ตอน บทที่ 361.4 ถึงนครมังกรเฒ่า จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 361.4 ถึงนครมังกรเฒ่า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เกรงว่านอกจากคนตาบอด ไม่ว่าใครก็มองออกถึงความล้ำค่าผิดไปจากปกติของเตาหลอมยาใบนี้
เผยเฉียนเดินมือเบาเท้าเบาวนไปรอบโต๊ะ จ้องเป๋งไปยังเตาโอสถสีชาดที่สูงเพียงหนึ่งแขนใบนั้น
เตาหลอมยามีห้าขา แบ่งออกเป็นสัตว์ห้าตัวที่แยกเป็นขาข้างหนึ่งของเตา ส่วนศีรษะของสัตว์เหล่านี้อ้าปากกว้างอยู่บนริมขอบของเตาหลอม ไอหมอกห้าสีที่ลอยกรุ่นถูกพ่นออกมาจากปากของพวกมันนั่นเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นห้าสีที่สอดคล้องกับห้าธาตุ
ใบหน้าของก่อกำเนิดผู้เฒ่าลู่ยงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชี้ไปยังกระถางที่ลอยอยู่กลางอากาศพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เตาหลอมยาใบนี้มีชื่อว่าเตาตู้ทองห้าสี วัสดุหลักที่ใช้หลอมเป็นตัวเตาคือทองจากห้าธาตุ เพราะอิงตามประโยคสั่งสอนของบรรพบุรุษในการหลอมยาของพวกเราที่ถ่ายทอดต่อกันมาเป็นพันปีที่บอกว่า ‘ทองมิอาจทำลาย จึงเป็นผู้นำแห่งหมื่นสมบัติ’ ในอดีตข้าเคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่บนเส้นทางการฝึกตนอย่างหนึ่ง ได้รับจวนเซียนจากในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ปริแตกแห่งหนึ่งมา ครานั้นกองกำลังแต่ละฝ่ายช่วงชิงกันอย่างดุเดือด ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็น่าอกสั่นขวัญผวายิ่งนัก ข้าก็แค่โชคดีที่สุด ถึงได้เตาหลอมยาใบนี้มาครอบครอง เพราะเป็นวาสนาที่ได้มาครอง ไม่ได้ซื้อมา ดังนั้นข้าจึงตั้งราคาที่ยุติธรรมสำหรับคุณชาย ไม่กล้าทำตัวเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างต่อหน้าคุณชายเฉิน เงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญ แค่ห้าสิบเหรียญเท่านั้น!”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด ก่อกำเนิดผู้เฒ่าได้ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง
เฉินผิงอันมุมปากกระตุก
ตั้งห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช!
ราคาสูงเทียมฟ้า
แต่ส่วนลึกในใจก็รู้ดีว่าลู่ยงเรียกราคานี้ ยุติธรรมจนไม่อาจยุติธรรมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ไม่มัวคิดมากอีก กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าตำหนักลู่ ข้าต้องอยากซื้อไว้อยู่แล้ว แต่ไม่กลัวท่านหัวเราะเยาะ สหายที่นครมังกรเฒ่าจะยอมให้ข้ายืมเงินฝนธัญพืชจำนวนเท่านี้หรือไม่ ตอนนี้ข้ายังไม่อาจบอกได้”
กล่าวจบเฉินผิงอันก็กุมหมัดกล่าวว่า “หากทำให้เจ้าตำหนักลู่ต้องมาเสียเที่ยว ข้าก็ต้องขอโทษท่านไว้ ณ ที่นี้ก่อน”
อารมณ์ของลู่ยงซับซ้อน ในใจเขาคิดว่า มารดามันเถอะ หากผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ว่าจะมีตบะสูงหรือต่ำก็ล้วนพูดง่ายและเข้าใจมารยาทอย่างเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะดีสักเท่าไหร่นะ
หากถามว่าเขาเต็มใจขายเตาตู้ทองห้าสีใบนี้หรือไม่ ก่อนหน้าที่จะเจอกับเจียงซ่างเจินและเฉินผิงอัน หากใครกล้าเปิดปาก เขาก็กล้าด่าคนนั้น หากเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าอาจจะโดนเขาซ้อมสักรอบหนึ่งด้วย
เพียงแต่ว่าเวลานี้ สภาพจิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน คราวนี้หลังจากลู่ยงหวนกลับไปถึงตำหนักพยัคฆ์เขียวพร้อมกับเงินฝนธัญพืชที่ใช้ชีวิตแลกมากองนั้น เขาคิดไปคิดมาก็คิดตกเรื่องหนึ่งจริงๆ นั่นก็คือควรจะคบค้าสมาคมกับเจียงซ่างเจินอย่างไร ดังนั้นพอได้รับกระบี่บินส่งข่าวจากเฉินผิงอัน เขาจึงไม่เพียงไม่โมโห กลับกันยังรู้สึกยินดี ข่มกลั้นความเจ็บปวดปานหัวใจหลั่งเลือดนำเตาหลอมยาที่เป็นดั่งเงินทุนค่าโลงของเขาลู่ยงใบนี้มา ขอแค่เขาเฉินผิงอันกล้าซื้อ เขาลู่ยงก็กล้าขาย!
