กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 364

ร้านยาฮุยเฉินกลับคืนสู่ความครึกครื้นอย่างในอดีตอีกครั้ง

เจิ้งต้าเฟิงป้อนหมัดไปได้ครึ่งชั่วยามก็บอกให้คนสี่คนในภาพวาดพักหายใจหายคอกันก่อน หลังจากนั้นก็เป็นอย่างนี้ไปอย่างต่อเนื่อง เจิ้งต้าเฟิงกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตแปดอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด จากแรกเริ่มสุดที่เป็นขอบเขตเดินทางไกลช่วงต้น ถึงท้ายที่สุดก็เป็นขอบเขตแปดขั้นสูงสุดที่ไร้ตำหนิ เผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของเว่ยเซี่ยนสี่คนที่ยิ่งนานก็ยิ่งเข้าขากันขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งต้าเฟิงก็เริ่มไม่ผ่อนคลายขึ้นทุกที สี่คนยังคงไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ต่อให้เป็นช่วงเวลาหยุดพักก็ยังยืนแยกกัน ต่างคนต่างมีเรื่องให้ใคร่ครวญ ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความเงียบ

เผยเฉียนเป็นคนไม่คิดอะไรมาก กินอาหารเย็นคัดตัวอักษรเสร็จก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าร่ายกระบวนท่าวิชากระบี่อันบ้าคลั่งที่ตนบรรลุมาอยู่ใต้ชายคาห้อง จากนั้นก็ไปนอนหลับในห้องด้านข้างอย่างพึงพอใจ ก่อนจะไปนอน นางได้บอกกับเฉินผิงอันก่อนแล้วถึงได้เปิดหีบไม้ไผ่สีเขียวของเฉินผิงอันที่วางอยู่ในห้องของนาง หยิบเอากล่องเก็บสมบัติที่เหยาจิ้นจือมอบให้ออกมา ดูชิ้นนี้ มองชิ้นนั้น บนหน้าผากยังแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เป็นของนางอย่างแท้จริงแล้วแผ่นนั้น โคลงศีรษะไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ วันนี้ตนมีเงินแล้ว ยื่นมือไปลูบคลำยันต์ที่อยู่บนศีรษะก็รู้สึกกลุ้มเล็กน้อย ทั้งๆ ที่หากขายมันก็สามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ได้ แต่กลับตัดใจขายไม่ลง ช่างเถิด รอให้มีแผ่นที่สองก่อนค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรทุกวันนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้าแล้ว มีบ้านก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่นางคิดมาดีแล้วว่า วันหน้าตนจะต้องมีบ้านหลังใหญ่เหมือนจวนปี้โหยวของเจ้าแม่เทพวารีที่หุ่นเหมือนฟักแคระผู้นั้นให้จงได้ แล้วก็ต้องมีกำแพงประหลาดแบบนั้นด้วย เวลาที่คนเข้ามาในบ้านก็จะรู้ได้ทันทีว่านางมีเงิน

คืนแรกที่คนทั้งกลุ่มมาพักที่ร้านยา เทพหยินแซ่จ้าวก็เอาแผนที่กลับมาหลายแผ่น ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหามาจากไหน ตอนนี้ถูกคลี่วางไว้อยู่บนโต๊ะในห้องหลักอย่างเป็นระเบียบ ภายใต้แสงไฟจากตะเกียง หลูป๋ายเซี่ยงขอพู่กันปลายแข็งด้ามเล็กมาจากเจิ้งต้าเฟิง แล้วจึงเริ่มเขียนคำอธิบายรายละเอียดด้วยชาดแดงไว้ด้านบนคล้ายกำลังจัดขบวนทัพ ห้าแซ่ใหญ่ของนครมังกรเฒ่าต่างก็มี ‘หน้าด่าน’ เป็นของตัวเอง มีการ ‘กระจายกองกำลังทหาร’ ของผู้ถวายงานเซียนดินโอสถทอง จากนั้นก็วาดเส้นตรงเส้นหนึ่งระหว่างแท่นมังกรกับร้านยาฮุยเฉิน

เว่ยเซี่ยนเองก็อยู่ด้วย แต่จูเหลี่ยนและสุยโย่วเปียนกลับไม่ได้เข้าร่วม คนหนึ่งอาศัยแสงจันทร์นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ชายคา อีกคนหนึ่งยืนอยู่ในลานบ้านกำลังหล่อหลอมปราณแท้จริงที่บริสุทธ์ซึ่งอยู่ในช่องโพรงลมปราณ

