ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายสายตาไปมองหลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบอยู่ไกลๆ
หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง หวังฉีก็พยักหน้ารับ “ลงมือนั้นได้ แต่ห้ามเผยร่างจริง ไม่อย่างนั้นหลังจบเรื่องข้าก็ไม่อาจมีคำอธิบายให้กับสำนักศึกษาต้าฝู เจ้าขุนเขาท่านนั้นหลอกไม่ง่ายหรอกนะ”
ชายฉกรรจ์พูดเย้ยหยัน “เรื่องนี้ยังไม่ง่ายอีกหรือ ก็แค่บอกว่าปีศาจวารีลำคลองหมายเหออย่างข้าได้รับการชี้ทางสว่างจากเจ้า จึงละทิ้งความช่วยร้ายหันเข้าหาความดีงาม คิดจะขอศาลเทพวารีแห่งหนึ่งมาจากเจ้าและราชสำนักต้าเฉวียน ดังนั้นจึงยินดีลงมือช่วยเหลือ อาศัยการสร้างคุณความชอบมาแลกเปลี่ยนสถานะตัวตนที่ถูกต้องเหมาะสม จะยังไม่มีคำอธิบายได้อย่างไร?”
หวังฉียิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้ออ้างที่มองดูเหมือนสมเหตุสมผลนี้ บางทีฮ่องเต้หลิวเจินอาจจะเชื่อ แต่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เอาล่ะ ทำตามที่ข้าพูดเถอะ อย่าใช้ร่างจริงของเผ่าปีศาจไปต่อสู้กับเฉินผิงอันเด็ดขาด ขอแค่เจ้าบีบให้เฉินผิงอันเผยพิรุธเสี้ยวหนึ่งได้…”
คำพูดของหวังฉีพลันหยุดชะงัก ทว่าปณิธานการเข่นฆ่าสังหารกลับเปี่ยมล้น “ข้าก็จะทำให้ทั้งร่างและจิตของเขาต้องดับสลายอยู่ที่นี่!”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเบ้ปาก “เอาเถอะ หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด สังหารเฉินผิงอันที่กำลังรอให้พวกเราสองคนเอาตัวไปส่งถึงที่ได้ในการโจมตีเดียว อย่าเก่งแต่ปากก็แล้วกัน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เกือบลืมไป ความสามารถในการลับฝีปากของบัณฑิตอย่างพวกเจ้าร้ายกาจที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ของพวกเรา เสียมารยาทแล้วๆ”
หวังฉีไม่ถือสาปีศาจป่าเถื่อนตนนี้
ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอไม่สนใจสักนิดว่าจะทำให้คนตรงวัดร้างสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวหรือไม่ เขาเดินก้าวยาวๆ ออกไป ทุกก้าวที่เหยียบลงพื้นล้วนทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปจากหน้าผาบนยอดเขา วาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายกระแทกตูมลงบนพื้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หวังฉีถอนหายใจเบาๆ ใบหน้ามีความกลัดกลุ้ม
ผู้ที่สร้างโอสถทองสำเร็จคือคนรุ่นเดียวกับข้า
เพียงแต่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง พืชหญ้ามีเขียวชอุ่มมีแห้งเหี่ยว โอสถทองหนึ่งเม็ดที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็ถึงเวลาที่ต้องหม่นหมองแล้ว
เขาหวังฉีมีความรู้อยู่เต็มกาย ยังไม่ทันได้ทำความมุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริง จะตายได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณโอสถทองยังรู้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตได้ดีกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มึนๆ งงๆ มากนัก
การที่ต้องนับวันรอความตายเป็นเรื่องที่ทรมานสิ้นดี
มาแล้ว
ด้านล่างยอดเขาสูงตระหง่านลูกนั้น ปีศาจลำคลองร่างกำยำสร้างความเคลื่อนไหวดังขนาดนั้น เขาเฉินผิงอันไม่ใช่คนหูหนวก ย่อมได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว
มือซ้ายถือกิ่งไม้ที่หยิบจากพื้นขึ้นมาส่งๆ มือขวาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชูอีและสืออู่พุ่งออกไป จากนั้นก็หายวับไปไม่เหลือเงา
มือขวาที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองที่จงขุยใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนด้วยมือของตัวเองเอาไว้
กระดาษแผ่นนี้ล้ำค่ามาก ตอนนั้นที่จวนปี้โหยวถูกสร้างขึ้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็เพิ่งจะได้พระราชทานมาจากราชสำนักต้าเฉวียนแผ่นเดียว คือกระดาษลมฟ้าลายพื้นภาพกรงเล็บมังกร หนึ่งในกระดาษยันต์สีทองสามแผ่นที่จงขุยมอบให้กับเฉินผิงอัน
แม้ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวตนของผู้ที่จะมาหาเรื่องเขาก็ตาม
ทว่าเรื่องราวบนโลกก็บังเอิญเช่นนี้ ยันต์สยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนขึ้นในจวนปี้โหยวได้เอามาใช้สยบสังหารปีศาจวารีลำคลองหมายเหอพอดี วิถีสวรรค์ช่างยุติธรรม ทำชั่วกรรมย่อมตามสนอง!
