บทที่ 352.2 อายุสิบเอ็ดปีหน้า – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 352.2 อายุสิบเอ็ดปีหน้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เผยเฉียนสีหน้ามึนงง คราวนี้นางไม่ได้แกล้งทำ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงถามเช่นนี้
เฉินผิงอันเองก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน “เจ้าไม่ได้แอบลักจำเรียนจากข้ารึ?”
เผยเฉียนถามกลับ “ข้าจะเรียนท่าเดินส่ายเอียงไปเอียงมาของเจ้าทำไม?”
นางลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา กางเล็บแยกเขี้ยว แล้วแสร้งทำท่าชักกระบี่ออกจากฝัก สองนิ้วประกบกันจ้วงแทงมั่วซั่ว เดี๋ยวก็กระโดดขึ้นลงสองสามที ยังปล่อยหมัดส่งเดชอีกหนึ่งคำรบ โอ้อวดฝีไม้ลายมือของตัวเองครบหนึ่งรอบก็กล่าวว่า “แน่นอนว่าหากข้าจะเรียนก็ต้องเรียนกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุด!”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าน่าตลก กลับกันสีหน้ายังเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
บนถนนใหญ่ของพื้นที่มงคลดอกบัว การบังคับกระบี่ของลู่ฝ่าง
ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของเฉินผิงอัน
รวมไปถึงกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ต่อยให้จ้งชิวถอยร่น
ปะปนไปกับกระบวนท่าที่มารเฒ่าติงอิงใช้แบบกระจัดกระจาย
แม้ว่ามองไปแล้วจะไม่เหมือน
แต่ว่า
เคยมีคนบอกว่า หากฝึกหมัดไม่จริงจังย่อมทำให้เทพและผีหัวเราะเยาะ แต่หากฝึกหมัดแล้วโยนกระบวนท่าหมัดทั้งหมดทิ้งไป แต่ฝึกสัจธรรมที่แท้จริงของหมัดโดยตรงเลยล่ะ?
ในความทรงจำของเฉินผิงอัน มีเพียงคนเดียวที่ทำได้แบบนี้
จริงดังที่คาดไว้
เฉินผิงอันถามหนึ่งคำถาม “เมื่อตอนกลางวันเจ้าจ้องมองนักพรตเส้าแบบนั้น เป็นเพราะมองอะไรออก?”
เผยเฉียนไม่กล้าตอบ
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอแค่ไม่โกหก ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรก็ล้วนไม่มีปัญหา”
เผยเฉียนถึงได้กวาดตามองซ้ายมองขวา ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าคนแซ่เส้าผู้นั้นไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ใช่คนดี”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อที่สอง “เจ้ามองเห็นนักพรตผู้เฒ่าที่มาเยือนคืนนี้ใช่หรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
นั่นคือวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ย่อพื้นที่ให้เล็กลงที่บรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงเป็นผู้ร่ายใช้เชียวนะ
เฉินผิงอันถามอีก “หากวันหน้าเจ้าฝึกหมัดแล้วได้ดี เมื่อมีคนมารังแกเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร บอกมาตามตรง!”
เผยเฉียนสองจิตสองใจ “ต่อยหมัดเดียวให้เขาร่อแร่ใกล้ตาย?”
เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะโมโห ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนางจึงยกสองมือกอดอก พูดเสียงขุ่นเคืองอย่างไม่แยแส “ต่อยหนึ่งหมัดให้ตายไปเลย!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วถ้าความจริงเจ้าเป็นคนผิดเล่า?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ข้าอยู่ข้างกายเจ้าทุกวัน จะทำผิดได้อย่างไร!”
ในใจเฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่กลับตีหน้าเคร่งถามว่า “แต่สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องออกจากบ้านไปเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง! ทำไมข้าต้องออกจากบ้านไปคนเดียวด้วย ข้างนอกมีคนชั่วอยู่มากมายขนาดนั้น หากเอาชนะพวกเขาไม่ได้จะทำอย่างไร? อีกอย่าง หากถึงเวลานั้นข้าเอาเงินไปไม่มากพอ ทุกวันต้องทนหิว ข้าต้องไปขโมยไปแย่งชิงของของคนอื่นแล้วเจ้ารู้เข้า เจ้าก็จะต้องตีข้าด่าข้าอีก ข้าจะทำยังไงได้? ถูกไหม ดังนั้นข้าไม่มีทางออกจากบ้านแน่”
เฉินผิงอันถาม “แล้วถ้าวันหนึ่งเจ้าฝึกวรยุทธ์จนเก่งกาจอย่างมาก เก่งกว่าข้าอีกล่ะ?”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว ตั้งใจคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้าสุดชีวิต “ข้าขี้เกียจจะตาย ชอบนอนมากที่สุด แถมยังกลัวเจ็บ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทาง ฝ่าเท้าข้ามีตุ่มน้ำพอง เวลาที่ต้องเจาะมันให้แตก ข้ายังแหกปากร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง ตอนอยู่โรงเตี๊ยมเจ้าต่อสู้กับคนอื่นจนกระดูกโผล่ออกมาจากแขนสองข้าง เจ้าไม่ร้องไห้ แต่ข้าน่ะทำไม่ได้หรอกนะ หากข้าก้มหน้าลงแล้วเห็นแขนตัวเองเป็นอย่างนั้นอาจจะตกใจจนเป็นลมไปเลยก็ได้ เฮ้อ ใต้หล้านี้หากมีวิชายุทธ์ล้ำโลกที่ไม่ต้องทนลำบากแล้วฝึกได้สำเร็จในวันเดียวก็ดีน่ะสิ”
เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะ “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือว่าตัวเองขี้เกียจ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า แถมยังขี้ขลาดด้วย?”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “เจ็บคาง”
เฉินผิงอันหัวเราะ หมุนตัวกลับไป เอาหลังพิงโต๊ะหิน เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
เผยเฉียนเลียนแบบเขาบ้าง เพียงแต่ว่านางตัวเล็ก จึงได้แต่เอาท้ายทอยวางพาดบนโต๊ะหินเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ผ่านปีนี้ไป เจ้าก็จะอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้มาก ศึกษาเล่าเรียนเหตุผลและหลักการเยอะๆ”
แบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วง ทั้งยังต้องทนรับความลำบากอย่างยาวนาน
เหนื่อยใจยิ่งกว่าตอนตนฝึกวิชาหมัดหนึ่งล้านครั้งเสียอีก
แต่ว่าก็ยังดี
เฉินผิงอันพูดความในใจกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก “ตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้าอายุค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้เรียนหนังสือ อาจารย์ฉีจึงบอกกับข้าว่าหลักการอยู่ในหนังสือ แต่การปฏิบัติตนนั้นอยู่นอกตำรา”
สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำว่า “หวังว่ายามเยาว์วัยของทุกคนบนโลกล้วนสามารถได้พบเจอกับอาจารย์ฉี”
เผยเฉียนในเวลานี้ยังคงเป็นเด็กหญิงที่ชอบจะเลือกฟังแค่ในสิ่งที่ตัวเองชอบใจ
ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันบอกว่าปีหน้านางจะอายุสิบเอ็ดปีแล้ว
บนโลกนี้มีเพียงแค่เฉินผิงอันที่จดจำเรื่องพวกนี้ได้ ปีนี้นางอายุสิบขวบ ปีหน้าก็สิบเอ็ดขวบ
……
นักพรตเฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงพลันหยุดชะงัก หยิบไม้ไหวออกมา จิตหยินของจงขุยจึงปรากฏกาย
บนทะเลเมฆ จงขุยเห็นคนที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาก็คือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อาจารย์ของเขา
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูเพียงแค่มองจงขุย
จงขุยจึงเอ่ยเรียกเบาๆ “อาจารย์?”
