กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 353

สรุปบท บทที่ 353.1 ป้ายศาลบรรพจารย์ แสงจันทร์ส่องเหนือศีรษะ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 353.1 ป้ายศาลบรรพจารย์ แสงจันทร์ส่องเหนือศีรษะ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 353.1 ป้ายศาลบรรพจารย์ แสงจันทร์ส่องเหนือศีรษะ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 353.1 ป้ายศาลบรรพจารย์ แสงจันทร์ส่องเหนือศีรษะ
ProjectZyphon
หลังจากเทียนจวินผู้เฒ่าและจงขุยจากไป หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข

เผยเฉียนที่ต่อสู้กับเปลือกตาตัวเองไม่ไหวถูกเฉินผิงอันอุ้มขึ้นไปตรงบานหน้าต่างแล้วให้นางกลับไปนอนเอง

เฉินผิงอันอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง ไม่ได้ฝึกเดินนิ่งและไม่ได้ฝึกวิชากระบี่ แต่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินใคร่ครวญถึงแผนการหลังจากนี้

บางครั้งก็เงยหน้ามองม่านฟ้าอย่างเหม่อลอย ก่อนหน้านี้จงขุยเคยเล่าให้ฟังว่า ในบรรดาอริยะที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ นอกจากพวกที่ต้องไปบุกเบิกที่ดินตามหาพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์แห่งใหม่แล้ว อริยะคนอื่นส่วนใหญ่แล้วจะเฝ้าบัญชาการณ์อยู่ตามทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาล อยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบหรือมหาสมุทร หลุบตาลงมองมายังโลกมนุษย์ ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกตนใหญ่บนโลกมนุษย์ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็เหมือนคนธรรมดาที่เห็นหิ่งห้อยลอยไปลอยมาในยามค่ำคืนของฤดูร้อน ความเจิดจ้าหรืออ่อนด้อยของแสงก็อยู่ที่ว่าขอบเขตของเหล่าเทพเซียนพสุธาสูงหรือต่ำ ดังนั้นศึกที่ภูเขาไท่ผิง การเปิดฉากสังหารอย่างเต็มกำลังกับวานรขาว เมื่อไม่มีการอำพรางภาพเหตุการณ์เอาไว้ ในสายตาของอริยะที่อยู่เหนือใบถงทวีปก็คล้ายกลุ่มแสงสองกลุ่มที่ระเบิดแตก เป็นเหตุให้ดึงดูดอริยะลงมา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีวิชาอภินิหารสูงส่งสร้างความวุ่นวายอย่างไร้สาเหตุ หรือไม่ก็ใช้เวทคาถาชำระความแค้นส่วนตัว หากพวกเขาต่อสู้กันอย่างไร้ความพะวงจนภูเขาและแม่น้ำปริแตกพังทลาย อาณาประชาราษฎร์ก็จะเผชิญกับความยากลำบาก

เวลาที่มากกว่านั้น เฉินผิงอันจะหลับตาทำสมาธิ ในใจท่องคาถาตระกูลเซียนที่บันทึกอยู่บนแผ่นหยกของจวนปี้โหยว

อ่านตำราหนึ่งร้อยรอบย่อมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หมื่นคาถาอาคมบนโลกล้วนหนีไม่พ้นต้นกำเนิดดั้งเดิม

ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นดังมาจากนอกเรือน ก่อนหยุดตรงหน้าประตูคล้ายลังเลว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่

เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเรือน เหยาเจิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ สามารถฟังฝีเท้าแล้วแยกแยะได้”

เฉินผิงอันถาม “ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่สวนดอกไม้ของจุดพักม้ากันดีหรือไม่?”

เหยาเจิ้นเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ที่เมื่อวานตอนกลางวันไม่ได้ไปเที่ยวชมสถานที่ที่เซียนบรรพกาลขี่กระเรียนบินทะยานก็เพราะข้าได้รับข่าวว่าทูตลับของเมืองเซิ่นจิ่งจะมาถึงจุดพักม้า ข้าจึงได้แต่รอ รอจนกระทั่งยามสองตอนกลางคืน แขกผู้ทรงเกียรติท่านนั้นถึงจะมา เจ้าเดาดูสิว่าเป็นใคร?”

