กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 360

กระบี่จงมา – บทที่ 360.1 คิดถึงเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหลับตาเดินบนสะพานหินโค้ง เรือนกายโยกไหวเล็กน้อย ใต้สะพานมีสายน้ำไหลริน ชายแขนเสื้อมีเมฆหมอกล้อมเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน

เว่ยเซียนเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเผยเฉียนอย่างยิ่งจึงเปิดปากเอ่ยชมว่า “มังกรผงาด พยัคฆ์เยื้องย่าง ประหนึ่งขุนเขาตั้งตระหง่าน…”

เพิ่งจะวิจารณ์ได้แค่ครึ่งเดียว เว่ยเซียนก็หุบปากลง

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้ฟ้ายอมมีลมเมฆที่มิอาจคาดการณ์ได้ถึง มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อยเกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าทำลายความสุภาพสง่างาม”

ที่แท้สะพานหินโค้งก็มีขั้นบันได ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงลืมเรื่องนี้ไป เท้าที่ก้าวออกมาจึงเหยียบลงบนความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งหีบไม้ไผ่กลิ้งตลบอยู่บนพื้น

เผยเฉียนยกฝ่ามือตบหน้าผากตัวเอง บิดาข้า ท่านรับคำชมไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ

สุยโย่วเปียนเบี่ยงหน้าไปทางอื่น มุมปากยกยิ้ม

เฉินผิงอันกระโดดผลุงขึ้นยืน พอลืมตาแล้วก็ปัดชายแขนเสื้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง

บนชุดคลุมอาคมจินหลี่มีแสงสีทองส่องประกายวาบผ่านไป ปราณวิญญาณในไข่มุกที่มังกรทองคาบเอาไว้ยิ่งรวมตัวกันได้แน่นหนากว่าเดิม

หากไม่เป็นเพราะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เซียนนอกมหาสมุทรท่านหนึ่งทิ้งไว้ชิ้นนี้ การล้มครั้งนี้ของเฉินผิงอันจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น หนึ่งคือร่างกายจะเป็นเหมือนการ ‘เปิดด่านรับศัตรู’ ปล่อยให้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่เหมือนน้ำในมหาสมุทรกรอกเทเข้ามาในช่องโพรงลมปราณ ต้องเจ็บปวดทรมาน สองคือมีความเป็นไปได้มากกว่าจะสูบเอาปราณวิญญาณในฟ้าดินของภูเขาชิงจิ้งมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำ ถึงเวลานั้นต้องก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด ชักนำปัญหาแทรกซ้อน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นมรสุมลูกใหม่เลยก็ได้

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็เป็นเหมือนทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีประโยชน์ในการกักเก็บน้ำ

แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่การรักษาที่ปลายเหตุมิใช่ต้นเหตุ การหล่อหลอมวัตถุห้าธาตุ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาอย่างแท้จริง บุกเบิกช่องโพรงในร่างกายห้าแห่งให้เป็นเหมือนทะเลสาบ นี่คือภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้

สะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนี้จะสร้างได้สำเร็จหรือไม่ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินกว่าจะใช้คำพูดใดมาบรรยายได้

ตัวเฉินผิงอันเองก็รู้สึกประหลาดใจ มาจนกระทั่งบัดนี้ตนถึงเพิ่งถูกฟ้าดินแห่งนี้ยอมรับอย่างแท้จริงหรือ? ประหลาดนัก

สายตาของคนทั้งสี่ในภาพวาดล้วนเฉียบคม แรกเริ่มยังรู้สึกว่าน่าขัน ถึงอย่างไรเฉินผิงอันในความทรงจำของพวกเขาก็เป็นคนที่สำรวมตน อยู่ในกฎระเบียบทุกเรื่อง ยากนักที่จะได้เห็นสภาพอเนจอนาถแบบนี้ของเขาสักครั้ง เพียงแต่ว่าหลังจากลองมองประเมินอย่างตั้งใจเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างก็มองเห็นสายสนกลใน เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาก็เท่านั้น

ยอดบนสุดของบันไดสีชาดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว แม้ว่าจะมีเมฆหมอกล้อมวน ทว่าเจียงซ่างเจินและลู่ยงที่ยืนเคียงบ่ากัน ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ เมื่อเทียบกับคนสี่คนในภาพวาดที่ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้วย่อมมองออกได้เยอะกว่า

ลู่ยงเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนชื่นชม “ช่างเป็นชุดคลุมอาคมมังกรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลึกล้ำเกินจะหยั่งจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจมีระดับขั้นเท่ากับ ‘พื้นที่มงคลขนาดเล็ก’ ในตำนานแล้ว เซียนซือน้อยสวมชุดคลุมนี้ไว้บนร่าง เกรงว่าเมื่อเทียบกับเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่ระดับขั้นสูงสุดแล้ว สมบัติอาคมก็ไม่อาจรุกราน กระบี่บินก็ไม่อาจแทงเข้าเสียยิ่งกว่า”

ลู่ยงเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันคือผู้ฝึกตนสำนักการทหาร

เจียงซ่างเจินพูดพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนจาง “เจ้าตำหนักลู่สายตาดีมีแววยิ่งนัก”

ลู่ยงกล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”

เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับมา “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าอายุมากกว่าข้า จะเรียกข้าว่าผู้อาวุโสทำไม?”