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาจะไม่กล้าเชื่อว่าฝันร้ายนี้เป็นความจริง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า “ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย”
แค่ความคิดเดียวที่ผิดพลาด ตอนนั้นเขาไม่ควรไปที่จวนปี้โหยว ไม่ควรให้ลูกศิษย์ที่ ‘ตนภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต’ คนนี้เดินทางไปที่ภูเขาไท่ผิง ควรให้เขาอยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กริมชายแดน คอยจับตามองจิ้งจอกเก้าหางที่อำพรางตัวไม่ยอมเผยกายตัวนั้นไปซะ
แม้ว่าจิ้งจอกเก้าหางจะเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง ทว่าสถานะของนางพิเศษอย่างยิ่ง ลำดับศักดิ์ก็สูงมาก เป็นเหตุให้นามแท้จริงของนางถูกเปิดเผยมานานแล้ว ขอแค่รู้ชื่อจริงของปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลทั้งหมดที่อยู่บนโลก และขอแค่ร่างของจงขุยอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็เท่ากับว่ามีพลังเหลือให้ปกป้องตัวเอง
เทพเกราะทองก็คือหนึ่งในองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาเอ่ยเหน็บแนมว่า “ตอนนั้นใครเป็นคนเสนอแนะให้ซิ่วไฉยากจนอย่างเจ้าได้เลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในศาลบุ๋น? เจ้าช่วยบอกข้าที ข้าจะได้ไปถามเขาว่า ตาสุนัขของเขามืดบอดไปแล้วหรืออย่างไร”
นี่ก็คือคดีใหญ่ที่คนของลัทธิขงจื๊อให้การยอมรับว่ายังไม่อาจตัดสินได้
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกวนอารมณ์ “เจ้าลองเดาดูสิ?”
ต่อให้องค์เทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานจะนิสัยดีแค่ไหน แต่มีคนมาคอยบ่นพึมพำข้างหูเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก็ให้หงุดหงิดแล้วเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ตาแก่สกปรกผู้นี้มีนิสัยไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (หมายถึงลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) การมาเยือนครั้งนี้จะมีเรื่องดีได้หรือ?
ตอนนี้เขาจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป “เดากับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ!”
ซิ่วไฉเฒ่ากระดกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ปู่ทวดของข้า แต่เป็นบรรพจารย์ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา ข้าก็อยากให้ท่านผู้อาวุโสเป็นปู่ทวดของข้าอยู่เหมือนกัน เฮ้อ น่าเสียดายๆ …”
นิสัยหัวแข็งเกรี้ยวกราดขององค์เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานท่านนี้เป็นที่เลื่องลือ ทว่าเวลานี้เขากลับลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะให้แก่ฟ้าดิน ถือเป็นการขออภัยปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้น
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้าก็รู้จักข้าดีนี่นาว่าเป็นคนหน้าบางมาก มักจะชอบเอ่ยเตือนตัวเองว่าไม่มีคุณความชอบมิอาจรับผลตอบแทน ทว่าความรู้ของข้าสูงส่ง บทความก็เขียนได้ดี หลักการเหตุผลที่พูดออกมาล้วนมหัศจรรย์ ดังนั้นปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นจึงมาหาข้า พูดด้วยความหวังดี เกลี้ยกล่อมอย่างน่าฟัง ทำเอาข้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดถึงเรื่องบางเรื่องที่ตัวข้าเองคิดว่าตัวเองธรรมดามาโดยตลอด ทว่ามีประโยคหนึ่งในนั้นที่ข้ารู้สึกว่าเขาพูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก อริยะปราชญ์ในยุคบรรพกาลล้วนเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง แต่วีรบุรุษที่แท้จริงล้วนไม่อาจเป็นอริยะปราชญ์ได้เสมอไป! พอข้าได้ยินก็รู้สึกว่ายังคงเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เข้าใจข้า ข้าก็เลยเสนอข้อเรียกร้องเล็กๆ กับบรรพจารย์ท่านนี้…”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดเสียงหนัก “ข้าไม่อยากฟัง หุบปาก!”