนึ่งนางยังมาที่ห้องเฉินผิงอันด้วยสีหน้าลิงโลด บอกว่านางสามารถท่องย้อนกลับจากด้านหลังได้ด้วย เฉินผิงอันจึงหยิบตำรามา บอกให้นางลองท่องให้ฟัง นางก็ท่องตัวอักษรหนึ่งพันกว่าคำได้ไม่ผิดเลยสักคำจริงๆ จากนั้นเฉินผิงอันก็ดึงหูนาง บอกให้นางกลับห้องปิดประตูทบทวนตัวเอง พูดแค่ประโยคเดียวว่าท่องหนังสือต้องตั้งใจ เจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นลมที่พัดผ่านหูหรือไร?
คราวนั้นเผยเฉียนกลับมาถึงห้องของตัวเองอย่างขุ่นเคือง ยืนอยู่บนเก้าอี้หลุบตาลงต่ำมองหนังสือยับๆ บนโต๊ะเล่มนั้น จับปลายคาง ขมวดคิ้วแน่น ตั้งใจ? หมายความว่าไง? ตนยังไม่ตั้งใจมากพออีกหรือ? เพื่อให้ตัวเองสามารถท่องหนังสือกลับหลังได้ตนยังใช้เวลาไปตั้งหนึ่งก้านธูปเชียวนะ นางนั่งยองลง มองชื่ออริยะปราชญ์ที่เขียนตำราผายลมสุนัขเล่มนี้แล้วจดจำเอาไว้ รอให้ตนฝึกวิชากระบี่วิชาหมัดสำเร็จเมื่อไหร่ วันหน้าจะต้องเล่นงานให้เจ้าเฒ่าสารเลวผู้นี้ร้องหาบิดามารดาเลยทีเดียว
นางลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงกระโดดลงจากเก้าอี้ หยิบไม้เท้าเดินป่าที่ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันมานานอันนั้นขึ้นมาฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากฝึกเสร็จก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง นางพลันรู้สึกว่าตัวเองขยับเข้าใกล้การได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอีกนิดแล้ว อารมณ์ดีขึ้นในพริบตา จึงกระโดดฟุบลงบนเตียง กรนครอกๆ หลับสนิทไปทันที
วันนี้ได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันนางจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหาหลูป๋ายเซี่ยงที่นางแอบตั้งชื่อเล่นให้อย่างลับๆ ว่า ‘เสี่ยวป๋าย’ แต่หลูป๋ายเซี่ยงกลับกำลังเล่นหมากล้อมกับสุยโย่วเปียน บอกว่าให้รอเขาครึ่งชั่วยาม เผยเฉียนหันหน้ากลับไปมองเว่ยเซี่ยนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเบื่อหน่าย เขาไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แค่รอให้รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น นางกำลังจะอ้าปากพูด เว่ยเซี่ยนที่ตาจ้องกระดานหมากล้อมเขม็งพลันเอ่ยว่าไป แล้วก็ลุกขึ้นยืน เผยเฉียนเข้าใจได้ในฉับพลัน แล้วคนทั้งสองก็ออกจากจุดพักม้าไปเดินเล่นด้วยกัน
เผยเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเว่ย ที่ตัวเจ้าพกเงินมาบ้างไหม?”
เผยเฉียนเองก็ไม่ซักไซ้ถามต่อ นางกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกอยากกิน จึงยิ้มตาหยีพูดว่า “เหล่าเว่ย ซื้อน้ำตาลปั้นให้ข้าสักไม้ได้ไหม?”
เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เหล่าเว่ย เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนขี้งกขนาดนี้?”
เว่ยเซี่ยนคลี่ยิ้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ข้าไม่ได้มีความสามารถและความอดทนเหมือนเฉินผิงอัน เลี้ยงเจ้าไม่ไหวหรอก”
เผยเฉียนมึนๆ งงๆ กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอยืมเงินเจ้าซื้อน้ำตาลปั้น?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “คิดตามหลักดอกเบี้ยสามส่วน”
เผยเฉียนหน้านิ่วคิ้วขมวด “แม้ข้าจะรู้ว่าดอกเบี้ยสามส่วนคิดอย่างไร แต่ข้าคิดว่าช่างมันเถอะ ไม่กินก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่หิวตายหรอก”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่นางกลับวิ่งปรู๊ดไปหยุดอยู่หน้าแผงน้ำตาลปั้นอย่างรวดเร็วราวกับมีลมผุดใต้ฝ่าเท้า จากนั้นสองขาก็เหมือนมีรากงอก ให้ตายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปทางไหน
เว่ยเซี่ยนจะทิ้งเผยเฉียนให้อยู่ตรงนี้คนเดียวก็ไม่ได้
หากทำเผยเฉียนหายไป คนอย่างเฉินผิงอันต้องใช้หมัดคุยกับเขาแน่
ตรงร้านน้ำตาลปั้น ผู้เฒ่าปั้นน้ำตาลอย่างคล่องแคล่วมีฝีมือ เด็กเล็กๆ จึงมายืนออกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนเบิกตากว้างน้ำลายไหล มีผู้ใหญ่ยืนอยู่ข้างกาย แต่ละคนล้วนได้น้ำตาลปั้นในรูปแบบที่ตนเองต้องการสมใจปรารถนา
แผงลอยเป็นตู้สี่เหลี่ยมทรงยาวมีชั้นวาง ด้านล่างคืออ่างไม้ทรงกลมที่ใส่เตาไฟขนาดเล็กเอาไว้ ผู้เฒ่าใช้ช้อนใหญ่ราดน้ำตาลเหนียวหนืดสีทองอร่ามลงไป หมุนๆ วนๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำตาลปั้นรูปทรงต่างๆ
เว่ยเซี่ยนควักเงินซื้อมาสองไม้ เผยเฉียนจ้องน้ำตาลปั้นไม้หนึ่งในมือเว่ยเซี่ยนเขม็ง
เว่ยเซี่ยนจึงยื่นให้นาง “มอบเป็นรางวัลให้เจ้า”
น้ำเสียงนี้ราวกับจักรพรรดิประทานที่ดินบรรดาศักดิ์ขนาดใหญ่ให้แก่ขุนนางอย่างไรอย่างนั้น
เผยเฉียนยิ้มหน้าบาน “กลับไปข้าจะพูดถึงเจ้าดีๆ ต่อหน้าพ่อข้าทุกวัน ตอนนี้ข้าถือเป็นบัณฑิตครึ่งตัวแล้ว พูดคำไหนเป็นคำนั้น!”
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กแทะน้ำตาลปั้นอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูแล้วไม่สะดุดตานัก
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!