อย่าพูดถึงความจงรักภักดีต่อแคว้น พูดถึงแผ่นดินอะไรกับเขาเกาซื่อเจิน จวนเซินกั๋วกงอันใหญ่โตโอ่อ่า กลับมีบุตรชายอย่างเกาซู่อี้ที่ช่วยต่อควันธูปเพียงคนเดียว อยู่ดีๆ กลับต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังทุ่มเทแรงกาย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจอบรมปลูกฝังบุตรชายคนนี้ในทุกด้านมานานยี่สิบกว่าปี ในฐานะบิดา เกาซื่อเจินมองไม่เห็นตำหนิของเกาซู่อี้เลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้าที่เขาจะได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากองค์ชายสามก็เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ในอนาคตเกาซู่อี้จะกลายมาเป็นเสาคานค้ำจุนราชสำนักของต้าเฉวียน ไม่ว่าใครจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร จวนเซินกั๋วกงก็จะรุ่งโรจน์สืบไป มีอำนาจใหญ่ในราชสำนัก ได้เลื่อนขั้นเป็นจวนจวิ้นอ๋อง กลายเป็นคนรู้ใจของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮุบกลืนแคว้นใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งสองแคว้นอย่างเป่ยจิ้นและหนันฉี นำพาให้ต้าเฉวียนกลายมาเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของใบถงทวีป
ฮ่องเต้บอกว่าจะชดเชยให้กับจวนเซินกั๋วกง องค์ชายสามบอกว่าจะชดเชยให้แก่เขาเกาซื่อเจิน เหล่าข้ารับใช้ส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ เหล่ากุนซือผู้วางแผนทั้งหลายต่างก็เกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน
สีหน้าของเกาซื่อเจินช่วงที่ผ่านมานี้มีเพียงความเย็นชานิ่งสงบ ใครก็มองไม่ออกว่าบุรุษที่สูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปผู้นี้ ก่อนหน้านั้นได้ออกมาจากวังหลวง แล้วค่อยออกมาจากจวนองค์ชาย สุดท้ายออกจากเมืองหลวงมาอย่างลับๆ ทำหน้าที่เป็นทูตลับของฮ่องเต้เดินทางไปพบเหยาเจิ้นที่จุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นไร้คลื่นลม จวนเซินกั๋วกงยังคงเป็นจวนกั๋วกงที่มีมนุษยธรรมสูงส่งแห่งแคว้นต้าเฉวียน เกาซื่อเจินไม่เคยผิดหวังในตัวของฮ่องเต้หลิวเจินที่แก่หง่อมใกล้ตายคนนั้น
หากไม่มีโอกาสนั้นหล่นลงมาจากฟ้า เกาซื่อเจินก็ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมได้จริงๆ ถึงอย่างไรเมืองหลวงก็เป็นของฮ่องเต้ เป็นของสกุลหลิวราชวงศ์ต้าเฉวียน
แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว
มีคนมาหาเขาเกาซื่อเจิน แล้วเขาก็ไปหาองค์ชายใหญ่หลิวจง หลิวจงจึงพาทหารสวมเกราะห้าพันนายเดินทางมา ส่วนเรื่องที่ว่าหลิวจงได้รวบรวมกองกำลังบนภูเขาไว้อย่างลับๆ มากน้อยแค่ไหน เกาซื่อเจินไม่สนใจ
สิงโตจับกระต่ายยังใช้แรงเต็มที่ (เปรียบเปรยว่าแม้จะเป็นเรื่องเล็กก็ยังต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมารับมืออย่างตั้งใจ) อย่าได้สร้างปัญหาให้คนอื่นเด็ดขาด นี่ก็คือข้อห้ามใหญ่ของสำนักการทหาร
แม้แต่คนในเมืองหลวงที่กินอยู่สุขสบายอย่างเขาเกาซื่อเจินยังเข้าใจหลักการตื้นเขินนี้ เชื่อว่าองค์ชายใหญ่หลิวจงก็ยิ่งต้องทะลุปรุโปร่งมากกว่า
เกาซื่อเจินกำลังรอ รอให้หลิวจงถือศีรษะนั้นมาส่งให้เขาตอนลงจากภูเขา เขาจะได้เอากลับไปไว้หน้าหลุมศพใหม่ของเกาซู่อี้ผู้เป็นบุตรชาย
หน้าวัดร้าง เฉินผิงอันมองคนสองคนหลังสุดที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ติดตามของหลิวจง
หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน คนทั้งสองก็สบตากัน ก่อนเดินออกไปข้างหน้าหลายก้าว พวกเขาก็คือสวี่ชิงโจวแม่ทัพบู๊และเซียนซือสวีถง เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน พวกเขาก็คือคนที่ประมือกับหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน
สวี่ชิงโจวถอดเสื้อกันฝนแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง เผยให้เห็นชุดเกราะที่อยู่ด้านใน นอกจากจะแสร้งทำเป็นพกดาบซึ่งเป็นดาบในกองทัพชายแดนของต้าเฉวียนไว้ที่เอวแล้ว ยังพก ‘ต้าเฉี่ยว’ อาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งของสำนักการทหารไว้ด้วย
สวี่ชิงโจวไม่เอ่ยคำใด แต่สวีถงเจ้าอารามฉ่าวมู่กลับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฉิน ได้พบกันอีกครั้งแล้ว คราวก่อนอยู่ที่ชายแดนทิศใต้ ครั้งนี้อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ก็เหมือนกับชื่อ ‘ต้าเฉี่ยว’ (ความบังเอิญที่ยิ่งใหญ่) ดาบประจำกายที่แม่ทัพสวี่รักมากเล่มนี้ ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญมากจริงๆ”
ผู้ติดตามสิบคนที่อยู่ด้านหลังหลิวจง นอกจากสวี่ชิงโจวและสวีถงแล้ว คนที่เหลืออีกแปดคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีประสบการณ์บนสนามรบในชายแดนทางเหนือมาอย่างโชกโชน สงครามชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียน อันที่จริงแล้วมีแค่สองสถานที่อย่างเหนือและใต้ซึ่งเป็นเขตชายแดนเชื่อมต่อกับเป่ยจิ้นและหนันฉีเท่านั้น ทางทิศใต้มีกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาช่วยปกป้องบ้านเมืองให้แก่สกุลหลิว ส่วนทางเหนือก็เป็นกองทัพชายแดนหนึ่งแสนสองหมื่นนายภายใต้การนำขององค์ชายใหญ่ พวกเขาทำศึกกับหนันฉีตลอดทั้งปี สงครามปะทุขึ้นบ่อยครั้ง มักจะกรีฑาทัพขึ้นเหนือไปบุกหน้าด่านศัตรู ยังไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ว่าสูงหรือต่ำ ลำพังเพียงแค่จำนวนครั้งที่ชักดาบก็มากกว่ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยามากแล้ว
แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวเดินทางขึ้นเขามาล้อมปราบกลุ่มของเฉินผิงอันในครั้งนี้ เป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่ง เขาต้องการเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ไม่ธรรมดาชิ้นนั้น ทางที่ดีที่สุดคือได้ดาบเล่มนั้นมาอยู่ในกระเป๋าไปพร้อมกันด้วย
ทว่าหลิวจงแค่รับปากว่าจะมอบเสื้อเกราะให้เขา ส่วนดาบแคบต้องซื้อเท่านั้น ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาดูกันว่าสวี่ชิงโจวและตระกูลแม่ทัพของเขาจะสามารถเอาความจริงใจออกมา ‘ซื้อ’ ได้มากแค่ไหน
เซียนซือสวีถงผู้สวมกวานสูง เจ้าอารามฉ่าวมู่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในขอบเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาอสนี ถนัดด้านการหลอมยาที่สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาว จึงใช้สิ่งนี้มาผูกสัมพันธ์กับขุนนางและชนชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วน ชุดคลุมอาคมที่เขาสวมอยู่ใต้เสื้อกันฝนตัวนั้น ยามที่ปราณวิญญาณไหลรินจะฉายภาพเมฆหมอกห้าสีทอประกาย ราวกับม้วนภาพวาดภูเขาและแม่น้ำที่ลงสีสันงดงามภาพหนึ่ง และในความเป็นจริงแล้วชุดคลุมอาคมซึ่งเป็นของวิเศษตัวนี้ก็มีชื่อว่า ‘ยอดเขาห้าสี’ คือสมบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามฉ่าวมู่ มีระดับขั้นใกล้เคียงกับสมบัติอาคมมากแล้ว
เซียนซือสวีถงต้องการชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เมื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมจะเป็นเหมือนมังกรสีทองตัวหนึ่งที่อยู่บนร่างของเฉินผิงอัน
น้ำลายไหลยืดสามฉื่อ ปรารถนาอยากจะครอบครองแม้ในยามหลับฝัน!
