ทางฝั่งของสุยโย่วเปียน หลังจากที่สังหารเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ไปแล้ว ต่อให้สวี่ชิงโจวจะรู้ดีว่าหลิวจงต้องพาลโกรธไปถึงตระกูลของตน แต่เขาก็ยังออกไปจากภูเขาลูกนี้โดยพลการอย่างเด็ดเดี่ยว เขาย้อนกลับไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ปรึกษาแผนการกับท่านปู่ที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์ชายแดนตะวันตก ในฐานะตระกูลขุนพลที่อยู่อันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังตั้งรกรากอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งมานานหลายชั่วคน สกุลสวี่หวาดกลัวองค์ชายใหญ่หลิวจงก็จริง แต่กลับไม่คิดจะนั่งงอมืองอเท้ารอความตาย
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในเวลานี้ยังคงเป็นฮ่องเต้หลิวเจิน มิใช่หลิวจง หากฉีกหน้าแตกหักกับหลิวจงขึ้นมาจริงๆ อย่างมากสกุลสวี่ก็แค่ตัดสินใจไปเข้าฝ่ายองค์ชายรอง เปลี่ยนมาสนับสนุนมังกรตัวใหม่แทน
สนามรบที่หลูป๋ายเสี่ยงอยู่ สถานการณ์การสู้รบยังคงคุมเชิงกัน ทหารเดนตายห้าพันนายของกองทัพชายแดนต้าเฉวียนกลุ่มนี้ไม่เสียแรงที่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของหลิวจงโดยตรง พวกเขาต่างก็รู้ถึงความร้ายแรงของกฎกองทัพดี ต่อให้อกสั่นขวัญแขวนกับการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้น ต้องเห็นสหายร่วมรบคนแล้วคนเล่าตายไปใต้ดาบของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงกระโจนเข้าประหัตประหารอย่างบ้าคลั่งเหมือนไม่รู้จักเสียดายชีวิต ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกตนติดตามกองทัพถึงกับทนดูไม่ได้ เพราะภาพนี้น่าสังเวชชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก แม่ทัพนายกองบางคนที่ใจเด็ดเดี่ยวปานหินผาก็ยิ่งหลั่งน้ำตาอาบหน้าไปพร้อมกับสายฝน ถึงกระนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าใครก็ตามที่ขี้ขลาดกล้าถอยร่นย่อมต้องถูกประหาร!
บทกวีของเซียนที่ออกท่องเที่ยวมีกลิ่นอายของเซียนล้อมเวียนวน บางทีกลอนที่เขียนออกมาอาจมีท่วงทำนองของเทพเซียนที่อยู่บนภูเขา
แต่กลับไม่มีบทกลอนแห่งชายแดนบทใดที่สามารถเขียนบรรยายภาพความนองเลือดและโหดเหี้ยมของสนามรบออกมาได้อย่างแท้จริง
หลังจากปีศาจลำคลองหมายเหอพลิ้วกายจากภูเขาลูกอื่นลงบนพื้นแล้วก็ก้าวยาวๆ ห้อดิ่งเข้ามาเป็นเส้นตรง หากมีต้นไม้กีดขวางทางไปก็จะใช้มือข้างหนึ่งตบทิ้ง
เฉินผิงอันเห็นพลังอำนาจของผู้ที่มาเยือนแล้ว ในใจก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
เขาเอายันต์แผ่นหนึ่งที่คีบไว้ระหว่างสองนิ้วของมือขวาซึ่งซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเปลี่ยนไปเป็นยันต์สามแผ่นที่ทบซ้อนไว้ด้วยกัน
ตอนนั้นที่อยู่ในจวนปี้โหยว เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการยืมเหล็กหมาดหิมะด้ามนั้น จงขุยเขียนยันต์ให้เฉินผิงอันทั้งหมดสามแผ่น กระดาษสามแผ่นในนั้นเป็นของเขาเอง เขียนเป็นยันต์ทหารตรีปฏิภาณที่สามารถรวมกันเป็นค่ายกล ยันต์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ยันต์ม้าเหล็กล้อมนคร’ ก่อนจะวาดยันต์จงขุยใช้ปราณแห่งความเที่ยงธรรมหนึ่งเฮือกในการเขียน ใต้พู่กันมีทหารบู๊ร้อยกว่านายที่สวมเสื้อเกราะสีเงิน ขี่ม้าสีขาว ทหารทัพม้ากลุ่มใหญ่ที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารเหล่านั้นพุ่งออกมาจากบนกระดาษยันต์ สุดท้ายจัดเรียงเป็นขบวนรบ เมื่อดึงบังเหียนม้าให้หยุดก็กลายมาเป็นภาพของยันต์ที่ถูกตวัดลงไปขีดแล้วขีดเล่า