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายสุดแสน “ทำไมเจ้าคนนี้ถึงไม่รู้จักแบ่งแยกดีเลวบ้างเลยนะ?”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าแยกแยะดีเลวได้จะปล่อยให้เจ้าขึ้นมาบนภูเขาหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง เหมือนรู้สึกว่าเรื่องนี้ตนไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ จึงรีบเปลี่ยนมาพูดใหม่ว่า “ตงไห่เจ้าจมูกโคเฒ่าผู้นั้น (จมูกโคเป็นคำเรียกดูหมิ่นนักพรตเต๋า เนื่องจากนักพรตโบราณมักจะไว้ผม ด้วยการมวยผมสองจุก แลดูคล้ายโค) นิสัยไม่น่ารักเอาซะเลย แต่เรื่องนี้ยังพอจะถูไถไปได้ ลงมือทีก็ถือว่าใจกว้าง ไม่ลดสถานะของตัวเอง รู้จักมอบของดีชิ้นหนึ่งให้กับเด็กคนนั้น แม้ว่าจะไม่อาจช่วยเหลือในการฝึกตน ทว่าเรื่องราวและวัตถุบนโลกนี้ ดีย่อมไม่สู้บังเอิญ สามารถช่วยอำพรางความลับสวรรค์ได้พอดี ดีกว่างอบผุๆ อันนั้นของอาเหลียงด้วยซ้ำ เห็นแก่ความดีข้อนี้ ข้าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องสกปรกที่เขาทำลงไปในพื้นที่มงคลดอกบัว”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดเสียดสี “ต่อให้ตอนนี้เจ้าคิดอยากจะงัดข้อกับเขา แล้วเจ้าทำได้หรือไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ในด้านการอธิบายหลักการเหตุผลกับคนอื่น บัณฑิตอย่างพวกเราต้องมีการแบ่งแยกสูงต่ำ ตีรันฟันแทงกัน เจาะท้องฟ้าให้เป็นรูล้วนไม่ถือว่าเป็นความสามารถที่แท้จริง”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานไม่ได้โต้เถียงอย่างที่หาได้ยาก
ชายแขนเสื้อสองข้างของซิ่วไฉเฒ่าพองโป่งไม่หยุดเพราะลมกรดบนยอดเขาสุ้ยซาน ต่อให้เป็นบนเสื้อเกราะสีทองของเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานก็ยังมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ทว่าอาภรณ์และเส้นผมของซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่โบกสะบัดไปตามลมเลยแม้แต่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเสียงเบา “อริยะตายยาก วิญญูชนกลับมีชีวิตอยู่ได้ยาก”
“เมธีร้อยสำนัก มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราเท่านั้นที่ไม่ควรยึดถือในเรื่องผู้ปกป้องมรรคาอะไร สำนักศึกษาก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของบัณฑิตในโลก สถานศึกษาสามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลล้วนมีวิญญูชนที่ตายอยู่เบื้องหน้าอริยะเช่นนี้อยู่ ข้ารู้สึกว่าวิญญูชนเจิ้งเหรินที่ไม่ฉลาดพอเหล่านี้ก็คือกระดูกสันหลังของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ของพวกเรา สามารถ…”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันหมดคำพูด หันหน้ามาตวาดถามว่า “เจ้าโง่ ไหนเจ้าลองคิดหาคำพูดมาสิ”
เทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานกล่าวอย่างเฉยเมย “ค้ำฟ้ายันดิน”
ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาดใหญ่อีกครั้ง “ประเสริฐยิ่ง!”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “เจ้าไม่เคยเป็นวิญญูชนที่แท้จริงของลัทธิขงจื๊อด้วยซ้ำ”
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบงัน
……
ในศาลบุ๋นมีอริยะท่านหนึ่งเดินออกมาจากเทวรูปดินเผาของตัวเอง แท่นบูชาที่ตั้งวางเทวรูปนั้นสูงมาก ตำแหน่งของเทวรูปเองก็อยู่ใกล้กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางอย่างถึงที่สุด เขายังจูงมือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามเขาจากสถานที่อื่นมาเยือนใต้หล้าไพศาลด้วย
พอพาเด็กหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูออกไปแล้ว อริยะก็หันไปมองตำแหน่งที่ตั้งเทวรูปที่ว่างเปล่า แล้วหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับเด็กหนุ่มว่า “วันหน้าเมื่อเจ้ามีโอกาสก็ลองช่วงชิงกับใครบางคนดู”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!