กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 357

สรุปบท บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

กระบี่จงมา – บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด
ความลับเรื่องนี้ วิญญูชนสำนักศึกษาตัวเล็กๆ ที่ทำผิดต่อลัทธิขงจื๊อย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้ได้

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายสายตาไปมองหลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบอยู่ไกลๆ

หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง หวังฉีก็พยักหน้ารับ “ลงมือนั้นได้ แต่ห้ามเผยร่างจริง ไม่อย่างนั้นหลังจบเรื่องข้าก็ไม่อาจมีคำอธิบายให้กับสำนักศึกษาต้าฝู เจ้าขุนเขาท่านนั้นหลอกไม่ง่ายหรอกนะ”

ชายฉกรรจ์พูดเย้ยหยัน “เรื่องนี้ยังไม่ง่ายอีกหรือ ก็แค่บอกว่าปีศาจวารีลำคลองหมายเหออย่างข้าได้รับการชี้ทางสว่างจากเจ้า จึงละทิ้งความช่วยร้ายหันเข้าหาความดีงาม คิดจะขอศาลเทพวารีแห่งหนึ่งมาจากเจ้าและราชสำนักต้าเฉวียน ดังนั้นจึงยินดีลงมือช่วยเหลือ อาศัยการสร้างคุณความชอบมาแลกเปลี่ยนสถานะตัวตนที่ถูกต้องเหมาะสม จะยังไม่มีคำอธิบายได้อย่างไร?”

หวังฉียิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้ออ้างที่มองดูเหมือนสมเหตุสมผลนี้ บางทีฮ่องเต้หลิวเจินอาจจะเชื่อ แต่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เอาล่ะ ทำตามที่ข้าพูดเถอะ อย่าใช้ร่างจริงของเผ่าปีศาจไปต่อสู้กับเฉินผิงอันเด็ดขาด ขอแค่เจ้าบีบให้เฉินผิงอันเผยพิรุธเสี้ยวหนึ่งได้…”

คำพูดของหวังฉีพลันหยุดชะงัก ทว่าปณิธานการเข่นฆ่าสังหารกลับเปี่ยมล้น “ข้าก็จะทำให้ทั้งร่างและจิตของเขาต้องดับสลายอยู่ที่นี่!”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเบ้ปาก “เอาเถอะ หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด สังหารเฉินผิงอันที่กำลังรอให้พวกเราสองคนเอาตัวไปส่งถึงที่ได้ในการโจมตีเดียว อย่าเก่งแต่ปากก็แล้วกัน…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เกือบลืมไป ความสามารถในการลับฝีปากของบัณฑิตอย่างพวกเจ้าร้ายกาจที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ของพวกเรา เสียมารยาทแล้วๆ”

หวังฉีไม่ถือสาปีศาจป่าเถื่อนตนนี้

ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอไม่สนใจสักนิดว่าจะทำให้คนตรงวัดร้างสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวหรือไม่ เขาเดินก้าวยาวๆ ออกไป ทุกก้าวที่เหยียบลงพื้นล้วนทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปจากหน้าผาบนยอดเขา วาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายกระแทกตูมลงบนพื้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

หวังฉีถอนหายใจเบาๆ ใบหน้ามีความกลัดกลุ้ม

ผู้ที่สร้างโอสถทองสำเร็จคือคนรุ่นเดียวกับข้า

เพียงแต่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง พืชหญ้ามีเขียวชอุ่มมีแห้งเหี่ยว โอสถทองหนึ่งเม็ดที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็ถึงเวลาที่ต้องหม่นหมองแล้ว

เขาหวังฉีมีความรู้อยู่เต็มกาย ยังไม่ทันได้ทำความมุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริง จะตายได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณโอสถทองยังรู้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตได้ดีกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มึนๆ งงๆ มากนัก

