กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 357

สรุปบท บทที่ 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

กระบี่จงมา – บทที่ 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด
ฝนตกถี่กระชั้นเหมือนเสียงรัวกลองในสนามรบ การเข่นฆ่าบนภูเขาดำเนินไปอย่างดุเดือด

โดยเฉพาะเมื่อหลังจากตายไป สตรีบังคับกระบี่ผู้นั้นยังปรากฏตัวอย่างฉับพลันแล้วเดินออกมาจากวัดร้างอย่างปลอดภัยไม่เป็นอะไรสักอย่าง

นี่ทำให้วิญญูชนหวังฉีและปีศาจน้ำแห่งลำคลองหมายเหอที่อยู่บนยอดเขาหันมามองหน้ากันเอง นี่คือวิชาอภินิหารแห่งตระกูลเซียนวิชาใด? หรือว่าโฉมสะคราญที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำคือยันต์หุ่นเชิดของสำนักนอกรีตลัทธิเต๋า? หรือว่าเป็นวิชากลไกของสำนักโม่ที่ไม่มีใครรู้จัก? ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยันต์และวิชากลไกสูงส่งได้ถึงขั้นนี้แล้ว?

ตรงพื้นที่ว่างในป่าที่ถูกปราณกระบี่พังให้ราบเป็นหน้ากลองครั้งแล้วครั้งเล่า แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวชำเลืองมองไปยังเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ เมื่อครู่นี้หากไม่เป็นเพราะสวีถงเตือนให้เขาระวังตัว เขาก็เกือบจะยื่นมือไปคว้ากระบี่ชือซินสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้ว แต่สวีถงกลับบอกให้เขารีบหลบ หัวใจของสวี่ชิงโจวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ละทิ้งสมบัติอาคมที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาอย่างเด็ดเดี่ยว นั่นถึงทำให้เขาหลบเวทกระบี่จากสตรีที่ตายแล้วฟื้นคนนั้นมาได้ ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ที่นี่

อารมณ์ของสวีถงหนักอึ้ง “สตรีผู้นี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวธรรมดาอย่างแน่นอน”

สวี่ชิงโจวเพ่งตามองไป นอกจากกระบี่ยาวบนพื้นที่ถูกบังคับกลับไปและปราณกระบี่ที่พุ่งแสกหน้ามาถึงในเสี้ยววินาทีแล้ว ร่างของหญิงสาวที่หัวและร่างขาดออกจากกันบนพื้นก็หายไปด้วย

บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไกล สุยโย่วเปียนที่ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ ในมือถือชือซินเอาไว้

สุยโย่วเปียนมองไกลๆ มายังสวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูของสำนักการหทาร และเซียนซือสวีถงที่คีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง ปณิธานการต่อสู้ของนางพลันท่วมทะยาน นางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ขอแค่ได้เข้าร่วมศึกแห่งความเป็นความตายที่เผาผลาญปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์จนหมดสิ้น การฝ่าทะลุขอบเขตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!

จิตใจของสวี่ชิงโจวส่ายไหวไปครู่หนึ่ง หลังจากที่สตรีผู้นี้ ‘ตายไปหนึ่งครั้ง’ ตบะและพลังอำนาจของนางกลับเพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าคว้าจับโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตท่ามกลางศึกใหญ่เอาไว้ได้ จึงตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะใช้เขากับสวีถงเป็นหินลับมีดบนวิถีวรยุทธ์ หากปล่อยให้นางเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดร่างทอง เกรงว่าดาบที่ชื่อว่า ‘ต้าเฉี่ยว’ ในมือของตนคงสูญเสียความหมายไปอย่างสิ้นเชิง

ขนาดสวี่ชิงโจวที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมีปณิธานแน่วแน่ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารมายาวนานก็ยังเป็นเช่นนี้ สวีถงคือผู้ฝึกลมปราณ อารามฉ่าวมู่คือตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังเป็นกิจการที่บุตรสืบทอดมาจากบิดาหลายรุ่นหลายสมัย บนเส้นทางของการฝึกตน สวีถงเดินผ่านมาอย่างราบรื่น เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง สวีถงไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตบนสนามรบ อีกทั้งศัตรูคนนี้ยังเหมือนคนที่ฆ่าไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นขอแค่นางปล่อยกระบี่หนึ่งออกมาได้สำเร็จก็สามารถตัดหัวของตนได้ แล้วจะไม่ให้สวีถงอกสั่นขวัญผวาได้อย่างไร?

หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ อาวุธวิเศษและสมบัติอาคมมีนับพันนับหมื่นชิ้น ทว่าชีวิตของผู้ฝึกลมปราณมีเพียงแค่ชีวิตเดียว

สวี่ชิงโจวสัมผัสได้ถึงความขลาดกลัวของสวีถงแล้ว เขาทั้งไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธ ทั้งไม่ได้ด่าเทพเซียนที่เสพสุขอยู่ในเมืองเซิ่นจิงมาร้อยปีผู้นี้ แล้วก็ไม่ได้ตระหนกลนตามอีกฝ่ายไปด้วย บุรุษที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลแม่ทัพอันดับต้นๆ ของต้าเฉวียนผู้นี้สงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ลองฆ่านางดูอีกครั้ง หากนางยังมีชีวิตกลับมาอีกรอบ เจ้าและข้าสองคนค่อยหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของนาง”

สวีถงจึงกัดฟัน ยันต์สีทองแผ่นนั้นที่อยู่ระหว่างนิ้วส่องประกายแสงแวววาว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองฆ่านางอีกครั้งโดยไม่ต้องสนค่าตอบแทน!”

สุยโย่วเปียนกระตุกมุมปาก

นางมองสวี่ชิงโจวและสวีถงผู้นั้นเป็นเพียงแค่โครงกระดูกขาวสองร่างบนทางเดินขึ้นสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองเท่านั้น

สนามรบอีกแห่งหนึ่ง หลูป๋ายเซี่ยงเองก็จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่เป็นเพราะสุยโย่วเปียนช่วยดึงดูดสวี่ชิงโจวและสวีถงเอาไว้ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอดกลั้นไม่ยอมลงมือมาตลอดเวลา จนกระทั่งเวลานี้ถึงได้ลงมือลอบโจมตีเขาหนึ่งครั้ง พลังการพิฆาตสังหารอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบการลงมืออย่างเต็มกำลังของสวี่ สวีสองคนได้ติด ดังนั้นจึงได้แค่กรีดชายโครงของหลูป๋ายเซี่ยงให้เป็นรอยเลือดเท่านั้น หลูป๋ายเซี่ยงใช้มือข้างหนึ่งอุดปากแผลเอาไว้ ตรงไหล่ยังปักคาด้วยธนูสีหมึกที่เต็มไปด้วยลวดลายของยันต์สีเขียวเข้มซึ่งทางราชสำนักจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ หลูป๋ายเซี่ยงสะบัดหยดเลือดที่ติดปลายดาบทิ้ง ทว่ากลับไม่แม้แต่จะชายตามองลูกธนูดอกนั้น ยิ่งไม่ได้เสียเวลาใช้มือดึงมันออกมา

อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในแต่ละยุคสมัยทั้งสี่ท่านของพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนจะเดินออกมาจากภาพวาด ต่างคนต่างได้รับคำพูดประโยคหนึ่ง เพียงแต่ว่าต่างคนต่างไม่รู้เรื่องก็เท่านั้น เฉินผิงอันที่เป็นนายของคนทั้งสี่ก็ยิ่งถูกปิดหูปิดตา

เว่ยเซี่ยนเป็นคนแรกสุดที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด ทว่าคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดตอนอยู่หน้าวัดร้างกับเอ่ยได้สายยิ่ง

ตอนนั้นหลูป๋ายเซี่ยงเชื่อว่าเว่ยเซี่ยนไม่มีทางหลอกคนอื่นในเรื่องแบบนี้ ยิ่งเชื่อว่าไม่ใช่เฉินผิงอันที่เป็นคนบงการเว่ยเซี่ยนอย่างลับๆ เพราะคิดอยากจะให้พวกเขาทั้งสี่คนทุ่มเทชีวิตสู้รบจนถึงที่สุด

เพียงแต่ว่าตอนนี้หลูป๋ายเซี่ยงยังไม่อยากตาย

จูเหลี่ยนยังไม่ตายเลย ลมปราณแห่งพลังชีวิตของผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่หน้าวัดร้างดุจมังกรดุจพยัคฆ์ถึงเพียงนั้น สมกับเป็นคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ยิ่งบาดเจ็บพลังการสังหารก็ยิ่งแข็งแกร่งจริงๆ

แม้หลูป๋ายเซี่ยงจะไม่เคยได้ยินชื่อเหรียญทองแดงแก่นทองอะไรมาก่อน รู้เพียงว่าเงินเทพเซียนของใต้หล้าแห่งนี้มีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชสามชนิดเท่านั้น แต่หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตน ถึงอย่างไรก็สามารถทัดเทียมกับ ‘เหรียญทองแดงแก่นทอง’ เหรียญหนึ่งได้

ถึงอย่างไรอีกไม่นานก็จะทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนายได้แล้ว ในเมื่อใกล้จะทำตามสัญญาได้สำเร็จก็ไม่ต้องร้อนใจอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่แผนการล้อมฆ่าของฝ่ายตรงข้ามในครั้งนี้ คิดจะรวบแหดึงปลาใหญ่อย่างเขาขึ้นมาก็ยังเร็วเกินไปนัก