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ควักถุงตรงเอวขึ้นมา หยิบกระดาษสีทองสองแผ่นและกระดาษยันต์สีเขียวที่เป็นกระดาษฉบับร่างลายมือของอริยะออกมาหนึ่งแผ่น จงขุยทำตามข้อเรียกร้องของเฉินผิงอันอย่างยากลำบากโดยการวาดยันต์วิชาหลักห้าอสนีของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ยันต์ทำลายอาคมที่ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงน้ำก็สามารถป้องกันไม่ให้ถูกผีพรางตาได้ รวมไปถึงยันต์สยบกระบี่แผ่นสุดท้ายที่พลานุภาพเหนือกว่ายันต์อักษรบ่อไปมาก ซึ่งจงขุยขนานนามมันว่า ‘สะบัดชายแขนเสื้อกระบี่ผงาด มหาสมุทรเก้าทวีปเดือดพล่าน’
ปีศาจลำคลองหมายเหอที่ไม่กล้าเปิดเผยร่างจริงกระโจนเข้ามาใกล้ ห่างไปไม่ถึงร้อยก้าวแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกไปจากใต้ชายคาช้าๆ เดินไปทางฝั่งขวามือ เพียงไม่นานทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันแค่ห้าสิบก้าวเท่านั้น
เฉินผิงอันสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ยันต์ทั้งสามแผ่นถูกลมปราณที่แท้จริงจุดไฟเผา พุ่งพรวดออกไปจากชายแขนเสื้อ ในใจเขาพูดตามไปด้วยว่า “ตั้งขบวนรบเบื้องหน้า!”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แต่ไม่หยุดฝีเท้า ดีดตัวกระโดดผลุงขึ้นโฉบเข้าสังหารคนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้แห้ง “ผู้ฝึกยุทธ์คิดใช้ยันต์ ไม่กลัวจะทำให้นายท่านใหญ่อย่างข้าหัวเราะจนฟันร่วงหรือไร?”
เพียงแต่ว่าไม่นานปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้ก็หัวเราะไม่ออก
หลังจากที่ยันต์สีทองทั้งสามแผ่นที่ตัวของกระดาษยันต์เผาไหม้หมดแล้ว ชายฉกรรจ์ที่ร่างยังค้างอยู่กลางอากาศค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ยันต์สามแผ่นที่เหลือเพียงภาพมายาเริ่มหมุนคว้างวนรอบกายเขาอย่างรวดเร็ว ลมปราณของชายฉกรรจ์ร่วงดิ่งลงไปที่จุดตันเถียน เป็นเหตุให้ร่างที่อยู่กลางอากาศดิ่งลงเหมือนมีน้ำหนักพันชั่ง ในขณะที่กำลังจะกระแทกลงพื้นอย่างเร่งร้อน ยันต์ทั้งสามแผ่นต่างก็มีทหารขี่ม้าขาวสวมเสื้อเกราะแวววาวถือทวนบุกออกมาสังหาร
ชายฉกรรจ์ตวาดกร้าว “ไปตายซะ!”
บิดร่างหมุนตัวหนึ่งรอบ ปล่อยสามหมัดต่อยทหารม้าทั้งสามคนให้แหลกเละอย่างว่องไว
เพียงแต่ว่ากลับมีทหารขี่ม้าพุ่งออกมาจากยันต์อย่างต่อเนื่อง ไม่มากไม่น้อย หนึ่งครั้งสามคน เงียบเชียบไม่อึกทึก
ชายฉกรรจ์เหมือนถูกกักอยู่กลางวงล้อมของข้าศึกบนสนามรบ แต่เขาก็ยังไม่หวั่นเกรง ออกหมัดรวดเร็วราวกับสายรุ้ง สังหารทหารที่ควบม้าบุกตะลุยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่ชายฉกรรจ์เปลี่ยนสนามรบ ยันต์ทหารตรีปฏิภาณสามแผ่นก็จะล่องลอยติดตามไปด้วย ยังคงรักษาระยะห่างเท่าเดิมไว้ตลอดเวลา
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเข่นฆ่าอย่างสนุกสนาน แสดงความอำมหิตออกมาอย่างเต็มที่ รู้สึกเพียงว่าสาแก่ใจ ได้แสดงฝีไม้ลายมืออย่างเต็มคราบ
ยันต์ทหารม้าเหล็กล้อมนครสามแผ่นคิดจะกักตัวและเผาผลาญพลังของปีศาจลำคลองตนหนึ่งที่เกือบจะสร้างโอสถทองได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นที่ว่าคิดจะบีบให้มันเผยร่างจริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากคิดจะเผาผลาญพลังให้ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้ตายทั้งเป็นกลับไม่มีทางเป็นไปได้
เฉินผิงอันย่อมรู้ข้อนี้ดี ไม่คาดหวังว่ายันต์สามแผ่นจะสังหารชายฉกรรจ์ผู้นี้ได้
หวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่อยู่บนยอดเขากำลังรอให้เฉินผิงอันเผยช่องโหว่อย่างอดทน แล้วเฉินผิงอันหรือจะไม่มองหาโอกาสใช้ยันต์สยบสังหาร หรือไม่ก็ฆ่าชายฉกรรจ์ที่ติดอยู่ในวงล้อมด้วยกระบี่เดียว
ฝนเม็ดใหญ่ยังคงเทกระหน่ำ ไม่มีที่ท่าว่าจะกลายเป็นฝนเม็ดเล็ก
ทว่าปีศาจลำคลองหมายเหอที่ถูกยันต์ประหลาดสามแผ่นพัวพันโรมรันกลับเริ่มรำคาญใจขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดทหารม้าที่มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่เพราะเป็นแก่นของยันต์ถึงได้ไม่หมดไม่สิ้นเสียที? นี่เป็นทหารม้าปราณวิญญาณตัวที่เท่าไหร่แล้วที่เขาต่อยให้แหลกสลายไป? หนึ่งร้อยห้าสิบ สองร้อย?