ในเมื่อถามเขาเฉินผิงอันก็ย่อมไม่ใช่บุคคลในเมืองเซิ่นจิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนแน่ ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอัน เอ่ยตอบว่า “เซินกั๋วกง เกาซื่อเจิน”

เหยาเจิ้นยกนิ้วโป้งให้พลางพยักหน้ารับ “คือท่านกั๋วกงผู้นั้นนั่นแหละ”

ผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือน

ในเมื่อสามารถทำให้เซินกั๋วกงรับหน้าที่เป็นทูตลับได้ อีกทั้งยังนำพระราชโองการของฮ่องเต้มาบอกที่เมืองฉีเฮ้อ ก่อนที่ขบวนเดินทางตระกูลเหยาจะเข้าไปในเมืองเซิ่นจิ่ง นี่ก็หมายความว่าในใจของฮ่องเต้ น้ำหนักของเซินกั๋วกงเหนือกว่าเหยาเจิ้นว่าที่เจ้ากรมกลาโหมมากนัก ส่วนเรื่องที่ว่าก่อนหน้าเซินกั๋วกงจะออกจากเมืองหลวง ฮ่องเต้สกุลหลิวได้กระซิบกระซาบสั่งสอนก่อกวนให้ความคิดของเขายุ่งเหยิงหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยพบฮ่องเต้สกุลหลิวมาก่อนจึงไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นการที่เซินกั๋วกงมาเยือนจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้ออย่างลับๆ สำหรับท่านแม่ทัพผู้เฒ่าแล้วย่อมไม่ต่างอะไรจากการมาอวดอ้างอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า

การอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย

ต่อให้จะเป็นเจ้าเหยาเจิ้นก็เหมือนกัน เจ้าก็ยังคงเป็นคนนอกที่อยู่ริมชายแดนคนหนึ่งเท่านั้น

การ ‘เดินทางไกล’ ข้ามผ่านกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนั้น เฉินผิงอันที่พิศมรรคาร่วมกับนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางทีจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว เด็กบ้านนอกแห่งตรอกหนีผิงถึงจะสลัดดินโคลนก้อนสุดท้ายให้หลุดออกจากกางเกงได้อย่างแท้จริง

เหยาเจิ้นเอ่ยเนิบช้า “กั๋วกงและจวิ้นอ๋องต่างแซ่ของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีทั้งหมดสิบคน เผชิญเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างที่สกุลหลิวก่อตั้งแคว้นมาสองร้อยปี ตอนนี้ก็เหลือแค่จวนของเซินกั๋วกงอยู่เพียงหน่อเดียวแล้ว ชื่อเสียงของอดีตเซินกั๋วกงดีเยี่ยม เป็นคนมีคุณธรรม มีสองครั้งที่เขายอมเสี่ยงถูกปลดป้ายกั๋วกงออกจากจวนเพื่อปกป้องขุนนางน้ำดีครั้งหนึ่งและแม่ทัพบู๊ชายแดนผู้หนึ่ง ดังนั้นคนในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ก็ล้วนมีความสัมพันธ์ควันธูปอยู่กับจวนเซินกั๋วกง เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงคนปัจจุบันเป็นคนคมในฝัก ไม่ค่อยชอบแสดงฝีมือนัก แต่ตอนเป็นหนุ่มเคยไปมาหาสู่กับจวนขององค์รัชทายาทในยุคสมัยนั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว กั๋วกงท่านนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย ดังนั้นเกาซู่อี้ถึงได้มีความสามารถให้ทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งได้…”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยแทรก “เกาซู่อี้ทำตัวโอหังอวดดี สร้างความเดือดดาลให้กับชนชั้นสูงหลายฝ่าย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ใช่ฝีมือการทำลายชื่อเสียงตัวเองของเซินกั๋วกง กั๋วกงทั้งสองรุ่นต่างก็อาศัยความสามารถของตัวเองครอบครองผลประโยชน์ที่ขุนนางในราชสำนักต่างก็ไม่กล้าคิดถึง หากเกาซู่อี้ไม่ทำอะไรซะบ้าง จุดจบของจวนกั๋วกง ไม่แน่ว่าอาจเป็นแบบเดียวกับที่ทหารชายแดนตระกูลเหยาต้องประสบพบเจอก่อนหน้านี้”