เฉินผิงอันมองหลิวจง ถามว่า “เพื่อเก้าอี้ตัวนั้นน่ะหรือ?”
หลิวจงพูดเสียงกร้าว “ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? เจ้าคิดว่าชีวิตของเหล่าทหารชายแดนห้าพันนายของข้าไม่มีค่างั้นรึ?!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ องค์ชายใหญ่ท่านนี้ก็พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากวันนี้ข้าเดินมาไม่ถึงหน้าประตูวัดร้างแห่งนี้ ไม่ได้เห็นเจ้าเฉินผิงอันกับตาตัวเอง ในใจของข้า…”
เขาชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “รู้สึกไม่สาแก่ใจ!”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่สาแก่ใจ? เจ้ารนหาที่เองไม่ใช่หรือ? ทหารชายแดนห้าพันนายของต้าเฉวียนต้องมาตายอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกนี้…ช่างเถอะ อันที่จริงเจ้าเข้าใจเหตุผลดี แต่เจ้าคงจะบอกกับตัวเองว่า ผู้ที่จะทำเรื่องใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ต้องไม่สนเรื่องเล็กน้อย รอให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ทหารห้าพันนายนี้ก็คือคนที่พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ตายอย่างคุ้มค่า”
เฉินผิงอันแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือเบาๆ “คำถามสุดท้าย ทำไมเจ้าถึงได้คิดว่าแผ่นป้ายตรงเอวของข้าเป็นของปลอม?”
หลิวจงพูดคุยมากมายขนาดนี้อาจเพราะต้องการเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง แล้วก็อาจเพราะต้องการข้ามผ่านหลุมในใจของตัวเองไปให้ได้
เฉินผิงอันยินดีพูดคุยเรื่องพวกนี้กับหลิวจงก็เพื่อถามคำถามข้อสุดท้าย
เป็นคำถามที่สำคัญมากที่สุด
คนที่ต้องการศีรษะของเขาย่อมต้องเป็นเซินกั๋วกงเกาซื่อเจิน คนที่ต้องการของชิ้นนั้นจากจวนปี้โหยว เฉินผิงอันคาดเดาไว้ในใจได้นานแล้ว แต่ใครกันแน่ที่ต้องการน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่?
ตั้งแต่ออกจากจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ เฉินผิงอันก็แขวนป้ายหยกแล้ว
พอมาถึงท่าเรือเถาเย่ ขณะที่กำลังจะจากลากับขบวนเดินทางตระกูลเหยา วันนั้นเฉินผิงอันก็หันป้ายด้านคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ ให้คนใต้หล้าได้เห็น นี่เท่ากับเป็นการบอกให้รู้ถึงสถานะ ‘ผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง’ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยลดแรงกดดันให้กับเหยาเจิ้นที่อยู่ในเมืองหลวงต้าเฉวียน หากแม้แต่ป้ายหยกชิ้นนี้ ศัตรูในเมืองเซิ่นจิ่งที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะเล่นงานเหยาเจิ้นก็ยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นตระกูลเหยาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล
เพราะคนที่รู้จักป้ายหยกส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มิอาจดูแคลน และเมื่อเห็นป้ายหยกนี้แล้วพวกเขาจะรู้ถึงความยากลำบากแล้วถอยออกไปเอง ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนั้นในเรืออูเผิงลำเล็กตรงท่าเรือเถาเย่ ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งที่ใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้ พอเขาเห็นป้ายหยกแผ่นนั้น ต่อให้จะทำให้หลายฝ่ายในเมืองเซิ่นจิ่งไม่สบอารมณ์ แต่เขากลับยังยืนกรานจะพาตัวออกไปจากสถานการณ์ในครั้งนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!