ลู่ยงอึ้งพูดไม่ออก

ในฐานะที่สกุลเจียงคือไท่ซ่างหวงของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา พวกเขาจึงมีจิตใจยากจะคาดเดาสมกับเป็นราชันย์อย่างแท้จริง ตอนนี้ตนอยู่กับกษัตริย์ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์

เจียงซ่างเจินหัวเราะขึ้นอีก “คราวนี้หากเจ้าพูดประโยคหนึ่งว่า ‘บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างชำนาญย่อมได้อยู่หน้าสุด’ ก็จะถือว่าเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมกว่าคนอื่นเยอะเลย”

ลู่ยงไม่รู้ว่าเจียงซ่างเจินต้องการอะไรกันแน่ ได้แต่ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสมีวิสัยทัศน์สูงส่ง ลู่ยงโง่เขลา หาไม่แล้วชีวิตนี้ก็คงไม่มีแค่โอสถและสมุนไพรอยู่เคียงข้างเท่านั้น”

เจียงซ่างเจินถาม “สองร้อยปีมานี้ข้าจำเป็นต้องจัดการกิจธุระในพื้นที่มงคล ยุ่งจนหัวแทบไหม้ ออกจากบ้านไม่บ่อยนัก สู้คนตาบอดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าตำหนักลู่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือตระกูลเซียนบนยอดเขาเทียนแจว๋แห่งนี้ ต้องคอยต้อนรับขับสู้ผู้คน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี้ หากไม่นับใบถงทวีป ในใต้หล้าไพศาลมีเซียนกระบี่หนุ่มที่โด่งดังที่สุดคนใดบ้าง?”

ลู่ยงคิดแล้วก็ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านผู้นั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”

เจียงซ่างเจินโมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าลู่ยงเห็นว่าข้าโง่จริงๆ หรือไง? ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนรึ?!”

ลู่ยงกระวนกระวายใจ รีบแก้ตัวใหม่ เริ่มนับนิ้วคำนวณว่าในทวีปแห่งอื่นมีเซียนกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนใดบ้าง จากนั้นก็ร่ายรายชื่อผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ชื่อเสียงโด่งดังดุจสายฟ้ากัมปนาทให้เจียงซ่างเจินฟัง ทุกคนล้วนเป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงซึ่งรุ่งโรจน์ที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือทุกคนต่างก็อายุไม่มาก คนที่เขาร่ายออกมามีมากถึงแปดคน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสี่คน อุตรกุรุทวีปมีสามคน แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ก็มีกับเขาคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งก็คือเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเจ็ดคนแรกแล้ว เว่ยเซียนแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะ ตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูง แต่ผลสำเร็จในอนาคตย่อมเป็นที่น่าจับตามองอย่างแน่นอน ดังนั้นขนาดใบถงทวีปก็ยังได้ยินชื่อของคนผู้นี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดอย่างเขาลู่ยงซึ่งเป็นเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังได้ยินชื่อของศาลลมหิมะอันเป็นหนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปเป็นครั้งแรกก็เพราะเว่ยจิ้น

ชื่อและเรื่องราวคร่าวๆ ของแต่ละคนผ่านหูไป จุดท้ายเจียงซ่างเจินก็ส่ายหน้า พูดแค่ว่าไม่ถูก ยังห่างชั้นไกลนัก

ลู่ยงจนปัญญาแล้วจริงๆ

เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณก็มีน้อยอยู่แล้ว เซียนกระบี่ก็ยิ่งน้อยในน้อยเข้าไปอีก สามารถมองข้ามความห่างของธรณีประตูใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด สังหารขอบเขตหยกดิบได้ บนโลกนี้ก็มีแค่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น

เกี่ยวกับเซียนกระบี่ ‘อายุน้อย’ ที่ฉายประกายแหลมคมที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ลู่ยงที่มุ่งมั่นอยู่กับการหลอมโอสถเคยได้ยินมาแค่นี้เท่านั้น

เจียงซ่างเจินไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ลู่ยงต่อ ในใจเขาเองก็จนใจอยู่บ้าง เวลาหกสิบปีใช้หมดไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ร้อยยี่สิบปีก่อนหน้านั้น หกสิบปีแรกไปสยบความวุ่นวายครั้งใหญ่ซึ่งพันปียากจะพานพบสักครั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้รับบาดเจ็บมาไม่เบา หกสิบปีหลังจึงปิดด่านฝึกตน ไม่มีเวลาให้ความสนใจสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าจริงๆ เวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขาตายกันไปกี่รอบแล้ว ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาอย่างเจียงซ่างเจินนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นคนที่มีความหวังว่าจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น อันที่จริงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับกาลเวลาที่ผ่านเลยไปเท่าไหร่นัก ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยืนได้มั่นคงก็สามารถมีอายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยปีหรืออาจถึงขั้นเป็นพันปี

ถูกผิด บุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ล่างภูเขาไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ เมื่ออยู่ภายใต้ชีวิตอมตะ บนโลกก็ล้วนไม่มีอะไรที่แน่นอน

สายตาของเจียงซ่างเจินหลุบลงต่ำเล็กน้อย ตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ด้านหลังนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นที่ตั้งบูชาเทพเซียนทั้งหมดของลัทธิเต๋า และบันไดสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเบื้องหน้านี้ก็มีสามพันขั้น ความหมายก็คือ ‘มหามรรคาสามพัน’ (หมายถึงว่าวิชาคาถานั้นมีมากมาย ยากจะคำนวณได้หมด ในลัทธิเต๋า สามหมายถึงจำนวนที่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นตัวแทนของจำนวนที่ไม่แน่นอน มรรคามิอาจคำนวณ และทุกคนล้วนมีมรรคาเป็นของตัวเอง ขอแค่ได้มาก็ล้วนถือว่าเป็นหนึ่งในมรรคกถา)

ฟังดูเหมือนว่าเส้นทางมีมากมาย ทว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดได้อย่างแท้จริง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!