การที่ต้องนับวันรอความตายเป็นเรื่องที่ทรมานสิ้นดี

มาแล้ว

ด้านล่างยอดเขาสูงตระหง่านลูกนั้น ปีศาจลำคลองร่างกำยำสร้างความเคลื่อนไหวดังขนาดนั้น เขาเฉินผิงอันไม่ใช่คนหูหนวก ย่อมได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว

มือซ้ายถือกิ่งไม้ที่หยิบจากพื้นขึ้นมาส่งๆ มือขวาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชูอีและสืออู่พุ่งออกไป จากนั้นก็หายวับไปไม่เหลือเงา

มือขวาที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองที่จงขุยใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนด้วยมือของตัวเองเอาไว้

กระดาษแผ่นนี้ล้ำค่ามาก ตอนนั้นที่จวนปี้โหยวถูกสร้างขึ้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็เพิ่งจะได้พระราชทานมาจากราชสำนักต้าเฉวียนแผ่นเดียว คือกระดาษลมฟ้าลายพื้นภาพกรงเล็บมังกร หนึ่งในกระดาษยันต์สีทองสามแผ่นที่จงขุยมอบให้กับเฉินผิงอัน

แม้ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวตนของผู้ที่จะมาหาเรื่องเขาก็ตาม

ทว่าเรื่องราวบนโลกก็บังเอิญเช่นนี้ ยันต์สยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนขึ้นในจวนปี้โหยวได้เอามาใช้สยบสังหารปีศาจวารีลำคลองหมายเหอพอดี วิถีสวรรค์ช่างยุติธรรม ทำชั่วกรรมย่อมตามสนอง!

ส่วนชูอีกับสืออู่ หลังจากเฉินผิงอันเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแล้ว เขาก็ส่งกระบี่ออกไปยังผู้มาเยือน เพื่อสกัดกั้นการช่วยเหลือจากหวังฉีวิญญูชนที่อยู่บนยอดเขา

หวังฉีวิญญูชนที่ยืนอยู่บนภูเขาปลงอนิจจังอยู่ในใจ หนึ่งความคิดบังเกิด แยกมารและเทพออกจากกันอย่างแท้จริง

หวังว่าการล้อมฆ่าครั้งนี้จะราบรื่น หลังจากนี้เมื่อได้คาถาเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคาบทนั้นมาแล้ว เขาจะไม่สนใจบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์อีก จะตั้งใจฝึกตน สักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ถึงเวลานั้นค่อยชดเชยให้กับโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็แล้วกัน

……

นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่กลับย่อพื้นที่ให้หดสั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็ออกจากชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนมายังทิศใต้ของแคว้นเป่ยฉี จากนั้นก็ลงใต้ไปตลอดทาง เลือกเข้าไปในทะเลสาบกลางป่าเขาที่ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คนแห่งหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วหายตัวไป

ใต้พื้นดินมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางโบราณที่ถูกกลบฝังไว้ นักพรตหนุ่มเดินอยู่ในเส้นทางที่ยาวไกลนับพันลี้ เส้นทางโบราณที่เลื้อยลดคดเคี้ยวใต้ดินแห่งนี้มีทางแยกออกไปอีกเยอะมาก แต่เขาไม่ได้เลือกทิศทางใด ไร้ซึ่งความลังเล

ตลอดทางพบเจอภาพเหตุการณ์ประหลาดที่บ้างก็น่าสะพรึงกลัว บ้างก็งดงาม แต่กลับไม่อาจทำให้นักพรตหนุ่มหยุดเดินได้

สุดท้ายเขามาถึงหน้า ‘ประตูภูเขา’ แห่งหนึ่งที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง กรอบป้ายด้านบนเอียงกะเท่เร่ แตกบิ่นไปเกือบครึ่ง เหลือเพียงแค่สามอักษรว่า ‘ตำหนักตู๋เปี๋ย’

เมื่อเขาเดินเข้าไปในประตูบานนั้น ปราณกระบี่เล็กบางขุมหนึ่งก็พลันมารวมตัวกันแล้วพลันสลายหายไป

ทุกพื้นที่มีแต่ผนังแตกหักผุพัง นักพรตหนุ่มก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า

