นักพรตเฒ่าเอ่ยขึ้น “หากเจ้าเป็นคน แล้วอยู่ในสำนักจ้งเหิงของใต้หล้าไพศาล อนาคตย่อมไม่เลว แต่หากเป็นคนของสำนักหยินหยาง คุณสมบัติของเจ้ากลับยังไม่ดีพอ”
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับอย่างจนใจ “เป็นเช่นนี้จริง”
นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำยิ่ง “อันที่จริงเด็กรุ่นหลังในสองใต้หล้าอย่างพวกเจ้า หากเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย และโชคดีมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ในหลายๆ ด้านล้วนถือว่าไม่เลว”
นักพรตหนุ่มจมสู่ภวังค์ความคิด
นักพรตเฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าจับหนึ่งครั้ง สายฟ้าที่แลบวูบวาบอยู่นอกแท่นพันธนาการมังกรก็ผ่าแหวกทะลวงตราผนึกและกฎเกณฑ์ กรูกันเข้ามาในแท่นพันธนาการมังกร แล้วมารวมตัวเป็นกลุ่มอยู่ใจกลางฝ่ามือของนักพรตเฒ่า สุดท้ายกลายเป็นลูกสายฟ้าขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้นักพรตหนุ่มหยุดความคิดทั้งหมดลง ยิ้มจืดเจื่อน
นี่ก็คือความห่างชั้น
ถึงขั้นที่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับตบะว่าสูงหรือต่ำ
นักพรตเฒ่าเก็บลูกสายฟ้านั้นไว้ในชายแขนเสื้อ พูดเบาๆ ว่า “หนึ่งในเมธีร้อยสำนักที่ซิ่วไฉเฒ่าดูแคลนอย่างมาก อันที่จริงมีคนคนหนึ่งในนั้นที่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้ออกมาด้วยหนึ่งประโยค”
ดวงตาของนักพรตหนุ่มฉายประกายร้อนแรง “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดไขข้อข้องใจให้ผู้น้อยด้วย!”
นักพรตเฒ่าหันหน้ากลับมา สายตาเย็นชา “เจ้าเป็นเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ปากพร่ำเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เรียกตัวเองว่าผู้น้อยอย่างนั้นรึ? เจ้าเห็นข้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเฒ่าหรืออย่างไร?”
ไม่มอบโอกาสใดๆ ให้แก่นักพรตหนุ่ม
ดวงวิญญาณที่เดิมทีก็ไม่สมประกอบลอยออกมาจากเนื้อหนังมังสาที่ถูกเลือกสรรอย่างบรรจง ถูกนักพรตเฒ่าบีบคอเอาไว้ ส่วนเรือนกายของ ‘นักพรตหนุ่มภูเขาไท่ผิง’ กลับอ่อนยวบพังพาบลงบนพื้น จากนั้นจึงหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่ต่างจากร่างของวานรขาวก่อนหน้านี้
เหลือทิ้งไว้เพียงกวานดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสามลัทธิเต๋าที่อยู่บนแท่นพันธนาการมังกร
นักพรตเฒ่าสะบัดมือทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ วิญญาณของปีศาจใหญ่ที่จำแลงเป็นร่างคนซึ่งยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของนักพรตหนุ่มกระแทกลงบนพื้นแรงๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้เขากลับยังรีบบังคับกวานเต๋ารูปดอกบัวให้เข้ามาอยู่ในมือแล้วรีบสวมไว้บนศีรษะอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าตอนนั้นเพื่อให้ข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้สำเร็จ จึงได้แต่ฝากให้คนอื่นช่วยซ่อนหนึ่งจิตสี่วิญญาณเอาไว้ ถึงสามารถออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดินเข้ามาทางภูเขาห้อยหัว สุดท้ายมาถึงใบถงทวีปแห่งนี้
ทว่าฝึกตนอยู่ในใต้หล้าไพศาลมานานขนาดนี้ อีกทั้งหนังหุ้มวิญญาณที่เลือกมาก็ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ดังนั้นสุดท้ายจึงยังได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสองเซียนเหริน
แต่เมื่อมาอยู่ใต้น้ำมือของนักพรตเฒ่ากลับไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ตอบโต้
นักพรตเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘ท่อนไม้ยาวหนึ่งฉื่อ หักมันครึ่งหนึ่งทุกวัน ไม่มีทางหักได้หมด’” (เปรียบเปรยถึงว่าเรื่องราวสามารถแบ่งแยกไปได้อีกมากมายอย่างไร้ขีดจำกัด)
ปีศาจใหญ่ที่อาศัยกวานดอกบัวมาทำให้ดวงวิญญาณมั่นคงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “คือหนึ่งในความรู้ของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาท่านนั้นที่ไม่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุด ข้าเคยเห็นมาหลายครั้งจากในตำราของแต่ละสำนัก เพียงแต่ไม่เคยใคร่ครวญอย่างจริงจังมาก่อน”
นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “ถึงได้บอกว่าพวกเจ้าโง่อย่างไรล่ะ”
ปีศาจใหญ่ที่หลงเหลือเพียงดวงวิญญาณ ไร้เรือนกาย สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะรู้สึกวูบโหวงในใจ ไม่เคยรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดเท่านี้มาก่อน
นักพรตเฒ่าหันหน้ากลับไป คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตราผนึกบนดาบแคบหยุดหิมะที่เป็น ‘ของตกทอดในปีนั้น’ ข้าทำลายทิ้งไปแล้ว เจ้าถือสาหรือไม่?”