เกี่ยวกับเรื่องฝ่าขอบเขต หลูป๋ายเซี่ยงอาจเป็นคนที่มีความคิดเฉยชาที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่

ส่วนสุยโย่วเปียนก็ต้องไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือคนที่มีจิตใจรุ่มร้อนที่สุด เพราะนางทะเยอทะยานมากที่สุด ต้องการทำตามปณิธานที่ในปีนั้นไม่อาจทำสำเร็จได้ในพื้นที่มงคลดอกบัว นั่นคือการขี่กระบี่บินทะยาน

ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์และสดใหม่เฮือกที่สองประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าอยู่ในร่างกายของหลูป๋ายเซี่ยง แม้ว่าจะเป็นเทียบกับสภาพพรั่งพร้อมสูงสุดก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็มากพอจะรับมือกับการเข่นฆ่าอีกหนึ่งก้านธูป

ตรงตีนเขาของภูเขาอันเป็นที่ตั้งวัดร้างมีทหารชายแดนของต้าเฉวียนขึ้นเขาไปสังหารเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารในตำนานอีกครั้ง

เกาซื่อเจินถูกสายฝนชะร่างจนใบหน้าซีดขาว ในที่สุดก็ทนฟังคำเกลี้ยกล่อมจากพ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของจวนกั๋วกงไม่ไหว ปล่อยให้ฝ่ายหลังกางร่มไว้เหนือศีรษะของเขา

เมื่อครู่นี้เกาซื่อเจินเพิ่งผ่านความรู้สึกที่ทั้งตะลึงทั้งดีใจไป ตอนแรกมีสายลับบนภูเขาส่งข่าวมายังตีนเขาบอกว่า สตรีที่สะพายกระบี่ถูกแม่ทัพสวี่และสวีเซียนซือร่วมมือกันสังหาร ศีรษะถูกสวี่ชิงโจวตัดขาดร่วงลงพื้น แล้วก็ถูกเจ้าอารามฉ่าวมู่ทำลายจิตวิญญาณให้แหลกสลาย ตายจนตายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปครู่เดียวก็มีทหารหน่วยสอดแนมลงจากเขามารายงานอีกว่า สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นมีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง เปิดฉากสังหารกับสวี่ชิงโจวและสวีถงครั้งใหญ่ คราวนี้สตรีสะพายกระบี่จ้องแต่จะไล่ฆ่าคนทั้งสอง ไม่สนใจเล่นงานทหารชุดเกราะอีก

เซินกั๋วกงแห่งต้าเฉวียนที่ลงเดิมพันก้อนใหญ่พลันหันหน้าไปมองจุดที่ห่างจากข้างกายไปไม่ไกล ยังพอจะมองเห็นเหล่าทหารเสื้อเกราะที่เดินขึ้นเขาท่ามกลางม่านฝนไปเงียบๆ ได้อย่างเลือนราง บางคนก็มีใบหน้าของเด็กหนุ่ม อายุพอๆ กับเกาซู่อี้บุตรชายของเขา บางคนก็เป็นทหารแก่ที่ผ่านศึกมานับร้อยครั้งจนไม่ใช่หนุ่มอีกแล้ว เหมือนกับเขาเกาซื่อเจิน

ผ่านไปประมาณสองเค่อ เกาซื่อเจินที่อารมณ์หนักอึ้งก็ได้รับข่าวร้ายอีกหนึ่งข่าว

สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นทนรับดาบหนึ่งที่สวี่ชิงโจวผ่ามากลางหลัง รวมไปถึงถูกยันต์หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งต่อยเข้าที่ศีรษะ ส่งกระบี่แทงทะลุหัวใจของสวีถงได้สำเร็จ สวีเซียนซือที่เดิมทีไม่ควรต้องตายคาที่ใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะกินยาวิเศษลงไปมากน้อยเท่าไหร่ ร่ายใช้วิชาเซียนที่สามารถต่อชีวิตไปมากแค่ไหนก็ยังคงตายอยู่ดี หัวใจทั้งดวงแห้งเหี่ยวกลายเป็นผุยผง หลังจากที่สตรีสะพายกระบี่ตายไป ศพของนางก็หายไปอีกครั้ง ตอนที่เดินออกมาจากวัดร้างแห่งนั้นเป็นครั้งที่สองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทองบนวิถีวรยุทธ์แล้ว แม่ทัพสวี่ได้ถอยร่นหนีออกจากภูเขาไปโดยพลการแล้ว องค์ชายใหญ่ต้าเฉวียนพิโรธหนัก ป่าวประกาศว่าจะต้องลงทัณฑ์ตระกูลสวี่ที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งให้จงได้

