โดยเฉพาะเมื่อหลังจากตายไป สตรีบังคับกระบี่ผู้นั้นยังปรากฏตัวอย่างฉับพลันแล้วเดินออกมาจากวัดร้างอย่างปลอดภัยไม่เป็นอะไรสักอย่าง
นี่ทำให้วิญญูชนหวังฉีและปีศาจน้ำแห่งลำคลองหมายเหอที่อยู่บนยอดเขาหันมามองหน้ากันเอง นี่คือวิชาอภินิหารแห่งตระกูลเซียนวิชาใด? หรือว่าโฉมสะคราญที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำคือยันต์หุ่นเชิดของสำนักนอกรีตลัทธิเต๋า? หรือว่าเป็นวิชากลไกของสำนักโม่ที่ไม่มีใครรู้จัก? ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยันต์และวิชากลไกสูงส่งได้ถึงขั้นนี้แล้ว?
ตรงพื้นที่ว่างในป่าที่ถูกปราณกระบี่พังให้ราบเป็นหน้ากลองครั้งแล้วครั้งเล่า แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวชำเลืองมองไปยังเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ เมื่อครู่นี้หากไม่เป็นเพราะสวีถงเตือนให้เขาระวังตัว เขาก็เกือบจะยื่นมือไปคว้ากระบี่ชือซินสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้ว แต่สวีถงกลับบอกให้เขารีบหลบ หัวใจของสวี่ชิงโจวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ละทิ้งสมบัติอาคมที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาอย่างเด็ดเดี่ยว นั่นถึงทำให้เขาหลบเวทกระบี่จากสตรีที่ตายแล้วฟื้นคนนั้นมาได้ ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ที่นี่
อารมณ์ของสวีถงหนักอึ้ง “สตรีผู้นี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวธรรมดาอย่างแน่นอน”
สวี่ชิงโจวเพ่งตามองไป นอกจากกระบี่ยาวบนพื้นที่ถูกบังคับกลับไปและปราณกระบี่ที่พุ่งแสกหน้ามาถึงในเสี้ยววินาทีแล้ว ร่างของหญิงสาวที่หัวและร่างขาดออกจากกันบนพื้นก็หายไปด้วย
บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไกล สุยโย่วเปียนที่ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ ในมือถือชือซินเอาไว้
สุยโย่วเปียนมองไกลๆ มายังสวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูของสำนักการหทาร และเซียนซือสวีถงที่คีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง ปณิธานการต่อสู้ของนางพลันท่วมทะยาน นางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ขอแค่ได้เข้าร่วมศึกแห่งความเป็นความตายที่เผาผลาญปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์จนหมดสิ้น การฝ่าทะลุขอบเขตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!
จิตใจของสวี่ชิงโจวส่ายไหวไปครู่หนึ่ง หลังจากที่สตรีผู้นี้ ‘ตายไปหนึ่งครั้ง’ ตบะและพลังอำนาจของนางกลับเพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าคว้าจับโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตท่ามกลางศึกใหญ่เอาไว้ได้ จึงตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะใช้เขากับสวีถงเป็นหินลับมีดบนวิถีวรยุทธ์ หากปล่อยให้นางเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดร่างทอง เกรงว่าดาบที่ชื่อว่า ‘ต้าเฉี่ยว’ ในมือของตนคงสูญเสียความหมายไปอย่างสิ้นเชิง
ขนาดสวี่ชิงโจวที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมีปณิธานแน่วแน่ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารมายาวนานก็ยังเป็นเช่นนี้ สวีถงคือผู้ฝึกลมปราณ อารามฉ่าวมู่คือตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังเป็นกิจการที่บุตรสืบทอดมาจากบิดาหลายรุ่นหลายสมัย บนเส้นทางของการฝึกตน สวีถงเดินผ่านมาอย่างราบรื่น เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง สวีถงไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตบนสนามรบ อีกทั้งศัตรูคนนี้ยังเหมือนคนที่ฆ่าไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นขอแค่นางปล่อยกระบี่หนึ่งออกมาได้สำเร็จก็สามารถตัดหัวของตนได้ แล้วจะไม่ให้สวีถงอกสั่นขวัญผวาได้อย่างไร?
หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ อาวุธวิเศษและสมบัติอาคมมีนับพันนับหมื่นชิ้น ทว่าชีวิตของผู้ฝึกลมปราณมีเพียงแค่ชีวิตเดียว
สวี่ชิงโจวสัมผัสได้ถึงความขลาดกลัวของสวีถงแล้ว เขาทั้งไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธ ทั้งไม่ได้ด่าเทพเซียนที่เสพสุขอยู่ในเมืองเซิ่นจิงมาร้อยปีผู้นี้ แล้วก็ไม่ได้ตระหนกลนตามอีกฝ่ายไปด้วย บุรุษที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลแม่ทัพอันดับต้นๆ ของต้าเฉวียนผู้นี้สงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ลองฆ่านางดูอีกครั้ง หากนางยังมีชีวิตกลับมาอีกรอบ เจ้าและข้าสองคนค่อยหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของนาง”
สวีถงจึงกัดฟัน ยันต์สีทองแผ่นนั้นที่อยู่ระหว่างนิ้วส่องประกายแสงแวววาว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองฆ่านางอีกครั้งโดยไม่ต้องสนค่าตอบแทน!”
สุยโย่วเปียนกระตุกมุมปาก
นางมองสวี่ชิงโจวและสวีถงผู้นั้นเป็นเพียงแค่โครงกระดูกขาวสองร่างบนทางเดินขึ้นสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองเท่านั้น
สนามรบอีกแห่งหนึ่ง หลูป๋ายเซี่ยงเองก็จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่เป็นเพราะสุยโย่วเปียนช่วยดึงดูดสวี่ชิงโจวและสวีถงเอาไว้ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอดกลั้นไม่ยอมลงมือมาตลอดเวลา จนกระทั่งเวลานี้ถึงได้ลงมือลอบโจมตีเขาหนึ่งครั้ง พลังการพิฆาตสังหารอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบการลงมืออย่างเต็มกำลังของสวี่ สวีสองคนได้ติด ดังนั้นจึงได้แค่กรีดชายโครงของหลูป๋ายเซี่ยงให้เป็นรอยเลือดเท่านั้น หลูป๋ายเซี่ยงใช้มือข้างหนึ่งอุดปากแผลเอาไว้ ตรงไหล่ยังปักคาด้วยธนูสีหมึกที่เต็มไปด้วยลวดลายของยันต์สีเขียวเข้มซึ่งทางราชสำนักจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ หลูป๋ายเซี่ยงสะบัดหยดเลือดที่ติดปลายดาบทิ้ง ทว่ากลับไม่แม้แต่จะชายตามองลูกธนูดอกนั้น ยิ่งไม่ได้เสียเวลาใช้มือดึงมันออกมา
อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในแต่ละยุคสมัยทั้งสี่ท่านของพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนจะเดินออกมาจากภาพวาด ต่างคนต่างได้รับคำพูดประโยคหนึ่ง เพียงแต่ว่าต่างคนต่างไม่รู้เรื่องก็เท่านั้น เฉินผิงอันที่เป็นนายของคนทั้งสี่ก็ยิ่งถูกปิดหูปิดตา
เว่ยเซี่ยนเป็นคนแรกสุดที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด ทว่าคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดตอนอยู่หน้าวัดร้างกับเอ่ยได้สายยิ่ง
ตอนนั้นหลูป๋ายเซี่ยงเชื่อว่าเว่ยเซี่ยนไม่มีทางหลอกคนอื่นในเรื่องแบบนี้ ยิ่งเชื่อว่าไม่ใช่เฉินผิงอันที่เป็นคนบงการเว่ยเซี่ยนอย่างลับๆ เพราะคิดอยากจะให้พวกเขาทั้งสี่คนทุ่มเทชีวิตสู้รบจนถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าตอนนี้หลูป๋ายเซี่ยงยังไม่อยากตาย
จูเหลี่ยนยังไม่ตายเลย ลมปราณแห่งพลังชีวิตของผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่หน้าวัดร้างดุจมังกรดุจพยัคฆ์ถึงเพียงนั้น สมกับเป็นคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ยิ่งบาดเจ็บพลังการสังหารก็ยิ่งแข็งแกร่งจริงๆ
แม้หลูป๋ายเซี่ยงจะไม่เคยได้ยินชื่อเหรียญทองแดงแก่นทองอะไรมาก่อน รู้เพียงว่าเงินเทพเซียนของใต้หล้าแห่งนี้มีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชสามชนิดเท่านั้น แต่หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตน ถึงอย่างไรก็สามารถทัดเทียมกับ ‘เหรียญทองแดงแก่นทอง’ เหรียญหนึ่งได้
ถึงอย่างไรอีกไม่นานก็จะทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนายได้แล้ว ในเมื่อใกล้จะทำตามสัญญาได้สำเร็จก็ไม่ต้องร้อนใจอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่แผนการล้อมฆ่าของฝ่ายตรงข้ามในครั้งนี้ คิดจะรวบแหดึงปลาใหญ่อย่างเขาขึ้นมาก็ยังเร็วเกินไปนัก