ยิ่งนานมันก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี คนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้ยืนห่างออกไปสามสิบก้าวผู้นั้นต้องไม่ใช่แค่หวังดีรอให้ตนแหวกฝ่าค่ายกลของยันต์ไปได้เองแล้วค่อยมาต่อสู้กันอย่างปัญญาชนผายลมสุนัขอะไรแน่นอน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิ่งไม้อันนั้นที่แค่หางตามันเหลือบไปเห็นก็ทำให้จิตใจมันไม่สงบ รู้สึกผิดปกติ ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่นอน!
ไม่สนแล้ว
เจ้าหวังฉีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ให้ตายก็ไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือ ข้าผู้อาวุโสคร้านจะสนใจแล้วว่าเจ้าจะอธิบายให้สำนักต้าฝูฟังเช่นไร
ปีศาจลำคลองหมายเหอที่บนร่างมีบาดแผลเล็กๆ เต็มไปหมดเห็นว่าฝนห่าใหญ่กำลังลดระดับความแรงลง ถึงตอนนั้นเขาจะไม่เหลือข้อได้เปรียบจากสภาวะแวดล้อมนี้อีก พลานุภาพของร่างจริงที่เผยตอนนั้นย่อมลดลงตามไปด้วย
ดวงตาทั้งคู่ของปีศาจใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะ กล้ามเนื้อเป็นมัดเริ่มบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว
หวังฉีที่อยู่บนยอดเขามองความคิดของปีศาจลำคลองหมายเหอออกจึงตวาดกร้าวอย่างขุ่นขึ้ง “ไม่ได้นะ!”
ปีศาจลำคลองหรือจะสนเรื่องพวกนี้ พื้นดินพลันสั่นสะเทือน ร่างจริงขนาดมหึมาเผยกายขึ้น ดวงตาทั้งคู่ใหญ่โตดุจโคมไฟ เรือนกายยาวร้อยจั้ง ศีรษะวางพาดไว้บนตำแหน่งเดิมที่ ‘ชายฉกรรจ์’ เคยยืนอยู่
ยันต์ม้าเหล็กล้อมนครที่ปราณวิญญาณยังไม่ถูกเผาผลาญหมดสิ้นจึงดึงระยะห่างตามไปด้วย
ยังคงมีม้าเหล็กบุกกระโจนเข้าใส่ปีศาจลำคลองหมายเหอตนนี้
ทหารชายแดนต้าเฉวียนบางส่วนที่หลบอยู่สองข้างฝั่งหวังฉวยโอกาสเหมาะโจมตีพวกเฉินผิงอันกลับถูกร่างปีศาจปลาไหลดีดให้กระเด็นออกไป ระหว่างที่ร่างปลิวลิ่วไปนั้น หลายคนมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บ้างเจ็บ บ้างตาย
เม็ดฝนสาดพรมลงบนร่างของปีศาจลำคลอง หลังจากกลิ้งไหลลงมาบนภูเขาก็ไม่ได้ซึมหายเข้าไปใต้ดิน แต่รวมตัวกันเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันจำปีศาจตัวนี้ได้ มันก็คือปีศาจใหญ่ปลาไหลที่เคยเข่นฆ่าอยู่กับเจ้าแม่เทพวารีใต้ลำคลองหมายเหอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!