เกาซื่อเจินไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว

มีเพียงฝนเม็ดใหญ่หนาวเย็นเสียดขั้วกระดูกที่เทลงมาจากม่านราตรีเท่านั้นที่เป็นดั่งเสียงพึมพำของเทวดาในยามนอนหลับฝัน

เว่ยเซี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อ้อมผ่านสนามรบที่จูเหลี่ยนอยู่ไปเล็กน้อยเท่านั้น

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ไม่ฟังคำพูดของคนแก่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หาได้ยากนักที่ข้าจะมีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์เช่นนี้ แต่กลับถูกคนอื่นมองเป็นลมที่พัดผ่านหูไป โลกใบนี้นี่นะ”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น จ้องตรงไปยังยอดเขาแห่งนั้น

ในวัดร้าง เผยเฉียนหยิบกล่องเก็บสมบัติใบนั้นออกมาอีกครั้งเพื่อโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตัวเองให้คนจิ๋วดอกบัวดู

สำหรับคนจิ๋วดอกบัวที่ซื่อบื้อตนนี้ นางไม่มีใจระแวดระวังอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก นอกจากเฉินผิงอันแล้ว มันก็คือคนที่เผยเฉียนไว้วางใจที่สุดบนโลกใบนี้

เพียงแต่ว่าคนจิ๋วดอกบัวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มักจะเขย่งเท้ามองเฉินผิงอันที่อยู่นอกประตูอยู่เป็นระยะ

เผยเฉียนสั่งสอนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ทำไม ไม่เชื่อใจพ่อข้างั้นรึ? เจ้าแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้วยังจะตาบอดอีกหรือไง? พ่อข้าคือใคร? จะแพ้รึ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อให้วันใดข้าเผยเฉียนกลายเป็นคนโง่ที่ไม่ชอบเงินแล้ว พ่อข้าก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”

สีหน้าของคนจิ๋วดอกบัวมึนงง สองอย่างนี้เกี่ยวอะไรกันด้วย? มันไม่เคยเข้าใจเลยว่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมนิสัยชั่วร้ายผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่

เสียงของเฉินผิงอันดังเข้ามาในวัดร้าง “ใช้กิ่งไม้คัดตัวอักษร”

เผยเฉียนที่นั่งยองอยู่บนพื้นเหมือนโดนฟ้าผ่า แอบตบศีรษะของคนจิ๋วดอกบัวไปทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าลงแรงมากนัก กลัวว่าจากห้าร้อยตัวจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งพันตัว หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาเขียนตัวอักษรในบทความอริยะปราชญ์ลงไป ทุกครั้งที่นางเขียนตัวอักษรเสร็จหนึ่งตัว เจ้าตัวน้อยจะผลุบหายเข้าไปในดิน จากนั้นก็จะโผล่หัวออกมาข้างตัวอักษรตัวนั้นแล้วหัวเราะคิกคัก เผยเฉียนตวัดค้อนใส่หลายรอบ ในใจคิดว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีเจ้าตัวน้อยที่น่าเบื่อขนาดนี้ คงไม่ใช่ภูตปัญญาอ่อนหรอกกระมัง? เฮ้อ คราวหน้าเห็นทีต้องพูดกับเฉินผิงอันสักหน่อยแล้วว่าให้ขายมันแลกเป็นเงิน จะได้เอามาซื้อตำราเล่มใหม่ให้นาง

บนยอดเขา ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอถูฝ่ามือเข้าหากัน คันไม้คันมือเต็มที “ให้ข้าลงไปฝึกปรือฝีมือดีไหม?”

หวังฉีใคร่ครวญเพราะยังตัดสินใจไม่ได้

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำมองม่านฝนแวบหนึ่ง “ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ ฝนก็จะซาลงแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าขอร้องข้า ข้ายังคร้านจะลงมือ เจ้าอย่าลืมว่าครั้งนี้ข้าปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องช่วยเจ้าฆ่าคนเลยสักนิด แค่มาช่วยนายท่านของข้าจับตามองสถานการณ์ทางฝั่งนี้ก็พอแล้ว ถึงเวลานั้นก็แค่ต้องปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกไปจากศพของเฉินผิงอัน แค่นี้ก็สามารถปัดก้นเดินจากไปได้แล้ว”

แน่นอนว่าอันที่จริงเขายังจำเป็นต้องช่วยนายท่านตามหาสมบัติชิ้นที่สามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ได้ด้วย

ส่วนจะหาอย่างไร

ย่อมต้องมีความลี้ลับใหญ่ซ่อนอยู่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!