ส่วนเจิ้งต้าเฟิงนั้นไปนอนที่ห้องด้านข้างแล้ว เสียงกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า นัดหมายกับทุกคนไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกสองชั่วยามจะลุกมาป้อนหมัดต่อ

ป้อนหมัด เป็นทั้งการขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์ของคนทั้งสี่ ขยับขอบเขตให้สูงขึ้นไปอีกระดับ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนทั้งสี่ดูดซับประสิทธิผลของยาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวได้ด้วยความเร็วที่มากที่สุด

การค้าครั้งนี้ เฉินผิงอันเป็นฝ่ายได้กำไร

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างโต๊ะตลอดเวลา มองหลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนและเทพหยินแซ่จ้าวที่เดี๋ยวก็วาดวงกลม เดี๋ยวก็ชี้นิ้วจิ้มไปตามตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่แต่ละแผ่น น้อยครั้งที่เขาจะเสนอความคิดเห็น ภายใต้สถานการณ์ที่คนสองคนและหนึ่งเทพหยินถกเถียงกันในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง อย่างมากสุดเฉินผิงอันก็แค่เลือกระหว่างข้อที่ดีกับข้อที่ดียิ่งกว่า ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ นับว่าเป็นงานที่สบายไม่น้อย

การเดินทางไกลครั้งสุดท้ายในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ต้อง ‘เดินอยู่ริมแม่น้ำกาลเวลาสายยาว’ นั้น ไม่เพียงแต่หนทางยาวไกล วันเวลาที่ผ่านพ้นมาก็ยิ่งยาวนานมากกว่า แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็กล้าพูดแค่ว่าพอจะเข้าใจหลักครองตนในสังคมโลกมนุษย์ได้บ้างเล็กน้อย รู้ถึงความสูงส่งของราชสำนักและความกว้างไกลของยุทธภพบ้างนิดหน่อย สำหรับการวางแผนการรบอย่างละเอียดนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางเจ้ากี้เจ้าการ ยกให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงก็พอแล้ว เว่ยเซี่ยนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เขามีชาติกำเนิดมาจากสมรภูมิรบ ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงก็คือมีผู้พรสวรรค์รอบด้านเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างที่หาได้ยาก เชี่ยวชาญกลยุทธ์การวางแผน คุ้นเคยกับแก่นแท้ของสามลัทธิในพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างขงจื๊อ พุทธ และเต๋า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพิณ หมากล้อม อักษรและภาพวาดเลย ตอนนี้บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของลัทธิมารท่านนี้อาจขาดแค่สิ่งเดียวนั่นคือ เขาเพิ่งจะมาเยือนใต้หล้าไพศาลเป็นครั้งแรกจึงยังไม่อาจขึ้นไปยืนบนยอดเขาได้ก็เท่านั้น

เพียงแต่ว่าเดินจากตีนเขาไปกึ่งกลางภูเขา แล้วค่อยเดินขึ้นไปบนยอดเขาอีกที บนเส้นทางของการฝึกตน ยิ่งเดินไปก็ยิ่งพบคนน้อยลงทุกที หากเดินแยกไปทางผิด เดินไปถึงปลายทางของทางหัวขาดบางเส้น แต่กลับต้องมาเห็นคาตาตัวเองว่าคนอื่นได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาสูงต่อ ควรจะทำอย่างไรดี?

ดังนั้นการที่สุยโย่วเปียนมีความดึงดันต่อตำแหน่งที่สูงที่สุดของขอบเขตวิถีวรยุทธ์ จากที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ซึ่งเป็นความสำเร็จสูงสุดในอนาคตกลับต้องถดถอยลงมายังขอบเขตเก้า สภาพจิตใจแทบจะยุบพังถล่ม จิตแห่งกระบี่แตกสลาย เฉินผิงอันจึงพอจะเข้าใจความโกรธแค้นของนางได้ แต่กลับไม่เห็นด้วย เจิ้งต้าเฟิงพูดแย้มยิ้มกับคนทั้งสี่ว่า ‘ขอบเขตเก้าเท่านั้น น่าขันแล้วๆ’ เป็นเพราะเขาคิดว่าขอบเขตเก้าคือผักกาดขาวหัวใหญ่ที่วางขายข้างถนนจริงๆ น่ะหรือ? เจิ้งต้าเฟิงคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหยางเหล่าโถว! ขนาดคนเฝ้าประตูของถ้ำสวรรค์หลีจูก็เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรกบนธรณีประตูของขอบเขตเก้าเหมือนกัน