ปีศาจใหญ่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “แม้แต่คำประจบยกยอยังไม่รู้จักพูด สมควรแล้วที่ต้องเจอกับหายนะใหญ่เช่นนี้”
ปีศาจใหญ่มึนงงไม่เข้าใจ
นักพรตเฒ่าเดินก้าวหนึ่งเข้าไปในความว่างเปล่า จากไปทั้งอย่างนี้
……
ตอนที่เฉินผิงอันคลี่ม้วนภาพแห่งชะตาชีวิตของสุยโย่วเปียนแล้วโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งเข้าไป
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวมีฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา
ช่วงต้นฤดูหนาว แม้ว่าเม็ดฝนจะไม่ใหญ่ แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกรำคาญใจได้
คนสี่คนเดินอยู่บนถนน คนที่เป็นผู้นำยากจะบอกได้ว่าเป็นชายหรือหญิง เพราะรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บกลับถือพัดพับอยู่ในมือ ไม่ได้คลี่มันออก แต่เอามันเคาะลงบนฝ่ามือเบาๆ เมื่อภาพนี้ปรากฎแก่สายตาของชาวบ้านแคว้นหนันเยวี่ยน หากไม่เป็นเพราะหน้าตาดีจริงๆ คงถูกมองว่าเป็นคนหยาบกระด้างไร้รสนิยมไปแล้ว
คนทั้งสี่เดินอยู่บนถนนใหญ่เส้นหนึ่ง คนหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด
มีเด็กนักเรียนประถมวัยคนหนึ่งชื่อว่าเฉาฉิงหล่าง เดิมทีเดินออกจากตรอกที่ตั้งของบ้านมาถึงถนนแล้ว เพียงแต่ว่าจู่ๆ ฝนก็ตกลงมา จึงต้องวิ่งกลับบ้านไปหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันนั้น เวลานี้กำลังเดินมาถึงหัวเลี้ยว มองเห็นคนกลุ่มนั้นไกลๆ ก็เบิกตากว้างมองไปอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทว่าพอมองเห็นใบหน้าของคุณชายหนุ่มผู้นั้น รู้ว่าไม่ใช่คนที่ตัวเองหวังให้เป็น เฉาฉิงหล่างก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย รีบเดินเร็วๆ ไปทางโรงเรียนเพียงลำพัง อาจารย์จ้งที่สอนหนังสือไม่ชอบคนมาสายที่สุด
เฉาฉิงหล่างเห็นหน้าคุณชายผู้นั้นไม่ชัดเจนนัก
ทว่าฝ่ายหลังกลับมองเห็นเขาอย่างชัดแจ้ง ในฐานะเจ๋อเซียนที่กักเก็บตบะของทั้งร่าง ใช้ร่างจริงและดวงวิญญาณที่สมบูรณ์แบบมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อเท้าของลู่ไถแตะพื้นก็เท่ากับเลื่อนขั้นอยู่ในลำดับสิบคนใหม่ในใต้หล้าแล้ว
ส่วนผู้ติดตามสามคนที่ตามมาด้านหลังก็ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกัน แต่เพราะพื้นฐานที่ปูมาในใต้หล้าไพศาลไม่แน่นหนาพอ อีกทั้งอายุยังน้อย ดังนั้นอย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ยอดฝีมือลำดับสองของยุทธภพแห่งนี้ ห่างจากปรมาจารย์ลำดับหนึ่งอยู่อีกไกล
หวนอินที่จิตใจแทบจะแหลกสลายในหายนะครั้งนั้น นักพรตหนุ่มหวงซ่างที่เปลี่ยนสำนักมาอยู่กับลู่ไถ
บุรุษหนุ่มต่างแซ่ผู้มากความสามารถที่ได้รับความสำคัญจากป้อมอินทรีบิน เถาเสียหยาง ซึ่งก็คือหมากที่ผู้ฝึกตนนอกรีตโอสถทองสวมกวานห้าขุนเขาตอกฝังไว้ในป้อมอินทรีบิน
ตอนนี้คนทั้งสามต่างก็เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลู่ไถ
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนและถนนเส้นหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงมีศูนย์ฝึกวรยุทธ์อยู่แห่งหนึ่ง ลู่ไถมองเรือนหลังเล็กที่เคยเป็นที่พักของติงอิงและยาเอ๋อร์ตอนที่เข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นฐานแห่งหนึ่งของลัทธิมารในแคว้นหนันเยวี่ยน เพียงแต่ว่าหลังศึกใหญ่ปิดฉากลง ราชครูจ้งชิวเก็บบ้านหลังนี้เอาไว้ตลอดเวลา ลู่ไถเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นับแต่วันนี้ไป ที่นี่ก็คือเรือนพักส่วนตัวของข้า”
