บทที่ 361.3 ถึงนครมังกรเฒ่า – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 361.3 ถึงนครมังกรเฒ่า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ลู่ยงกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เอนหลังพิงเสาใหญ่ เหนือศีรษะก็คือมังกรทองที่ห้อยตัวลงมา ศีรษะของมันหมุนบิดตามลู่ยงอยู่ตลอด แสดงให้เห็นว่าสามารถกัดหัวของลู่ยงได้ทุกเมื่อ
เจียงซ่างเจินข่มกลั้นโทสะ หุบยิ้ม ย่อตัวลงนั่งยอง มองสบตาลู่ยงแล้วคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ โกรธหรือไม่?”
ลู่ยงกล่าวอย่างตระหนกลนลาน “มิกล้าๆ!”
ความคิดของเจียงซ่างเจินขยับเล็กน้อย เบื้องหน้าของเขาก็มีใบหลิวสีเขียวขจีใบหนึ่งปรากฏขึ้น
ลู่ยงตะลึงพรึงเพริด ถึงกับหมอบลงโขกหัวเสียงดังปังๆ “ขอร้องผู้อาวุโสโปรดเว้นชีวิต!”
แต่ไหนแต่ไรมาเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกมีแค่ชื่อเสียงเรื่องกระเป๋าเงินตุงแน่นโด่งดังไปทั่วใบถงทวีป น้อยครั้งนักที่จะมีข่าวว่าเขาสังหารคนแพร่ออกไป
แต่เจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกโปรดปรานเจียงซ่างเจินมาก นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั่วทั้งทวีป เดิมทีพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานั้นมีสำนักกุยหยกและสกุลเจียงร่วมกันดูแล แต่เจ้าสำนักกลับไม่สนใจคำครหา ยกทั้งถ้ำเมฆาให้เจ้าประมุขสกุลเจียงที่ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มไป
เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อน สำนักใบถงมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘กุยหยกรังแกได้ แต่เจอเจียงให้เดินอ้อมไป’ อีกทั้งเล่าลือกันว่านี่เป็นคำสั่งเสียก่อนตายของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งของสำนักใบถงด้วย
เจียงซ่างเจินเจ้าประมุขตระกูลเจียง มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเพียงแค่ใบหลิวใบเดียว อย่าว่าแต่สำนักใบถงเลย ต่อให้เป็นเซียนดินของสำนักกุยหยกเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
ประโยคสั่งเสียท่อนสุดท้ายของผู้เฒ่าก่อกำเนิดสำนักใบถงท่านนั้นก็คือ ‘หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนดิน’
เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง “เมื่อมาอยู่ในมือของข้า ชื่อเสียงและบารมีของสกุลเจียงเงียบหายไปสองร้อยปี ออกจากภูเขามาครั้งนี้ ถ้าไม่ฆ่าเซียนดินสักคนย่อมผิดต่อบรรพบุรุษ”
ลู่ยงน้ำตาไหลอาบหน้า เงยหน้าพูดว่า “ผู้อาวุโสสังหารก่อกำเนิดปลายแถวอย่างข้าลู่ยงจะไม่ยิ่งสร้างความอัปยศให้แก่สกุลเจียงหรอกหรือ? ผู้อาวุโสควรเปลี่ยนไปฆ่าคนอื่นมากกว่า!”
เจียงซ่างเจินจุ๊ปาก “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีไหวพริบเฉียบไวเหมือนข้า น่าสนใจๆ”
เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งที ใบหลิวใบนั้นและฟ้าดินขนาดเล็กก็หายไปพร้อมกัน
ลู่ยงที่ไปเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูผีมารอบหนึ่งยังคงไม่กล้าลุกขึ้นยืน นั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง “ขอผู้อาวุโสโปรดมอบโอกาสให้ข้าลู่ยงอีกสักครั้ง คราวนี้หากยังไม่สามารถทำให้ท่านผู้อาวุโสพอใจได้ ลู่ยงจะขอร้องความตายด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น ยังหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะไม่เอาความโกรธไประบายใส่ตำหนักพยัคฆ์เขียว”
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ถือว่ายังพูดภาษาคนเป็นอยู่บ้าง เอาเถิด ลุกขึ้นได้แล้ว เป็นถึงเซียนดินก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ได้ หากแพร่ออกไปคนอื่นจะนึกว่าข้าเจียงซ่างเจินอาศัยขอบเขตที่สูงกว่ามารังแกคนอ่อนแอ ถือว่าเจ้าโชคดี หากวันนี้เจ้าลู่ยงเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็คงตายไปแล้ว”
ลู่ยงลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วน้ำตาก็ไหลพรากอาบใบหน้าที่เหี่ยวย่นอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ไม่สังหาร”