ซึ่งในนี้ยังมีความลับเรื่องหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดทราบซุกซ่อนอยู่ นั่นก็คือระดับขั้นของเตาตู้ทองห้าสีใบนี้สูงเกินไป กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ลู่ยงรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด เพราะคาถาหลอมวัตถุที่เขามีความชำนาญนั้นระดับขั้นไม่สูงมากพอ รวมไปถึงวัตถุดิบวิเศษที่ตัวเองมีอยู่ในครอบครอง หรือไม่ก็วัตถุดิบต่างๆ ที่คนอื่นนำมามอบให้ระดับต่ำเกินไป อาจต้องรอถึงร้อยปี เขาลู่ยงถึงจะใช้เตาหลอมห้าสีได้หนึ่งครั้ง อีกทั้งยาหรือวัตถุที่หลอมออกมาจากเตาใบนี้ แค่ทำให้ได้รายรับที่พอๆ กับรายจ่ายเท่านั้น บางครั้งยังถึงขั้นขาดทุน ต่อให้เป็นลู่ยงก็จำต้องยอมรับว่า เอาเตาใบนี้เก็บไว้ในตำหนักพยัคฆ์เขียว สำหรับเขาลู่ยงแล้ว มันคือซี่โครงไก่ และสำหรับเตาหลอมแล้ว เขาลู่ยงก็คือ…เศษสวะ
ก่อนที่ลู่ยงจะย้อนกลับไปยังห้องของตัวเอง เฉินผิงอันได้แต่พูดประโยคหนึ่งตามมารยาทว่า “บุญคุณยิ่งใหญ่มิจำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณ”
ลู่ยงอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขั้นทิ้งเตาตู้ทองห้าสีใบนี้ไว้ที่เฉินผิงอัน แถมยังมอบตำราการหลอมยาเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดไว้ให้ด้วย
เฉินผิงอันเก็บเตาหลอมยาใบนั้นใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มพลิกเปิดตำราลับในการหลอมยาที่ลู่ยงเขียนด้วยตัวเองออกอ่าน อ่านไปได้ครู่หนึ่ง
เขาก็เดินออกจากห้องไปยังห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากที่มีไว้สำหรับกระบี่บินส่งข่าวโดยเฉพาะ ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก
นอกจากพูดเรื่องลู่ยงขายเตาให้คร่าวๆ แล้ว ช่วงท้ายของจดหมายลับยังเขียนไว้ว่า ‘หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ติดค้างน้ำใจเจ้าสองครั้ง’
ในห้องแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลโอสถทองของเรือข้ามฟากยืนอยู่ข้างกายลู่ยง เล่าเรื่องที่เฉินผิงอันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้สำนักกุยหยก
ส่วนเนื้อหาในจดหมาย เขาย่อมไม่รู้
ไม่อย่างนั้นใต้หล้านี้ใครจะยังกล้าใช้กระบี่บินส่งข่าวอีก
ลู่ยงอืมรับหนึ่งที
เซียนดินโอสถทองถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าตำหนัก คุณชายเฉินท่านนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”
ลู่ยงใคร่ครวญอย่างระมัดระวังแล้วก็ยิ้มตอบว่า “อายุน้อยๆ ก็มีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งออกมาจากห้องของเฉินผิงอัน ลู่ยงที่เสียเปรียบไปครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นจากเดิมตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี เพื่อแสดงความจริงใจเขาถึงได้มอบเตาตู้ทองห้าสีไว้ที่เฉินผิงอันอย่างใจกว้าง เพียงแต่เตาใบนี้ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด วัตถุฟางชุ่นธรรมดาอาจเก็บไว้ไม่ได้ อีกทั้งต่อให้ฝืนยัดเข้าไปก็อาจจะทำให้ ‘ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก’ เกิดความโกลาหลวุ่นวาย แต่ลู่ยงเพียงแค่ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าลมปราณของเตาพลันหายวับไป อีกทั้งลมปราณในห้องของเฉินผิงอันยังสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด
คือวัตถุจื่อชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เซียนดินก่อกำเนิดถอนหายใจ “มีเงิน มีเงินจริงๆ! ย่อมต้องเป็นลูกศิษย์สายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่สืบทอดตระกูลกันมานานเป็นพันปีแน่นอน เพียงแต่ว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนเช่นนี้ออกมาท่องเที่ยวอยู่ใต้หล้า แต่กลับชอบให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเป็นข้ารับใช้ติดตามอยู่ข้างกาย น่าสนใจยิ่งนัก”
ลู่ยงโบกมือเพราะไม่อยากพูดถึงเฉินผิงอันมากนัก
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ลู่ยงก็กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “โทษทัณฑ์ครั้งนั้นไม่ได้รับไว้อย่างเสียเปล่า ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าโชคดีแล้ว”
เมื่อเรือข้ามฟากจอดเทียบท่าเรือของเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลนครมังกรเฒ่าอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้ในที่สุด
มาถึงแจกันสมบัติทวีป
เป็นช่วงปลายฤดูหนาวพอดี
ไม่เห็นเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านจอดอยู่ที่ท่าเรือ น่าจะเป็นเพราะย้อนกลับไปยังภูเขาห้อยหัว ตอนนี้ยังไม่กลับมา แค่ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้พบกับกุ้ยฮูหยินอีกหรือไม่
เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้อย่างราบรื่น เฉินผิงอันไม่ถาม จูเหลี่ยนก็ไม่เคยบอก
หลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปี่ยนกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สามารถถูกเฉินผิงอันเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ได้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว
เว่ยเซี่ยนพูดกับเผยเฉียนว่า “เจ้ายังติดค้างน้ำตาลปั้นข้า อย่าลืมซะล่ะ”
เผยเฉียนกลอกตาไปมา พูดอย่างน่าสงสารว่า “ข้ายากจนจนแม้แต่เสียงเหรียญเงินกระทบกันก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินหรอกนะ”
เว่ยเซี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นปีนั้น หลอกลวงเบื้องสูงต้องถูกตัดหัว”
เผยเฉียนแอบชี้ไปที่เฉินผิงอัน จากนั้นก็ชูแขนเล็กๆ ขึ้น วางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งติดกัน พูดกับเว่ยเซี่ยนเสียงเบาว่า “เจ้าดูสิว่าพ่อข้าเป็นเพื่อนกับคนอื่นอย่างไร แล้วดูสิว่าเจ้าเหล่าเว่ยเป็นเพื่อนกับข้าอย่างไร เหล่าเว่ยเจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างสักนิดเลยหรือ?”
เว่ยเซี่ยนหัวเราะเหอๆ “พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นยึดแผ่นดินมาได้แล้วก็นั่งบนเก้าอี้มังกรได้ไม่มั่นคง”
เผยเฉียนกระทืบเท้าเว่ยเซี่ยนหนึ่งที บ่นว่า “เป็นเพื่อนกับเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา
เผยเฉียนรีบย่อตัวลงปัดขากางเกงให้เว่ยเซี่ยน “เหล่าเว่ยเจ้านี่ก็จริงๆ เลย โตขนาดนี้แล้วยังออกมาพบคนทั้งที่เนื้อตัวสกปรกได้อย่างไร ข้าจะช่วยปัดฝุ่นให้เจ้าเอง”
เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำเดินนำไปยังท่าเรือของเกาะกุ้ยฮวาสกุลฟ่าน
พอนึกถึงว่าตอนนี้ตนยังมีหนี้ติดตัวอีกห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ฝีเท้าของเฉินผิงอันก็หนักอึ้งเล็กน้อย
บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว
หากพูดตามคำพูดติดปากของเผยเฉียนก็คือ กลุ้มใจจริง
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!