สุดท้ายเขาเดินเลียบทางหลวงไปจนถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็ก กิจการของโรงเตี๊ยมซบเซา เด็กหนุ่มขาเป๋นอนงีบหลับฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งสูบยาอยู่ตรงผ้าม่าน สตรีแต่งงานแล้วนั่งคิดบัญชีอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน คิดไปคิดมานางก็นึกอยากจะยกลูกคิดขึ้นทุบนัก
นักพรตหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา สายตาของเขาอ่อนโยน เอ่ยเรียกเบาๆ ว่าจิ่วเหนียง จิ่วเหนียง
เด็กหนุ่มขาเป๋เงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เหตุใดบัณฑิตตกอับคนหนึ่งจากไปแล้ว แต่กลับยังมีนักพรตหนุ่มที่ปรารถนาในความงามของเถ้าแก่เนี้ยะโผล่มาอีกคนหนึ่ง? ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีหน้าตาดีหลงเหลือแล้วหรือไง?! ถึงต้องมาคอยตามตอแยเถ้าแก่เนี้ยะของพวกเขาอยู่ได้?
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “นักพรตน้อย พวกเรารู้จักกันหรือ?”
นักพรตหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่น นอกจากจะสวมกวานเต๋าที่ค่อนข้างพบเห็นได้ยากแล้ว ด้านอื่นๆ ล้วนไม่สะดุดตา หน้าตาธรรมดา ตัวไม่สูงไม่เตี้ย ชุดนักพรตก็ค่อนไปทางเก่าซีดอย่างเห็นได้ชัด
สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าสายตาของคนผู้นี้ประหลาดมาก ทั้งไม่มีความลามกหยาบโลนเหมือนชายฉกรรจ์ในเมืองหูเอ๋อร์ แล้วก็ไม่มีความลุ่มหลงที่ทำให้คนไม่เข้าใจอย่างจงขุย แต่เป็นสายตาของคนรู้จักที่จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แม้ปากจะเอ่ยทักทาย และก็เห็นอยู่ว่าสายตาของเขามองมาที่นาง แต่กลับเหมือนมองผ่านไปไกลยิ่งกว่านั้น
จิ่วเหนียงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย หลังจากนางถามไป นักพรตหนุ่มคนนั้นก็แค่ยิ้มมองตน สายตาของเขายิ่งแจ่มจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทำให้คนหวั่นใจมากขึ้น
อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้านักพรตหนุ่ม แต่เขากลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง พวกเรากลับบ้านกันไหม?”
ไม่รอให้จิ่วเหนียงเปิดปากด่า
นักพรตหนุ่มก็เช็ดคราบน้ำตา พูดเยาะหยันตัวเอง “เป็นข้าที่จำคนผิดเอง โปรดอภัยด้วยๆ”
เขานั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ควักเศษเงินไม่กี่เม็ดออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ พูดพลางยิ้มบางๆ “เงินทั้งหมดนี้ใช้ซื้อเหล้า ซื้อได้กี่กาก็ซื้อเท่านั้น”
โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ริมชายแดน มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันสัญจรผ่านไปมา มักจะมีนักเดินทางที่รับมือไม่ง่ายมาเยือนเป็นประจำ เด็กหนุ่มขาเป๋ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมมานานหลายปี เคยเห็นแขกที่น้ำเข้าสมอง (เปรียบเปรยว่าสมอง/ความคิดมีปัญหา) มาเยอะแล้ว แล้วก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องคิดอะไรให้มากความ จึงหยิบเงินมา พูดว่า “เหล้าบ๊วยของโรงเตี๊ยมเรา หากเป็นเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุด ลูกค้าสามารถซื้อได้แค่ไหเดียว…”
นักพรตหนุ่มไม่รอให้เด็กหนุ่มขาเป๋กล่าวจบก็ชิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดมาหนึ่งไห”
ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่ว่ากับใครก็มิอาจสนิทสนม เดินทางหาประสบการณ์อย่างเงียบเหงายิ่งกว่าเหล่าอริยะปราชญ์เช่นนี้ ไม่ดื่มเหล้าจะได้อย่างไร
เขาดื่มเหล้าชั้นดีและชั้นเลวมาเกือบทั่วทั้งใบถงทวีปแล้ว
เขาชอบดื่มเหล้า มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับขั้นพอใช้ได้มาเป็นกาเหล้าก็พอดีเลย
ส่วนกระบี่บินสองเล่มที่มีความเป็นมาประหลาดในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากถูกทำลายไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายังเก็บไว้ได้ก็ยิ่งดี
หลังจากกลับคืนสู่บ้านเกิด เอาพวกมันไปมอบเป็นของขวัญให้แก่เด็กรุ่นหลังในตระกูล ก็ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ที่พลาดพิธีการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของพวกเขาไป ที่บ้านเกิดของเขา การมอบกระบี่ให้ดีกว่ามอบอะไรทั้งหมด
เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในใบถงทวีปครั้งนี้ เจตนารมณ์สวรรค์ได้ถูกเปิดเผยออกมาตั้งนานแล้ว ลูกน้องสองคนไม่สามารถซุ่มจำศีลได้ถึงท้ายที่สุด ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะคำว่าฟ้าอำนวยยังคงอยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าในนาตยทวีปและฝูเหยาทวีปจะราบรื่นกว่านี้หรือไม่
เดิมทีทั้งภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีต่างก็ควรพินาศย่อยยับไปแล้ว เทียนจวินบรรพจารย์และเจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิง สองสามีภรรยาจีไห่ต้องตายกันทั้งหมด ลูกรักแห่งสวรรค์ที่ยึดครองโชคชะตาจำนวนมากของหนึ่งทวีปไปเพียงลำพังอย่างนักพรตหญิงหวงถิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ส่วนจงขุยวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูผู้นั้น อันที่จริงในใบลำดับรายชื่อของนักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิงคนนี้ อีกฝ่ายก็อยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน
จงขุยตายไปคนหนึ่ง มีความหมายยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองภูเขาไท่ผิงถูกถล่มราบเลย
ดังนั้นตอนที่เขาออกคำสั่งแก่วานรขาวสะพายกระบี่ ต่อให้ใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิตก็ยังไม่ขาดทุน หากหลังจบเรื่องสามารถหลบหนีเข้าไปในเส้นทางมังกรที่แตกพังแห่งนั้นได้สำเร็จ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ล้วนถือว่าได้กำไรก้อนโตแล้ว หลังจากนั้นแค่หลบซ่อนตัวให้ดีก็พอ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ปกป้องวานรเฒ่าไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็สามารถพาคนจากใต้หล้าไพศาลไปได้แค่คนเดียว หากวานรเฒ่าไม่ถูกทำร้ายจนเสียหายไปถึงรากฐานแห่งมหามรรคาก็ยังเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสิบสอง เขาอาจจะพามันไปด้วยกัน ไม่ใช่คิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนจนต้องมาดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
เดิมทีจงขุยควรจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกนิด ได้เป็นคนลุ่มหลงในรักนานอีกหน่อย
ท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่จิ่วเหนียงว่าให้ระวังคนผู้นี้ ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังยืนกรานจะถือกาเหล้าและถ้วยขาวสองใบมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักพรตหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเอง
จิ่วเหนียงรินเหล้าใส่ถ้วยทั้งสอง ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นักพรตน้อยจำคนผิดหรือว่ารู้จักกับข้าจริงๆ?”
นักพรตหนุ่มยกเหล้าบ๊วยขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วเอ่ยชมว่าเป็นเหล้าดี ก่อนจะยกหลังมือเช็ดปาก “เป็นข้าที่จำคนผิด”
จิ่วเหนียงยิ้มตาหยีถามว่า “นักพรตน้อยช่างกล้าหาญ ใจกล้าไม่เบา ระหว่างที่เอ่ยพูดไม่เคยเรียกตัวเองว่านักพรตผู้ต่ำต้อย หรือว่าเป็นนักพรตตัวปลอมที่สวมรอยเป็นเทพเซียนของภูเขาไท่ผิง?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้า “เป็นนักพรตจริงจนจริงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แค่หาเนื้อหนังมังสามาสวมวิญญาณ ฝึกตนอยู่บนภูเขาไท่ผิงมาร้อยปีถึงได้รับป้ายหยกแผ่นนั้น ภายหลังระหว่างที่ลงจากเขามาหาประสบการณ์ได้ตายไป แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่เหลือ ทางสำนักเองก็ไม่มีแม้แต่โอกาสได้เก็บแผ่นหยกนั้นกลับไป น่าอนาถมากเลยล่ะ หลังจากนั้นมาข้าก็เปลี่ยนโฉมใหม่ ออกเดินทางไปทั่วทิศ แล้วก็เริ่มหาเหล้าดื่ม สุดท้ายกลับมาที่ต้าเฉวียน ท่องไปตามสถานที่ดีๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่นลำคลองหมายเหอ แล้วยังได้เจอบัณฑิตคนหนึ่งที่ชื่อหวังฉีในเมืองเซิ่นจิ่ง ตอนนั้นคนผู้นั้นอายุไม่น้อยแล้ว ตั้งชื่อได้ไม่เลว ฉีคำนี้สามารถใช้คำว่าอริยะมาอธิบายได้ ฝึกบำเพ็ญร่างกาย จิตใจก็เด็ดเดี่ยวซื่อตรง”
“เขื่อนยาวพันลี้ยังพังลงได้ด้วยรังมด น่าเสียดายที่วิญญูชนผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องมาถูกทำลายเพราะความโลภเพียงคำเดียว”
ตอนที่ยกถ้วยเหล้าขึ้น ข้อมือของจิ่วเหนียงสั่นเบาๆ
นางพลันกระดกเหล้าดื่มจนหมด พอวางถ้วยลงแล้วถึงถามว่า “เหตุใดต้องพูดเรื่องพวกนี้กับข้า คิดจะฆ่าข้ารึ?”