เขาหันหน้าไปสั่งความคนทั้งสาม “หวงซ่างเจ้าไปที่พรรคหูซานสักรอบหนึ่ง จะเรียนรู้วิชาจากอวี๋เจินอี้มาได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของเจ้าเองแล้ว”
“ส่วนเถาเสียหยางและหวนอิน พื้นที่มงคลแห่งนี้ พวกเจ้าสองคนเดินเที่ยวได้ตามใจชอบ เถาเสียหยางสามารถสังเกตการณ์ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่ให้มากหน่อย หวนอินก็สามารถขยับเข้าไปใกล้เฉิงหยวนซานปี้เซิ่งที่อยู่นอกด่านคนนั้น”
“หกสิบปีให้หลัง หากพวกเจ้าไม่สามารถเลื่อนเป็นสิบอันดับแรกของใต้หล้าแห่งนี้ได้ ก็จงกลายเป็นสารอาหารที่บำรุงหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลแห่งนี้ไปเถอะ จงภาวนาขอให้ตัวเองโชคดี ข้าได้มอบวัตถุคุ้มกันกายให้พวกเจ้าแต่ละคนไปแล้ว หากยังต้องถูกน้ำในยุทธภพเล็กๆ แห่งนี้ท่วมตาย ข้าก็รู้สึกว่าการพาพวกเจ้าลงมาที่นี่ช่างสิ้นเปลืองเงินนัก”
ลู่ไถโบกมือ คนทั้งสามจึงบอกลาอย่างนอบน้อมแล้วพากันจากไป
ห่างออกไปไม่ไกลคือคนของลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่จอนผมสองข้างล้วนเป็นสีออกเงิน ก็คืออาจารย์จ้งในสายตาของเฉาฉิงหล่าง วันนี้ไม่ใช่พวกนักเรียนเกเรซุกซน ชอบเอาแต่นอนที่มาสาย กลับเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยผู้นี้ที่มาสายเสียเอง
ลู่ไถยิ้มมองไปยังราชครูจ้งชิว “ข้ากับเฉินผิงอันเป็นเพื่อนกัน บุคลิกอันสง่างามของราชครูจ้ง ข้าเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนแล้ว ดังนั้นข้าจึงเลือกมาปักหลักอยู่ที่แคว้นหนันเยวี่ยน”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะคอยดู หวังว่าเจ้าจะไม่กังวลถึงสิ่งใด ต่อให้เจ้าจะเป็นเพื่อนของเฉินผิงอันก็ตาม”
เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง ลู่ไถคลี่พัดไม้ไผ่ที่เรียบง่ายแต่สง่างามด้ามนั้นออก พัดเอาลมเย็นและสายฝนเม็ดบางเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าอีกหกสิบปีให้หลังจะออกไปชมทัศนียภาพข้างนอก?”
จ้งชิวส่ายหน้า หมุนกายเดินจากไป
ลู่ไถไม่ถือสา เขาหันหน้าไปมองประตูบ้านที่ผ่านลมพัดแดดส่องมาหนึ่งปี ภาพเทพทวารบาลที่แปะไว้หน้าประตูสีซีดออกเก่าแล้ว เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ต้องเปลี่ยนภาพเทพทวารบาล ต้องติดกลอนคู่วันปีใหม่ แล้วยังต้องจ้างเด็กสาวหน้าตางดงามชวนมองมาเป็นสาวใช้หลายๆ คน หรือจะไปเยือนตำหนักคลื่นวสันต์ ขอสาวใช้มาจากหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อดี?”
หลังจากที่เฉินผิงอันโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญที่สองลงไปในม้วนภาพวาด
พรรคหูซานแคว้นซงไล่ก็มีฝนโปรยปรายที่ตกลงมาทั้งที่แสงแดดเจิดจ้า ไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจ นอกจากอวี๋เจินอี้เจินเหรินเจ้าประมุขพรรคที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กเล็กซึ่งกำลังขี่กระบี่บินทะยานอยู่กลางอากาศ
อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่ไปหยุดอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงอย่างถึงที่สุด ลมแรงบนท้องฟ้าพัดให้ชุดเต๋าของเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ลมมรสุมกำลังจะมาแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!