เหยาเจิ้นมีสีหน้าประหลาด ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอันอีกครั้ง “เหมือนกับที่เหยาจิ้นจือหลานสาวข้าพูดไว้เลย”

แต่ว่าจากนั้นเหยาเจิ้นก็ตบไหล่เฉินผิงอัน “แต่ว่าคำพูดเหล่านี้ จิ้นจือของพวกเราพูดไว้ตอนอายุสิบสี่ปี”

เฉินผิงอันรู้สึกขำอยู่ในใจ ท่านเป็นถึงแม่ทัพผู้เฒ่ามางัดข้อกับข้าเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร แต่ปากกลับเอ่ยคล้อยตาม “แม่นางจิ้นจือมีจริยาดุจบุปผาฮุ่ยหลัน (เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ที่มีนิสัยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ลักษณะนิสัยชดช้อยสง่างาม) ไม่ว่าจะเรียนรู้สิ่งใดก็ล้วนชำนาญ ข้าย่อมเทียบนางไม่ติดอยู่แล้ว”

ใบหน้ายับย่นแก่ชราของเหยาเจิ้นดุจบุปผาผลิบาน พยับเมฆในใจหายไปสิ้น

ส่วนข้อที่ว่าเซินกั๋วกงเกาซื่อเจินมาถึงจุดพักม้าแล้วพูดอะไรบ้าง ในฐานะขุนนางสกุลหลิว เหยาเจิ้นย่อมไม่เอามาแพร่งพรายอยู่แล้ว

แต่หากเมืองเซิ่นจิ่งและท่านกั๋วกงคิดจะเล่นงานผู้มีพระคุณน้อยของตน เหยาเจิ้นก็ไม่ถือสาหากต้องตายอีกสักรอบ ถึงอย่างไรชีวิตแก่ๆ นี้ของตนก็มอบให้เฉินผิงอันแล้ว และนี่ยังถือว่าสกุลเหยาได้กำไรแล้วด้วย อีกอย่างกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาก็หลุดพ้นจากคลื่นมรสุมลูกนี้ไปแล้ว นี่คือข้อสรุปของหลานสาวเหยาจิ้นจือเมื่อได้พูดคุยกับเขาท่ามกลางแสงเทียนหลังจากส่งเกาซื่อเจินออกนอกเมืองไปแล้ว ก่อนที่เขาเหยาเจิ้นจะเข้าเมือง จะมีคนนับหมื่นมายืนตามตรอกซอกซอยเพื่อรอต้อนรับ ชื่อเสียงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาจะถูกผลักดันอยู่ในวงการขุนนางไปเป็นชั้นๆ จนกระทั่งชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้งราชสำนัก

สวนดอกไม้ของจุดพักม้ามีชื่อเสียงอย่างมาก ภายใต้การช่วยกันกระจายข่าวอย่างสุดกำลังของนักท่องเที่ยว นักประพันธ์และขุนนางที่ถูกเลื่อนขั้นหลายยุคหลายสมัย สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น ‘ความงดงามแห่งบ่อภูเขา ความวิจิตรแห่งศาลาหอเก๋ง อ๋องทั้งหลายของเมืองหลวงล้วนมิกล้าอาจเอื้อม’