ศึกที่หน้าวัดร้าง สุยโย่วเปียนเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองถือว่ามีโชควาสนายิ่งใหญ่มานอนรออยู่ในกระเป๋าแล้ว แต่กระนั้นสายตาของนางก็ยังมีแต่ทัศนียภาพในจุดที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับการเหยียบย่างลงบนพื้นอย่างมั่นคง ค่อยๆ เดินทีละก้าวขึ้นสวรรค์อย่างที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาลให้ความสำคัญแล้ว อันที่จริงก็ถือว่านางวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม (เปรียบเปรยว่ายิ่งเดินก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย)

เพียงแต่เฉินผิงอันไม่คิดว่าเหตุผลของตัวเองจะสามารถทำให้เซียนกระบี่หญิงจากพื้นที่มงคลดอกบัวยอมศิโรราบทั้งกายและใจได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่เป็นไร กระบี่ชือซินเป็นของเขาเฉินผิงอัน ยาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวก็เป็นของเขาเฉินผิงอัน จะมอบให้สุยโย่วเปียนหรือไม่ จะมอบให้เมื่อไหร่ จะมอบให้อย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเฉินผิงอันทั้งสิ้น

ไม่มีใครติดค้างนางสุยโย่วเปียน

ภายใต้แสงตะเกียง บนแผนที่หลายแผ่น เส้นทางหลักเส้นหนึ่งได้ถูกจัดระเบียบไว้แล้ว เสียงถกเถียงในห้องเบาลงทุกที เฉินผิงอันจึงเดินออกจากห้องไปสูดอากาศข้างนอก

เดินผ่านลานบ้านไปนั่งม้านั่งตัวยาวใต้ชายคาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องหลัก

การจัดวางของร้านยาฮุยเฉินคล้ายกับร้านยาตระกูลหยางที่บ้านเกิดอย่างมาก ตอนที่เฉินผิงอันเดินไปหาม้านั่งยาวตัวนั้นก็ไพล่นึกไปถึงปีนั้นตอนที่อาจารย์สอนหนังสือมาพบหยางเหล่าโถวเป็นครั้งแรก เขาหุบร่ม แล้วก็น่าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งประมาณนี้เช่นกัน

พบเห็นความอยุติธรรมบนโลก ผู้ที่รักความยุติธรรม คือผู้ที่ยากจะทำใจให้สงบได้มากที่สุด

หากเปลี่ยนไปเป็นพวกเกาซื่อเจิน หลิวจง จะต้องรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องอยุติธรรมใดๆ แค่นิ่งดูดายชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก็พอแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังฉวยโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วม ดูสิว่าจะสามารถแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งมาได้หรือไม่ (แบ่งน้ำแกงเปรียบเปรยถึงการแบ่งผลประโยชน์)

หากเปลี่ยนไปเป็นพวกเจียงซ่างเจิน อาจจะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย แค่จะมองให้นานอีกนิดก็ยังรู้สึกว่าถ่วงเวลาการฝึกตน

สำหรับการต่อสู้ฝ่าวงล้อมสังหารที่วัดร้าง ต่อให้เฉินผิงอันจะสูญเสียทรัพย์สิน ขาดทุนไปถึงบ้านยาย (เปรียบเปรยว่าขาดทุนอย่างหนัก) แต่เขากลับไม่รู้สึกเคียดแค้นสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าแม้ไม่เคียดแค้นก็ไม่ได้หมายความว่าตอนออกหมัดจะใจอ่อน

แต่จนถึงตอนนี้เจียงซ่างเจินก็อาจจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถึงได้เกิดจิตคิดสังหารโจวซื่อและยาเอ๋อร์

ต่อให้เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่เวลานี้กำลังหลับสนิท เกรงว่าก็คงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับสถานการณ์วุ่นวายของนครมังกรเฒ่าครั้งนี้

อันที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก หากทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพสูสีกัน ถ้าเช่นนั้นมหามรรคาไม่สอดคล้อง ต่างคนต่างมีเหตุผลในการกระทำ เจ้าไปข้ามา ต่างคนต่างอาศัยความสามารถในการเข่นฆ่าสังหาร แผนลับหรือแผนโจ่งแจ้ง ใครเป็นใครตาย เขาเฉินผิงอันล้วนสามารถยอมรับได้

แต่พ่อแม่ของเฉาฉิงหล่าง ศีรษะสองหัวที่ถูกโจวซื่อและยาเอ๋อร์โยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เลือดสดไหลนอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!