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ดูจากท่าทางของเจ้าตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าน่าสงสารนัก ดูท่าคงเพราะไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมานานเกินไป จิตใจถึงได้อ่อนลงตามไปด้วย ต้องรู้ว่าปีนั้นหากเจอกับเซียนดินสำนักใบถงที่มีขอบเขตเดียวกัน สุดท้ายต่อให้เขาจะโขกศีรษะขอร้องข้าหนึ่งพันครั้ง ข้าก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจมากพอ ยังต้องประทานหนึ่งใบหลิวให้เขาเป็นรางวัล ตัดหัวทารกก่อกำเนิดที่อยู่ในร่างของเขามาซะ คราวนี้กลับไปถึงสำนักต้องหาเรื่องยุ่งยากทำบ้างถึงจะได้”
เจียงซ่างเจินโบกมือ “ออกไปเถอะ หากเจ้าส่งมอบสิ่งของเรียบร้อย เรื่องราวทุกอย่างก็ถือว่าจบลงตรงนี้ ไม่ต้องกังวลว่าวันหน้าข้าจะมาคิดบัญชีเจ้าย้อนหลัง ลูกศิษย์คนนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังคงสามารถไปเยือนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้”
เจียงซ่างเจินอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ใช่แล้ว นี่เรียกว่าคนละเรื่องไม่เอามาปนกัน”
ลู่ยงก้าวถอยหลังเดินออกไปจากห้อง พอปิดประตูเรียบร้อยก็พลันตระหนักได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่เขาใช้พักอาศัยบนเรือข้ามฝากลำนี้ แต่เขาหรือจะกล้าเคาะประตูอีกครั้ง ได้แต่ตรงไปขอห้องธรรมดาอีกห้องหนึ่งมาจากผู้ดูแลเรือ
ท่ามกลางม่านราตรี ลู่ยงย้อนกลับไปที่ห้องของเฉินผิงอันอีกครั้ง พอนั่งลงเรียบร้อยก็ไม่พูดมากความใดๆ หยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กลักษณะเรียบง่ายธรรมดาออกมาสามใบ ภายใต้สายตาสงสัยของเฉินผิงอัน ลู่ยงลุกขึ้นพูดว่า “ในขวดกระเบื้องสามใบนี้ ยานั่งลืมตนหกเม็ดบรรจุอยู่ในขวดหนึ่ง ในอีกสองขวดที่เหลือบรรจุยามังกรเพลิง ยาโปรยพิรุณไว้ขวดละหกเม็ด ใต้ก้นขวดมีระบุไว้ วัตถุดิบหลักของฝ่ายแรกเลือกมาจากคราบร่างของเจียวเพลิงตัวหนึ่ง ฝ่ายหลังเลือกมาจากตะไคร่ที่มีเฉพาะบนผนังหินแห่งนั้นของสำนัก เหมาะสำหรับผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป ใช้ร่วมกันสองเม็ดจะให้ประสิทธิผลที่ดีเยี่ยม สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณ มีคำกล่าวขานที่น่าฟังว่า ‘ร่างทองทาสี’ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ถูกสกัดกั้นอยู่เหนือธรณีประตูขอบเขตโอสถทอง ยานี้ก็จะถูกมองเป็นทางลัดในการฝ่าทะลุขอบเขต”
ไม่รอให้เฉินผิงอันปฏิเสธ
ลู่ยงก็กล่าวขึ้นเสียงหนักว่า “หากวันนี้คุณชายเฉินไม่รับไว้ ลู่ยงไม่กล้าบีบบังคับ ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องท่านว่าหากคราวหน้าเดินทางผ่านยอดเขาเทียนแจว๋ โปรดอย่าลืมจุดธูปสามดอกให้ข้าลู่ยงเหนือซากปรักหักพังของตำหนักพยัคฆ์เขียวข้าด้วย”
กล่าวจบร่างของลู่ยงก็หายวับไปทันที
เผยเฉียนเบิกตากว้าง
ใต้หล้านี้มีวิธีมอบของขวัญเช่นนี้ด้วยหรือ?
ข้อนี้นางเลียนแบบไม่ได้หรอกนะ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน “เจียงซ่างเจิน ออกมาพบกันหน่อยดีไหม?”
เจียงซ่างเจินยืนอยู่ตรงระเบียงชมทิวทัศน์ ยิ้มตาหยีโบกมือให้
หลังจากโบกมือทักทายเสร็จ เจียงซ่างเจินก็ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง พุ่งตัวออกจากระเบียงจมหายไปในทะเลเมฆด้านหนึ่งของเรือ จากไปอย่างสง่างามเช่นนี้
เฉินผิงอันยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว
ปวดหัว
ลู่ยงเดินไปยังห้องที่เจียงซ่างเจินใช้ ‘พูดเหตุผลกับตน’ อย่างกระวนกระวายใจ หลังเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบรับก็ปลุกความกล้าเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
เขารออยู่นานมากถึงได้ผลักประตูเข้าไป
ไม่เห็นเจียงซ่างเจินอยู่ในห้องแล้ว
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองเผยเฉียนที่เอียงศีรษะเอาซีกหน้าแนบกับพื้นโต๊ะ ฝ่ายหลังก็จ้องเป๋งมองตาเขา
แล้วจูเหลี่ยนก็จากไป
ครึ่งคืนหลัง เผยเฉียนไปนอนที่ห้องด้านข้าง เฉินผิงอันฝึกยืนนิ่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนเดินไปเปิดประตู
สุยโย่วเปียนยืนอยู่นอกประตู
นางกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณ ต้องการยานั่งลืมตนแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”
“เจ้าอยากจะหยิบเกาลัดในกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์) เป็นเพื่อนจูเหลี่ยนขนาดนี้เชียวหรือ? อยากตายเพราะความสิ้นหวังหรือเพราะอะไร? ขนาดแค่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนก็ยังไม่ยินดีรอ ข้าว่าเจ้าสุยโย่วเปียนกินยานั่งลืมตนทั้งขวดก็ล้วนเสียเปล่า!”