นักพรตหนุ่มคล้ายได้ยินเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้า เขาพึมพำว่า “บอกแต่แรกแล้วว่าจำคนผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า คนที่ข้ารู้จักผู้นั้นมีเก้าชีวิต จะฆ่าได้อย่างไร? ฆ่าเจ้าครั้งหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าป๋ายก็จะเกิดจิตเชื่อมโยงครั้งหนึ่ง เจ้าไม่รู้อะไร นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเล่นงานพวกเราอย่างน่าอนาถแค่ไหน ต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อฆ่าข้า ข้าก็แค่ร่อแร่ใกล้ตาย ช่วยให้ข้าได้กลับบ้านเร็วหน่อยเท่านั้น แต่ขอแค่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเห็นข้า ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้าขวางกั้น เขาก็ยังสามารถทำให้กระดูกของข้าป่นเป็นผุยผงได้อยู่ดี”
เขาพูดสะท้อนใจด้วยน้ำเสียงเศร้าอาลัย “ข้าเองก็ตัดใจฆ่าไม่ลงด้วย”
‘นักพรตหนุ่ม’ ที่สามารถบงการให้ปีศาจใหญ่สองตัวทุ่มสุดชีวิตเพื่อตัวเองคลี่ยิ้ม ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “ใบถงทวีปเผชิญกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ วันหน้าหากย้อนกลับมาดูจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นความโชคดีในความโชคร้าย”
คลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจของจิ่วเหนียง
“ไม่ต้องกังวล ข้าได้ดื่มเหล้ารสเลิศ ได้บ่นเรื่องพวกนี้ไปแล้ว พวกเจ้าจะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง” นักพรตหนุ่มวางถ้วยเหล้าลง ยื่นนิ้วออกมาวาดวงกลมบนขอบถ้วย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินไปจากโรงเตี๊ยม
ภาพเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่ากาลเวลาหมุนย้อนกลับ จิ่วเหนียง ท่านปู่สามและเด็กหนุ่มขาเป๋เริ่มพูดจาและทำท่าทางต่างๆ ย้อนกลับหลัง
สุดท้ายเมื่อนักพรตหนุ่มข้ามธรณีประตูโรงเตี๊ยมออกไป ทุกอย่างจึงกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม เด็กหนุ่มขาเป๋นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ผู้เฒ่าหลังค่อมสูบยาอยู่ตรงผ้าม่านหน้าประตู จิ่วเหนียงยังคงดีดลูกคิด
ทุกอย่างหยุดนิ่ง
มีเพียงถ้วยเหล้าใบนั้นของนักพรตหนุ่มที่เหลือค้างอยู่บนโต๊ะ
เขาเอี้ยวตัวมาด้านหลัง มองไปทางโต๊ะคิดเงิน
‘จิ่วเหนียง’ เงยหน้ามองประสานสายตากับนักพรตหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา
นักพรตหนุ่มมองไปยังด้านหลังของ ‘จิ่วเหนียง’ หางสีขาวหิมะหลายหาง ใหญ่ประดุจต้นเสาเบียดเสียดกันอยู่ด้านหลังของสตรีแต่งงานแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!