เกี่ยวกับเรื่องฝ่าขอบเขต หลูป๋ายเซี่ยงอาจเป็นคนที่มีความคิดเฉยชาที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่
ส่วนสุยโย่วเปียนก็ต้องไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือคนที่มีจิตใจรุ่มร้อนที่สุด เพราะนางทะเยอทะยานมากที่สุด ต้องการทำตามปณิธานที่ในปีนั้นไม่อาจทำสำเร็จได้ในพื้นที่มงคลดอกบัว นั่นคือการขี่กระบี่บินทะยาน
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์และสดใหม่เฮือกที่สองประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าอยู่ในร่างกายของหลูป๋ายเซี่ยง แม้ว่าจะเป็นเทียบกับสภาพพรั่งพร้อมสูงสุดก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็มากพอจะรับมือกับการเข่นฆ่าอีกหนึ่งก้านธูป
ตรงตีนเขาของภูเขาอันเป็นที่ตั้งวัดร้างมีทหารชายแดนของต้าเฉวียนขึ้นเขาไปสังหารเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารในตำนานอีกครั้ง
เกาซื่อเจินถูกสายฝนชะร่างจนใบหน้าซีดขาว ในที่สุดก็ทนฟังคำเกลี้ยกล่อมจากพ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของจวนกั๋วกงไม่ไหว ปล่อยให้ฝ่ายหลังกางร่มไว้เหนือศีรษะของเขา
เมื่อครู่นี้เกาซื่อเจินเพิ่งผ่านความรู้สึกที่ทั้งตะลึงทั้งดีใจไป ตอนแรกมีสายลับบนภูเขาส่งข่าวมายังตีนเขาบอกว่า สตรีที่สะพายกระบี่ถูกแม่ทัพสวี่และสวีเซียนซือร่วมมือกันสังหาร ศีรษะถูกสวี่ชิงโจวตัดขาดร่วงลงพื้น แล้วก็ถูกเจ้าอารามฉ่าวมู่ทำลายจิตวิญญาณให้แหลกสลาย ตายจนตายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปครู่เดียวก็มีทหารหน่วยสอดแนมลงจากเขามารายงานอีกว่า สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นมีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง เปิดฉากสังหารกับสวี่ชิงโจวและสวีถงครั้งใหญ่ คราวนี้สตรีสะพายกระบี่จ้องแต่จะไล่ฆ่าคนทั้งสอง ไม่สนใจเล่นงานทหารชุดเกราะอีก
เซินกั๋วกงแห่งต้าเฉวียนที่ลงเดิมพันก้อนใหญ่พลันหันหน้าไปมองจุดที่ห่างจากข้างกายไปไม่ไกล ยังพอจะมองเห็นเหล่าทหารเสื้อเกราะที่เดินขึ้นเขาท่ามกลางม่านฝนไปเงียบๆ ได้อย่างเลือนราง บางคนก็มีใบหน้าของเด็กหนุ่ม อายุพอๆ กับเกาซู่อี้บุตรชายของเขา บางคนก็เป็นทหารแก่ที่ผ่านศึกมานับร้อยครั้งจนไม่ใช่หนุ่มอีกแล้ว เหมือนกับเขาเกาซื่อเจิน
ผ่านไปประมาณสองเค่อ เกาซื่อเจินที่อารมณ์หนักอึ้งก็ได้รับข่าวร้ายอีกหนึ่งข่าว
สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นทนรับดาบหนึ่งที่สวี่ชิงโจวผ่ามากลางหลัง รวมไปถึงถูกยันต์หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งต่อยเข้าที่ศีรษะ ส่งกระบี่แทงทะลุหัวใจของสวีถงได้สำเร็จ สวีเซียนซือที่เดิมทีไม่ควรต้องตายคาที่ใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะกินยาวิเศษลงไปมากน้อยเท่าไหร่ ร่ายใช้วิชาเซียนที่สามารถต่อชีวิตไปมากแค่ไหนก็ยังคงตายอยู่ดี หัวใจทั้งดวงแห้งเหี่ยวกลายเป็นผุยผง หลังจากที่สตรีสะพายกระบี่ตายไป ศพของนางก็หายไปอีกครั้ง ตอนที่เดินออกมาจากวัดร้างแห่งนั้นเป็นครั้งที่สองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทองบนวิถีวรยุทธ์แล้ว แม่ทัพสวี่ได้ถอยร่นหนีออกจากภูเขาไปโดยพลการแล้ว องค์ชายใหญ่ต้าเฉวียนพิโรธหนัก ป่าวประกาศว่าจะต้องลงทัณฑ์ตระกูลสวี่ที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งให้จงได้
เกาซื่อเจินไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว
มีเพียงฝนเม็ดใหญ่หนาวเย็นเสียดขั้วกระดูกที่เทลงมาจากม่านราตรีเท่านั้นที่เป็นดั่งเสียงพึมพำของเทวดาในยามนอนหลับฝัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!