เฉินผิงอันกล่าวจบก็ไม่แม้แต่จะยอมให้นางเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงดังปัง
สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าไร้อารมณ์อยู่นอกประตูนานมาก สุดท้ายถึงจากไปอย่างเงียบงัน
ช่วงครึ่งสุดท้ายของคืน คลื่นลมสงบ ทะเลเมฆงดงามเกินบรรยาย
ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงนครขนาดใหญ่ยักษ์ที่เป็นดั่งมังกรโผล่หัวพ้นผิวทะเลซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น
วันนี้เฉินผิงอันไปหาผู้ดูแลของตำหนักพยัคฆ์เขียวที่รับผิดชอบดูแลกิจธุระบนเรือข้ามฝาก เป็นฝ่ายเปิดปากสอบถามว่ามีเตาโอสถระดับเยี่ยมขายหรือไม่
ผู้ดูแลบอกว่ามี แม้ว่าตำหนักพยัคฆ์เขียวจะไม่ได้ทำการค้าในเรื่องนี้ แต่เจ้าตำหนักผู้เฒ่าทุ่มเทกำลังและจิตใจทั้งชีวิตไปกับเรื่องของการหลอมยา จึงเก็บรักษาเตาหลอมยาจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ในเมื่อคุณชายเฉินคือสหายของตำหนักพยัคฆ์เขียวเรา ถ้าเช่นนั้นเขาจึงกล้าเปิดปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าตำหนักผู้เฒ่า เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักผู้เฒ่าจะเต็มใจยกของรักให้หรือไม่ เขาเป็นแค่นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ดบนเรือข้ามฟาก ไม่กล้ารับรอง เขาจำเป็นต้องใช้กระบี่บินส่งข่าวไปบอกทางตำหนักพยัคฆ์เขียวก่อน
เฉินผิงอันกำหมัดขอบคุณ
เซียนดินขอบเขตโอสถทองที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘นักการที่ทำงานเบ็ดเตล็ด’ ผู้นั้นไม่รู้เรื่องภายในเท่าไหร่จริงๆ แค่แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มผู้นี้คือลูกหลานตระกูลเซียนที่มีเบื้องหลังน่าตะลึง ดูเหมือนว่าจะเป็นสหายสนิทกับตระกูลเจียงที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่าย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่กล้ารับปากว่าจะสอบถามเรื่องการขายเตาหลอมโอสถจากเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเองโดยพลการ นั่นเป็นหัวจิตหัวใจของเจ้าตำหนักผู้เฒ่าเชียวนะ เตาหลอมโอสถทุกใบที่ยังไม่นำมาใช้งานชั่วคราวล้วนถูกลู่ยงเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง ขอแค่ไม่ได้หลอมยา ทุกวันเขาก็จะต้องไปตรวจสอบเช็ดถูเตาพวกนี้ด้วยตัวเองหนึ่งรอบ
กระบี่บินส่งข่าวของยอดเขาเทียนแจว๋ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษจากสำนักใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป ราคาแพงลิ่ว แต่คุณภาพก็เป็นไปตามราคา วัสดุดีเยี่ยม ความเร็วสูงสุด เร็วยิ่งกว่าเรือข้ามฟากที่เน้นในความมั่นคงปลอดภัยลำนี้มากนัก
ผลคือเมื่อผู้ดูแลที่ท่าทางเหมือนคนเห็นผีมาพบเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนและร้อนตัวอยู่บ้างเล็กน้อย
คำตอบของลู่ยงก็คือเขาจะนำเตาหลอมโอสถชั้นเยี่ยมใบหนึ่งที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานหลายปีมาส่งมอบให้ด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนก็คือเงินเทพเซียนที่เขามีอยู่บนร่างตอนนี้ไม่พอให้ซื้อเตาหลอมยาใบนั้น ได้แต่รอให้ไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนแล้วค่อยขอยืมจากฟ่านเอ้อร์หรือเจิ้งต้าเฟิงถึงจะได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ออกจะกำเริบเสิบสานเกินไป ดูเหมือนว่าไม่ควรทำการค้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็คุ้นเคยกับลักษณะการทำการค้าของผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางที่บ้านเกิดมาตั้งนานแล้ว
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!