ป้อมอินทรีบิน จวนปี้โหยว เมืองหูเอ๋อร์

นอกจากโรงเตี๊ยมที่จิ่วเหนียงอยู่แล้ว อีกสองสถานที่ล้วนไม่ใช่สถานที่สำคัญอะไร หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ป้อมอินทรีบินเคยเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงหมอกควันที่สลายไปสิ้น ทำให้เขาไม่อยากจะคิดถึงสักเท่าไหร่

การเดินทางไปทั่วใบถงทวีปหลังจากนั้น แต่ละที่ที่ผ่านเขาไม่เคยตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่สุดท้ายต้นหลิ่วจะเติบโตหรือไม่ (มาจากสำนวนไม่ได้ตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่ต้นหลิ่วกลับเติบโตเป็นพุ่มดกครึ้ม เปรียบเปรยว่าเรื่องที่ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้ตั้งใจดันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่คาดหวังกลับไม่เกิด) นักพรตหนุ่มไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

แผนการที่เขาวางไว้ในใบถงทวีปครั้งนี้ ปีศาจใหญ่สองตัวที่อยู่ในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ

แต่เมื่อเขาค้นพบว่าดันมีคนผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้ประวัติความเป็นมา มาโผล่อยู่บน ‘มหามรรคา’ ที่เขาเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า

ครั้งหนึ่งคือความบังเอิญ สองครั้งก็ยังเป็นความบังเอิญ แล้วถ้าสามครั้งล่ะ?

ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากไม่ทันระวัง สุดท้ายร่างจริงที่ทิ้งไว้ในบ้านเกิดซึ่งใช้เทือกเขาเป็นหมอนหนุนจะได้รับความเสียหายทางจิตวิญญาณมากเกินไป เป็นเหตุให้ไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาได้ในระยะเวลาหลายร้อยปี ถึงเวลานั้นก็ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสบุกเบิกที่ดินผลักดันให้กิจการใหญ่เจริญรุ่งเรืองซึ่งหมื่นปีก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งหรอกหรือ? แล้วจะยังช่วงชิงพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์จนเหนือจินตนาการแห่งแล้วแห่งเล่ามาให้ลูกหลานในตระกูลได้อย่างไร?

เขาบอกเตือนตัวเองอยู่ในใจเช่นนี้ไม่หยุด

ปลายทางของเส้นทางตำหนักที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้คือซากแท่นพันธนาการมังกรที่มองดูเหมือนจะเก่าแก่มากแห่งหนึ่ง ด้านบนมีวานรขาวที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดนั่งขัดสมาธิอยู่ ปราณดุร้ายอำมหิตทั่วร่างที่มิอาจอำพรางได้ไหลทะลักไปเป็นจำนวนมหาศาล เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ปราณกระบี่ดุดันเป็นเส้นๆ เหมือนจับต้องได้จริงเหล่านั้นลอยออกไปจากแท่นหินใหญ่ยักษ์ จะต้องถูกสายฟ้าสีขาวหิมะที่ผุดลอยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจโจมตีจนไม่เหลือร่องรอย

ก็คือวานรขาวสะพายกระบี่ของภูเขาไท่ผิงที่หนีตายมาถึงที่นี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่อาจใช้คำว่า ‘สะพายกระบี่’ ได้อีกแล้ว

วานรเฒ่าถามเสียงแหบแห้ง “เหตุใดถึงมาหาข้าที่นี่? ไม่กลัวว่าพวกเราสองคนจะต้องมาตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”

แผนการชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มันถนัดเลยจริงๆ

นักพรตหนุ่มยิ้มบาง “ถูกหาตัวเจอ ข้าถึงจะรักษาโอกาสชนะไว้ได้เสี้ยวหนึ่ง แน่นอนว่าจะให้พวกเขาหาพบง่ายเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลัทธิขงจื๊อต้องสงสัยเป็นแน่ ต้องให้อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นหาอย่างยากลำบากสักหน่อยถึงจะเป็นแผนการที่ไร้ช่องโหว่ ให้พวกเขาค่อยๆ สาวเส้นไหม การตายของคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันหรือการตายของหวงถิงในภายหลังก็คือจุดเริ่มต้นของเส้นใยในการสืบเบาะแส ไม่อย่างนั้นหากเผ่นกลับไปบ้านเกิดก็เท่ากับข้าแพ้หมดกระดาน พอกลับไปถึงที่นั่นต้องลำบากแน่ ไม่แน่ว่าอาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในเทือกเขาแถบนั้น ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม จากนั้นก็ต้องทำงานรับใช้เจ้าคนตาบอดผู้นั้น พอคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็เริ่มกลุ้มแล้ว”

วานรขาวนึกถึงเรื่องเล่าลือโบร่ำโบราณนั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็รู้สึกขนลุกพรั่นพรึงอยู่เหมือนกัน

นักพรตหนุ่มจุ๊ปากพูด “เริ่มคิดถึงกลิ่นอายของบ้านเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว อยู่ที่นี่ทำอะไรได้ไม่เต็มที่เลย ทั้งต้องป้องกันอริยะลัทธิขงจื๊อที่คอยตรวจตราอยู่เหนือหัว ยังต้องคอยกริ่งเกรงเจ้าอารามกวานเต๋าที่ลึกลับคนนั้นอีก ยากลำบากซะจริง หากไม่มีฝ่ายหลัง แผนการของข้าในใบถงทวีปคงสบายกว่าเดิมเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องจงใจอ้อมผ่านเขา ต่อให้หวงถิงโชคดีแค่ไหน แต่เมื่อมีข้าเป็นบทเรียนให้เห็นก่อนหน้าแล้ว นางจึงถูกบุรพาจารย์ที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดท่านนั้นจับโยนเข้าไปพิศมรรคา หากเป็นไปได้ก็อยากพบเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นจริงๆ …”

คำพูดของเขาพลันหยุดลงกลางคัน

ทางฝ่ายของวัดร้าง เผยเฉียนพลันยกสองมือขึ้นอุดตา กลิ้งตัวไถลเถลือกไปบนพื้น ระหว่างร่องนิ้วของนางคล้ายมีแสงอาทิตย์แสงจันทร์สาดยิงออกมา

ครู่หนึ่งต่อมาบริเวณใกล้เคียงกับแท่นพันธนาการมังกรของตำหนักใต้ดินก็มีนักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเผยกาย เขาแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “อ้อ?”

……

เหนือมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีป

ปีศาจใหญ่ที่ร่างจริงสูงพันจั้งตนหนึ่งเผ่นหนีไปอย่างบ้าคลั่งทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว

ด้านหลังมีเงาร่างของคนมากมายทะยานลมไล่ตามมาติดๆ

บนทะเลมีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กำลังหงุดหงิดสุดขีด

เขาไม่ยินดีจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาผายลมสุนัขอะไรนั่น ทว่าส่วนลึกในใจกลับเป็นกังวลว่าสถานการณ์วุ่นวายในใบถงทวีปจะเดือนร้อนไปถึงคนหนุ่มที่เสี่ยวฉีฝากความหวังทั้งหมดไว้ให้

เขาไม่อยากเผยตัวบนโลกจริงๆ จึงมาขี่กระบี่ผ่อนคลายอารมณ์อยู่บนทะเล

เตร่ไปซ้ายทีไปขวาทีอย่างตัดสินใจไม่ได้

แล้วก็พอดีกับที่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ชื่อว่าจั่วโย่ว (จั่วโย่วแปลว่าซ้ายขวา ตรงกับความหมายซ้ายขวาของประโยคด้านบนพอดี)

เห็นปีศาจใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งคอยเปลี่ยนทิศทางหลบหนีตนนั้น

เขาที่กำลังอารมณ์เสียสุดๆ จึงส่งกระบี่ออกไปหนึ่งที

หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจตายคาที่

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!