ส่วนชูอีกับสืออู่ หลังจากเฉินผิงอันเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแล้ว เขาก็ส่งกระบี่ออกไปยังผู้มาเยือน เพื่อสกัดกั้นการช่วยเหลือจากหวังฉีวิญญูชนที่อยู่บนยอดเขา
หวังฉีวิญญูชนที่ยืนอยู่บนภูเขาปลงอนิจจังอยู่ในใจ หนึ่งความคิดบังเกิด แยกมารและเทพออกจากกันอย่างแท้จริง
หวังว่าการล้อมฆ่าครั้งนี้จะราบรื่น หลังจากนี้เมื่อได้คาถาเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคาบทนั้นมาแล้ว เขาจะไม่สนใจบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์อีก จะตั้งใจฝึกตน สักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ถึงเวลานั้นค่อยชดเชยให้กับโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็แล้วกัน
……
นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่กลับย่อพื้นที่ให้หดสั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็ออกจากชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนมายังทิศใต้ของแคว้นเป่ยฉี จากนั้นก็ลงใต้ไปตลอดทาง เลือกเข้าไปในทะเลสาบกลางป่าเขาที่ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คนแห่งหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วหายตัวไป
ใต้พื้นดินมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางโบราณที่ถูกกลบฝังไว้ นักพรตหนุ่มเดินอยู่ในเส้นทางที่ยาวไกลนับพันลี้ เส้นทางโบราณที่เลื้อยลดคดเคี้ยวใต้ดินแห่งนี้มีทางแยกออกไปอีกเยอะมาก แต่เขาไม่ได้เลือกทิศทางใด ไร้ซึ่งความลังเล
ตลอดทางพบเจอภาพเหตุการณ์ประหลาดที่บ้างก็น่าสะพรึงกลัว บ้างก็งดงาม แต่กลับไม่อาจทำให้นักพรตหนุ่มหยุดเดินได้
สุดท้ายเขามาถึงหน้า ‘ประตูภูเขา’ แห่งหนึ่งที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง กรอบป้ายด้านบนเอียงกะเท่เร่ แตกบิ่นไปเกือบครึ่ง เหลือเพียงแค่สามอักษรว่า ‘ตำหนักตู๋เปี๋ย’
เมื่อเขาเดินเข้าไปในประตูบานนั้น ปราณกระบี่เล็กบางขุมหนึ่งก็พลันมารวมตัวกันแล้วพลันสลายหายไป
ทุกพื้นที่มีแต่ผนังแตกหักผุพัง นักพรตหนุ่มก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า
ป้อมอินทรีบิน จวนปี้โหยว เมืองหูเอ๋อร์
นอกจากโรงเตี๊ยมที่จิ่วเหนียงอยู่แล้ว อีกสองสถานที่ล้วนไม่ใช่สถานที่สำคัญอะไร หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ป้อมอินทรีบินเคยเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงหมอกควันที่สลายไปสิ้น ทำให้เขาไม่อยากจะคิดถึงสักเท่าไหร่
การเดินทางไปทั่วใบถงทวีปหลังจากนั้น แต่ละที่ที่ผ่านเขาไม่เคยตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่สุดท้ายต้นหลิ่วจะเติบโตหรือไม่ (มาจากสำนวนไม่ได้ตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่ต้นหลิ่วกลับเติบโตเป็นพุ่มดกครึ้ม เปรียบเปรยว่าเรื่องที่ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้ตั้งใจดันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่คาดหวังกลับไม่เกิด) นักพรตหนุ่มไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แผนการที่เขาวางไว้ในใบถงทวีปครั้งนี้ ปีศาจใหญ่สองตัวที่อยู่ในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
แต่เมื่อเขาค้นพบว่าดันมีคนผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้ประวัติความเป็นมา มาโผล่อยู่บน ‘มหามรรคา’ ที่เขาเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้งหนึ่งคือความบังเอิญ สองครั้งก็ยังเป็นความบังเอิญ แล้วถ้าสามครั้งล่ะ?
ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากไม่ทันระวัง สุดท้ายร่างจริงที่ทิ้งไว้ในบ้านเกิดซึ่งใช้เทือกเขาเป็นหมอนหนุนจะได้รับความเสียหายทางจิตวิญญาณมากเกินไป เป็นเหตุให้ไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาได้ในระยะเวลาหลายร้อยปี ถึงเวลานั้นก็ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสบุกเบิกที่ดินผลักดันให้กิจการใหญ่เจริญรุ่งเรืองซึ่งหมื่นปีก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งหรอกหรือ? แล้วจะยังช่วงชิงพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์จนเหนือจินตนาการแห่งแล้วแห่งเล่ามาให้ลูกหลานในตระกูลได้อย่างไร?
เขาบอกเตือนตัวเองอยู่ในใจเช่นนี้ไม่หยุด
ปลายทางของเส้นทางตำหนักที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้คือซากแท่นพันธนาการมังกรที่มองดูเหมือนจะเก่าแก่มากแห่งหนึ่ง ด้านบนมีวานรขาวที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดนั่งขัดสมาธิอยู่ ปราณดุร้ายอำมหิตทั่วร่างที่มิอาจอำพรางได้ไหลทะลักไปเป็นจำนวนมหาศาล เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ปราณกระบี่ดุดันเป็นเส้นๆ เหมือนจับต้องได้จริงเหล่านั้นลอยออกไปจากแท่นหินใหญ่ยักษ์ จะต้องถูกสายฟ้าสีขาวหิมะที่ผุดลอยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจโจมตีจนไม่เหลือร่องรอย
ก็คือวานรขาวสะพายกระบี่ของภูเขาไท่ผิงที่หนีตายมาถึงที่นี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่อาจใช้คำว่า ‘สะพายกระบี่’ ได้อีกแล้ว
วานรเฒ่าถามเสียงแหบแห้ง “เหตุใดถึงมาหาข้าที่นี่? ไม่กลัวว่าพวกเราสองคนจะต้องมาตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!