ใบไม้เขียวขจีเป็นพุ่มหนา สะพานเล็กสายน้ำไหลริน คนทั้งสองเดินไปบนสะพานไม้ทรงโค้ง ตอนนี้ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อโครงสร้างของสะพานอาจไม่เป็นรองขุนนางของกรมโยธาคนใดแล้วก็ได้ เฉินผิงอันเดินอยู่บนสะพาน บางครั้งฝีเท้าก็แผ่วเบา บางครั้งก็หนักหน่วง เขายื่นมือออกไปเคาะราวระเบียงเบาๆ เหยาเจิ้นคิดแค่ว่านี่เป็นความชอบของเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามเพื่อแสดงความสงสัยใคร่รู้

ขบวนเดินทางตระกูลเหยาออกเดินทางในวันมะรืน คืนนี้มีงานเลี้ยงที่ผู้ว่าฯ ของเมืองจัดให้ พรุ่งนี้ก็เป็นเจ้าเมืองที่เชื้อเชิญแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นไปเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงยังต้องอยู่เที่ยวในเมืองฉีเฮ้ออีกสองวัน

เฉินผิงอันปิดด่านฝึกตนอยู่ในเรือน

เรื่องการเลื่อนขั้นบนวิถีวรยุทธ์ ความเร็วในการไต่ทะยานเหนือกว่าที่คาดการณ์ก่อนออกมาจากภูเขาห้อยหัวมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แล้วก็รีบร้อนไม่ได้ด้วย

แต่เรื่องการสร้างสะพานแห่งความอมตะขึ้นมาใหม่อีกครั้งกลับเป็นเรื่องเร่งด่วนจวนตัวเหมือนไฟไหม้ขนคิ้ว

การจินตนาการสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือในพื้นที่มงคลดอกบัว อีกครั้งหนึ่งคือริมฝั่งลำคลองหมายเหอ สะพานยาวสีทองแห่งนั้นปรากฏขึ้นเหนือลำคลองได้สำเร็จแล้ว และทุกครั้งที่ปรากฏล้วนมั่นคงขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะครั้งที่สองที่สามารถพาดผ่านลำคลองหมายเหอไปได้ เฉินผิงอันถึงขั้นมั่นใจว่าสามารถขึ้นไปเดินบนนั้นได้แล้ว

แต่พอคิดถึงว่าการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ ยังต้องหล่อหลอมสมบัติอาคมห้าธาตุให้เป็นวัตถุพิทักษ์เรือนของ ‘เรือนกายซึ่งเป็นฟ้าดินขนาดเล็ก’ เฉินผิงอันก็ให้ปวดหัวขึ้นมาครามครัน มีคาถาบนแผ่นหยกที่เจ้าแม่เทพวารีมอบให้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงมือเตรียมการได้แล้ว หมายความว่าเฉินผิงอันต้องหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากถึงห้าชิ้น ไม่อย่างนั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สร้างขึ้นมาก็ยังคงเป็นดั่งเส้นทางสายขาด เว้นเสียแต่ว่าจะละทิ้งตบะวิถีวรยุทธ์ของทั้งร่าง ไม่อย่างนั้นหากสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ ปราณวิญญาณจะเป็นดั่งน้ำมหาสมุทรที่กรอกเทเข้ามา ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงเกินกว่าจะคาดถึง แต่หากช่องโพรงลมปราณในร่างมีสิ่งที่คล้ายคลึงกับทะเลสาบหรือจวนตระกูลเซียนอยู่ห้าแห่ง ก็จะสามารถกักเก็บปราณวิญญาณสะสมเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลต่อการสำรวจตรวจตราไปรอบทิศของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น มองโดยรวมแล้วทั้งสองฝ่ายจะสามารถเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

สภาพการณ์ที่ลี้ลับเกินจะหยั่งเช่นนั้นเหมือนเฉินผิงอันคนหนึ่งอาศัยสองหมัดเดินไปทั่วใต้หล้า ส่วนเฉินผิงอันอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ในภูเขาลึก ปิดประตูไม่รับแขก เพียงตั้งใจฝึกตนไปเงียบๆ

เวลาที่เฉินผิงอันเดินนิ่งก็พูดกับตัวเองในใจไปด้วย “ตราประทับตัวอักษรน้ำที่อาจารย์ฉีมอบให้ต้องเอามาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเชื่อมโยงเข้ากับชะตาชีวิต เหมือนอย่างตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ถูกคนทำลาย ขอแค่ตัวคนไม่ตาย มันก็ยังคงสามารถผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในช่องโพรงลมปราณ ต่อให้จะไม่เหลือพลานุภาพอยู่อีก แต่อย่างน้อยก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ อยากเห็นตอนไหนก็ได้เห็นไปชั่วชีวิต อีกอย่างคาถาเซียนที่เจ้าแม่เทพวารีมอบให้ก็มีบทความที่พูดถึงการหล่อหลอมน้ำมากที่สุด”

“ส่วนแผ่นหยกโบราณที่ทั้งสามารถบำรุงความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและจิตวิญญาณนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำของห้าธาตุ แต่ระดับขั้นของมันสูงหรือต่ำ ภูมิหลังเป็นอย่างไร ข้ากลับไม่รู้เลยสักอย่างเดียว คงต้องถามเว่ยป้อก่อนถึงจะได้”

“น่าเสียดายที่ชุดคลุมอาคมสีทองไม่อยู่ในห้าธาตุ ไม่อย่างนั้นระดับขั้นของมันก็เพียงพอ แล้วก็เหมาะให้เอามาหล่อหลอม ไม่จำเป็นต้องคอยสวมอยู่บนร่างตลอดเวลาจนทำให้เซียนดินก่อกำเนิดมองเห็นตื้นลึกได้ในปราดเดียว เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ”

“หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี ตอนที่ข้าพูดถึงความรู้เรื่องการเรียงลำดับในจวนปี้โหยวมีความรู้สึกเชื่อมโยงมาถึงใจข้า ดูเหมือนว่าสามารถเอามาหลอมเป็นธาตุทองของห้าธาตุได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเรื่องการเรียนหนังสือก็ไม่ต่างจากการฝึกหมัดฝึกกระบี่ที่เป็นการฝึกฝนยาวนานชั่วชีวิตอยู่แล้ว”

“ดินของห้าธาตุ นักพรตเด็กที่ถูกนักพรตเฒ่าไหว้วานมาได้พูดถึงดินห้าสีของภูเขาและแม่น้ำในห้าขุนเขาของต้าหลี ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว หรือจะบอกว่าสกุลซ่งต้าหลีจะสามารถยึดครองแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งจริงๆ? หากเป็นเช่นนี้จริง ดินห้าสีของห้าขุนเขาราชวงศ์ต้าหลีก็คงจะมีค่ามาก ดูท่าแล้วเรื่องนี้คงต้องรอให้กลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนเสียก่อน แล้วก็ยังต้องรบกวนถามเว่ยป้อที่มีสถานะเป็นองค์เทพของขุนเขาเหนือต้าหลีอีกที”

เฉินผิงอันที่สวมชุดขาวออกหมัด ‘ลืมตน’ ได้ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล คล่องแคล่วราบรื่นเป็นพิเศษ

หลูป๋ายเซี่ยงที่หันหลังให้กับเรือนแห่งนี้ยิ้มบางๆ

จูเหลี่ยนร่างโก่งค่อมที่กำลังอ่านหนังสือเพิ่งใช้นิ้วแตะน้ำลายพลิกหน้าหนังสือไปอีกหน้าหนึ่ง ทว่าบทอัศจรรย์ชายหญิงหน้าก่อนหน้านี้เขียนได้งดงามยิ่งจึงพลิกกลับไปเปิดอ่านซ้ำอีกรอบอย่างอดไม่อยู่

เผยเฉียนพลันส่ายหน้า ถอนหายใจหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าน่าสงสารว่า “เหล่าเว่ยเอ๋ย เจ้ามองไม่ออกหรือว่าที่ข้าฝึกไม่ใช่วิชากระบอง แต่เป็นวิชากระบี่น่ะ?!”

เว่ยเซี่ยนแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง คราวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จริงใจสักเท่าไหร่

เผยเฉียนอับอายจนพานเป็นโกรธ “เหล่าเว่ยหากเจ้ายังทำตัวน่าเบื่อแบบนี้อีก ความสัมพันธ์น้ำตาลปั้นไม้นั้นของพวกเราถือว่าขาดกัน!”

เว่ยเซี่ยนกระตุกมุมปาก ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

กำลังจะพูดออกไป เผยเฉียนก็รีบโยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง ยกมืออุดปากทันที

แล้วเสียงของเฉินผิงอันก็ดังขึ้นจริงดังคาด “กลับห้องไปคัดตัวอักษรห้าร้อยตัว”

นอกจากอ่านหนังสือ ท่องหนังสือแล้ว เฉินผิงอันยังบอกให้เผยเฉียนคัดหนังสือด้วย

ทุกครั้งที่เผยเฉียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคัดหนังสือจะต้องรู้สึกอยากตบตัวเองสักสองที ใครใช้ให้เจ้าไปขอพู่กันกระดาษอะไรมาจากผีสาวเซวียนฮวาจวนปี้โหยวนั่น ผลกลับกลายเป็นเปิดช่องให้เฉินผิงอันพูดว่า ในเมื่อเจ้ามีพู่กันเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มฝึกคัดตัวอักษรทุกวันเถอะ ไม่มาก แค่ห้าร้อยตัว แต่ตัวอักษรไหนคัดไม่ตั้งใจ บิดเบี้ยวเกินไป จะไม่นับรวมในห้าร้อยตัว จะต้องคัดชดเชยไปอีก เผยเฉียนถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว นี่ตนเพิ่งจะมีชีวิตสุขสบายเหมือนเทพเซียนได้กี่วันเอง?

เผยเฉียนพองแก้มโป่งเหมือนซาลาเปาลูกใหญ่ หยิบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นขึ้นมาแล้วเดินกลับห้องไปคัดหนังสือแต่โดยดี

ภายใต้บรรยากาศที่กลมเกลียวปรองดองกันของเรือนพักแห่งนี้

ในเขตการปกครองของศาลเทพภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองฉีเฮ้อไปหนึ่งร้อยลี้ เพราะควันธูปของทุกปีมีมากเกินไป แม้ศาลแห่งนี้จะไม่อาจถูกเรียกว่าเป็นจวนเทพภูเขา แต่ก็ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนจวนในดินแดนเซียนแห่งหนึ่ง

สองวันมานี้มีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนที่จวนไม่หยุด แสงไฟถูกจุดสว่างไสว เหล่าบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่อยู่ในศาลเทพภูเขาเล็กๆ คอยยกน้ำรินชาปรนนิบัติแขกสูงศักดิ์เหล่านั้นอย่างกระตือรือร้น

ผู้ที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ก่อนใครคือเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริงท่านหนึ่ง ข้างกายมีผู้ฝึกตนหญิงงดงามปานเทพธิดาติดตามมาด้วยสองคน

เขาคือตู้หันหลิงเจ้าอารามแห่งอารามจินติ่ง เซียนดินขอบเขตก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ อารามจินติ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีภูเขาสวยน้ำใสในทางตอนเหนือของใบถงทวีป

เทพเซียนพสุธาที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ศาลเทพภูเขาที่ไม่เข้าขั้นแห่งนี้เลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเชิญตัวเซียนซือผู้เฒ่าได้

ตอนแรกเทพภูเขายังตกใจจนร่างทองในศาลส่ายไหวไม่มั่นคงตามไปด้วย เพียงแต่ว่าพอได้รับฟังคำที่ตู้หันหลิงป่าวประกาศด้วยตัวเอง บอกว่าแค่มาขอยืมสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นที่รับรองสหาย หลังจบเรื่องย่อมมีของขวัญตอบแทนให้ เทพภูเขาก็มีความมั่นใจทันที ตู้หันหลิงเซียนซือไม่ถึงขั้นต้องใช้อุบายกับบุคคลตัวเล็กจ้อยเช่นตน เทพภูเขาตัวเล็กๆ อย่างเขายังไม่คู่ควร

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!